อวิ๋นอี้ตระหนักว่าภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้นเป็เช่นไร ก็เพลานี้
ผ้าห่มนุ่มๆ ถูกกดไว้อยู่ข้างหลัง ด้านหน้าถูกหรงซิวทับ ระยะห่างนั้นใกล้ยิ่งนัก ลