“ได้แน่นอน องค์หญิงอยากหาเพื่อนคุย ย่อมได้แน่นอน” เย่เฟิงกล่าว
“ไม่แกล้งเ้าแล้ว”
จ้าวซินอี๋เห็นสีหน้าของเย่เฟิงก็ยิ้มแย้มอย่างมีเสน่ห์ “อีกสามวันจะมีงานเลี้ยงจัดขึ้นในวังหลวง ซึ่งมีพี่รองข้าเป็เ้าภาพ เวลานั้นคนรุ่นเยาว์มากพร์จากเมืองหลวงจะมาเข้าร่วม งานชุมนุมหวงปั่งเองก็ใกล้เข้ามาแล้ว ทางประเทศเพื่อนบ้านก็ส่งทูตมาร่วมงานเลี้ยงนี้ ข้าก็เช่นกัน ฉะนั้นจึงอยากเชิญเ้าไปด้วย ไม่รู้ว่าเ้าจะไปได้หรือไม่?”
สีหน้าของจ้าวซินอี๋กลับเป็ปกติ นางบอกถึงจุดประสงค์ที่นัดพบเย่เฟิงในครั้งนี้ พร้อมกับเผยแววตาคาดหวัง ในฐานะองค์หญิงแห่งอาณาจักรจ้าว ไม่ว่านางไปที่ใดก็ล้วนเป็จุดสนใจ แต่นี่เป็ครั้งแรกที่นางเป็ฝ่ายเชิญคนอื่นก่อน และอีกฝ่ายยังเป็ผู้ชาย
“งานเลี้ยงราชวงศ์?” เย่เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย คำพูดของจ้าวซินอี๋ทำให้เขารู้สึกเกินคาด งานเลี้ยงราชวงศ์นั้นปกติมาก เพียงแต่จ้าวซินอี๋เชิญเย่เฟิงไปด้วยกัน เช่นนั้นเย่เฟิงควรไปในฐานะอะไร?
“ใช่” จ้าวซินอี๋พยักหน้าคล้ายดูออกว่าเย่เฟิงกำลังสงสัย ใบหน้านางจึงแดงระเรื่อ แล้วกล่าวว่า “เ้าแค่ตอบข้ามาว่าได้หรือไม่ได้ก็พอ”
เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็เงียบ ไม่นึกว่าหญิงผู้นี้จะไม่ให้เวลาเขาตรึกตรอง
“นี่เป็ครั้งแรกขององค์หญิงที่เชิญผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ชาย ยิ่งหาได้ยากที่สุด เ้าอย่าทำให้องค์หญิงผิดหวังเชียวล่ะ” ชุ่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้าง ๆ กำชับเย่เฟิงพลางบ่นในใจว่าโชคเข้ามาหาเย่เฟิงเอง แต่เขากลับไม่รักษาไว้ ที่เมืองหลวงมีชายหนุ่มหล่อเหลาและขุนนางมากมายอยากใกล้ชิดองค์หญิงก็ยังไม่มีโอกาส บัดนี้องค์หญิงเชิญคนคนหนึ่งด้วยตัวเอง กลับต้องรอให้อีกฝ่ายพิจารณาอย่างนั้นหรือ?
“ข้าได้คำตอบแล้ว องค์หญิงเชิญทั้งทีก็ย่อมเป็เกียรติของข้าเย่เฟิง” เย่เฟิงรู้ว่าชุ่ยเอ๋อร์พูดความจริง จ้าวซินอี๋เป็ผู้สูงศักดิ์และเป็องค์หญิงผู้งดงาม ชายหนุ่มที่ไล่ตามนางก็ย่อมมีจำนวนไม่น้อย เกรงว่าหากจ้าวซินอี๋เปิดรับผู้ร่วมเดินทาง คงต้องมีคนมาต่อคิวยาวเหยียดแน่นอน
“อืม” จ้าวซินอี๋ได้ยินคำตอบของเย่เฟิงก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ จากนั้นกล่าวว่า “อีกสามวันมารอข้าที่ประตูทิศเหนือ ตอนนั้นข้าจะส่งคนไปรับเ้า”
เย่เฟิงพยักหน้า จากนั้นดวงตาของเขาเผยประกายแสงเยือก แล้วกล่าวกับจ้าวซินอี๋ว่า “องค์หญิง มีคนกำลังมา”
จ้าวซินอี๋ได้ยินเช่นนั้นก็มองออกไปที่นอกด้านหน้าต่าง ก่อนจะเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในภัตตาคาร สองคนในนั้นก็คือหญิงสาวเย่อหยิ่งผู้นั้นและเสวียนอู่เว่ย
จ้าวซินอี๋ขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับเผยสีหน้ารังเกียจ จากนั้นนางหันไปพูดกับชุ่ยเอ๋อร์ว่า “ชุ่ยเอ๋อร์ เ้าลงไปหยุดคนพวกนี้ไว้ อย่าให้พวกเขาเข้ามา หากพวกเขาไม่ฟังก็แสดงสิ่งนี้เสีย!”
ขณะกล่าวจ้าวซินอี๋ส่งพู่หยกที่แสดงถึงฐานะว่านางคือองค์หญิงแห่งอาณาจักรจ้าวไปให้ชุ่ยเอ๋อร์
“เ้าค่ะ องค์หญิง” ชุ่ยเอ๋อร์รับพู่หยกมา ก่อนจะเดินลงไปชั้นล่าง เมื่อนางมาถึงทางเข้าภัตตาคาร หญิงสาวเย่อหยิ่งและเสวียนอู่เว่ยก็มาถึงพอดี
“ทุกท่านหยุดก่อน” ชุ่ยเอ๋อร์กางแขนหยุดคนเ่าั้ นี่ทำให้หญิงสาวเย่อหยิ่งและเสวียนอู่เว่ยชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นเสวียนอู่เว่ยมองชุ่ยเอ๋อร์แล้วเอ่ยถามว่า “เ้าเป็ใคร? แล้วมีสิทธิ์อะไรมาขวางทางข้า?”
ชุ่ยเอ๋อร์คล้ายดูออกว่าอีกฝ่ายมีเจตนาไม่ดี จึงคร้านที่จะพูดให้มากความ จากนั้นนางนำพู่หยกของจ้าวซินอี๋ออกมา แล้วกล่าวว่า “องค์หญิงอยู่ที่นี่ ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้ามารบกวน!”
เสวียนอู่เว่ยและคนอื่นมองพู่หยกในมือชุ่ยเอ๋อร์ และด้วยความสามารถของพวกเขาก็ย่อมดูออกว่าพู่หยกนั่นไม่ใช่ของปลอม
“องค์หญิงแล้วอย่างไร? คุณหนูข้าก็ไม่ใช่คนที่องค์หญิงของพวกเ้าจะดูถูกได้!” เสวียนอู่เว่ยกล่าวจากนั้นเขาคิดจะบุกเข้าไปข้างใน
“ที่นี่คือเมืองหลวงอาณาจักรจ้าว ไม่ว่าพวกเ้าเป็ใครก็ล้วนต้องปฏิบัติตามกฎของอาณาจักรจ้าว หากพวกเ้าเข้าไปตอนนี้ก็เท่ากับล่วงเกินองค์หญิง เช่นนั้นพวกเ้าจะถูกองครักษ์หลวงจับตัว ต่อให้หลุดพ้นไปได้ แต่คงจะขายหน้ามาก ๆ เป็แน่”
ชุ่ยเอ๋อร์สมกับเป็นางรับใช้ส่วนตัวของจ้าวซินอี๋ นางมีประสบการณ์มามากมาย แม้เผชิญหน้ากับคนเหล่านี้ก็ยังใจเย็น แต่ยังไม่ทันสิ้นเสียงชุ่ยเอ๋อร์ จู่ ๆ มีองครักษ์หลายสิบนายเข้าปิดล้อมภัตตาคาร พร้อมแสงเยือกเย็นปะทุออกจากดวงตา
“เพราะฉะนั้นข้าขอแนะนำให้พวกเ้าออกไปจากที่นี่เสีย ทั้งสองฝ่ายจะได้ไม่าเ็หรือมีอันเป็ไป!” ชุ่ยเอ๋อร์กล่าว
เสวียนอู่เว่ยและหญิงสาวเย่อหยิ่งผู้นั้นกวาดตามององครักษ์เ่าั้ด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ไม่ว่าพวกเขามีฐานะอะไร สุดท้ายแล้วที่อาณาจักรจ้าวก็ไม่ใช่ถิ่นของพวกเขา
“พวกเราไป!” หญิงสาวเย่อหยิ่งกล่าวเสียงเย็น จากนั้นนางเดินออกไปเป็คนแรกโดยมีสีหน้าไม่ชอบใจ ส่วนเสวียนอู่เว่ยและคนอื่นก็ตามหลังนางไป แต่หญิงสาวผู้นั้นััได้ถึงบางอย่าง จึงหันกลับไปมอง ก่อนจะเห็นสายตาดูถูกของเย่เฟิงที่มองมาจากบนชั้นสอง ทำให้ใจนางอดรู้สึกเย็นะเืไม่ได้
“เื่ในวันนี้ ข้าเว่ยซินหย่าจะจดจำไว้!” หลังสิ้นเสียงนี้ หญิงสาวเย่อหยิ่งก็เดินออกไป พร้อมกับคนของนาง
เย่เฟิงที่อยู่ในภัตตาคารเหยียดยิ้มดูถูก ก่อนจะหันไปมองจ้าวซินอี๋
“องค์หญิงรู้จักคนพวกนั้นด้วยหรือ?” เย่เฟิงเอ่ยถาม
“องค์หญิงเว่ยซินหย่าแห่งอาณาจักรเว่ย คนที่มากับนางด้วยเป็สามในสี่มหาองครักษ์แห่งอาณาจักรเว่ย ชิงหลงเว่ย ไป๋หู่เว่ย และเสวียนอู่เว่ย พวกเขาเองก็เข้าร่วมงานเลี้ยงที่จะจัดขึ้นในอีกสามวันด้วย” จ้าวซินอี๋กล่าวช้า ๆ ด้วยสีหน้าไม่ชอบใจ
องค์หญิงแห่งอาณาจักรเว่ย?
เย่เฟิงประหลาดใจ เหมือนไม่นึกว่าหญิงสาวเย่อหยิ่งผู้นั้นจะเป็องค์หญิงแห่งอาณาจักรเว่ย แม้เขาจะเติบโตที่อาณาจักรจ้าว แต่เย่เฟิงก็รู้จักอาณาจักรเว่ยอยู่บ้างเล็กน้อย อาณาจักรเว่ยนั้นอยู่ติดกับอาณาจักรจ้าว แต่กลับมีดินแดนกว้างขวางกว่า ที่นั่นมีประชากรจำนวนนับไม่ถ้วน ทั้งยังมีกำลังแห่งชาติเหนือกว่าของอาณาจักรจ้าว
ในฐานะองค์หญิงแห่งอาณาจักรเว่ย เว่ยซินหย่ามีนิสัยเย่อหยิ่งเช่นนี้ก็ไม่น่าแปลกใจอะไร
“นอกจากชาวอาณาจักรเว่ยแล้ว ยังมีอาณาจักรเฉิน อาณาจักรเหลียง อาณาจักรซ่ง และอาณาจักรฉีด้วย” จ้าวซินอี๋กล่าว
เย่เฟิงกะพริบตาปริบ ๆ คิดในใจว่า “หลายอาณาจักรส่งทูตมาเช่นนี้ เห็นทีงานชุมนุมหวงปั่งคงไม่ง่ายแล้ว”
หลังจากนั้นเย่เฟิงกลับถึงสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ก็ไปยังหอวิชาชั้นที่สี่เพื่อฝึกตน หลังจากเขาได้รับมรดกของาาเสวียน ที่นี่ก็ดูเหมือนเป็สถานที่ฝึกตนของเขาไปแล้ว และมีน้อยคนที่มารบกวน
หลังจากงานประลองสำนักยุทธ์จบลง พรรคเทียนจีก็ดูเหมือนเงียบหายไป ลูกศิษย์ภายในพรรคไม่ทำตัวเหิมเกริมเฉกเช่นเมื่อก่อน จนค่อย ๆ สูญเสียความรุ่งโรจน์ในอดีตไปทีละนิด ในทางตรงกันข้าม พรรคเทียนเสวียนที่สุขุมนิ่งเงียบมาตลอดกลับค่อย ๆ รุ่งโรจน์ มีคนมากมายอยากเข้าร่วมด้วย และยังมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาที่เพิ่งเข้าร่วมผงาดไม่น้อย
เย่เฟิงฝึกเก้าวัชรหุนหยวนจนถึงจุดคอขวด ดังนั้นเขาจึงกลุ้มใจในการฝึกขั้นที่สามให้บรรลุระดับสูงนั้นจะยากขึ้น หลังจากตรึกตรองเื่นี้ เขาคิดจะเรียนรู้ชีวิต่นั้นของาาเสวียนต่อ บางทีอาจพบช่องโหว่ในนั้นก็เป็ได้ แต่เมื่อเขาเข้าประตูบานแรกนั่นอีกครั้ง มิติประหลาดนั้นหายไป เขาถูกพลังมิติเข้าปกคลุมร่าง วิสัยทัศน์กลายเป็สีดำ ร่างเขาถูกพลังมิติบีบอัดทำให้รู้สึกไม่สบายตัว
ขั้นตอนนี้ดำเนินต่อไปเป็เวลานาน เมื่อเย่เฟิงลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง พบว่าตนปรากฏตัวในมิติแห่งใหม่ ที่นี่โอบล้อมไปด้วยูเา มีหมอกลง แฝงด้วยกลิ่นอายลึกลับ และที่ใต้ฝ่าเท้าของเย่เฟิงยังมีค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ
“นี่ข้าถูกส่งมาที่ไหน?” เย่เฟิงสงสัย เขานึกไม่ถึงว่าประตูสามบานจะมีค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติอยู่ด้วย ตอนนี้แม้เขาจะไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด แต่ดูจากเวลาตอนเคลื่อนย้ายมา การเดินทางครั้งนี้อาจจะยาวไกลมาก
“ในเมื่อมาแล้วก็สำรวจสักหน่อยแล้วกัน” เย่เฟิงพึมพำก่อนจะเดินออกไป
“โฮก!”
ขณะนั้นมีเสียงคำรามของสัตว์อสูรดังมาจากป่าด้านข้างเย่เฟิง จากนั้นมีสัตว์อสูรหลายสิบตนปรากฏตัวที่ด้านหน้าเย่เฟิง พร้อมกับมีกลิ่นอายกระหายเืแผ่ออกจากร่าง
“ปีศาจหมาป่าเหี้ยมระดับห้า!” เย่เฟิงจำประเภทของสัตว์อสูรพวกนี้ได้ทันที
หมาป่าเหี้ยมเป็สัตว์อสูริญญาที่พบเห็นได้ทั่วไป ตอนที่เย่เฟิงอยู่ในเขาเทียนเสวียนก็เข่นฆ่าไปไม่น้อย แต่กลับไม่มีระดับสูง ๆ เฉกเช่นตอนนี้
หมาป่าเหี้ยมส่วนใหญ่ที่อยู่ในเขาเทียนเสวียนจะเป็สัตว์อสูริญญาระดับหนึ่ง พวกดุร้ายบางส่วนก็อยู่แค่ระดับสองเท่านั้น ส่วนระดับสามเย่เฟิงยังไม่เคยพบมาก่อน แต่ฝูงหมาป่าเหี้ยมที่อยู่ตรงหน้าเฉลี่ยแล้วกลับอยู่ระดับห้า มีระดับสูงจนเย่เฟิงใ
ด้วยเหตุนี้เย่เฟิงจึงรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ในอาณาเขตเมืองหลวง กระทั่งอาจอยู่นอกเขตอาณาจักรจ้าว
เมื่อฉุกคิดได้เช่นนี้ เย่เฟิงยิ่งใกว่าเดิม ทว่าตอนนี้เขาไม่มีเวลามาคิดเื่พวกนี้ ปีศาจิญญาระดับห้าถือได้ว่าเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์มนุษย์ในขั้นรวมชี่ที่ 5 แม้จะไม่แข็งแกร่งเป็พิเศษ แต่ก็เอาชนะคนจำนวนมากได้
“โฮก!” หมาป่าเหี้ยมแผดเสียงคำราม จากนั้นมันแยกเขี้ยวที่กระหายเืแล้วพุ่งเข้าใส่เย่เฟิง
ดวงตาของเย่เฟิงวาบประกายเย็นเยือก จากนั้นแทงหอกัเงินประกายออกไปด้วยพลังเต็มสิบ
“อั่ก!” เสียงโอดครวญดังสามครั้งต่อเนื่อง หมาป่าเหี้ยมถูกฆ่าตายในหนึ่งกระบวนท่า ทำให้หมาป่าเหี้ยมที่เหลือะเิโทสะพร้อมกับกระโจนใส่เย่เฟิง
เย่เฟิงแทงหอกัเงินประกายอย่างต่อเนื่อง รังสีหอกกลายเป็ลำแสงทำลายล้าง และทุกหอกที่แทงจักต้องมีหมาป่าตายหนึ่งตัว
เพียงเวลาสั้น ๆ ซากศพหมาป่าเหี้ยมก็นอนเกลื่อนพื้น เืนองดั่งสายน้ำ กลิ่นคาวเืยังคละคลุ้งไปทั่วอากาศ
เมื่อแทงหอกสุดท้ายออกไป หมาป่าเหี้ยมตัวสุดท้ายก็ล้มลงไปกองกับพื้น โดยไร้ซึ่งสัญญาณชีพจร
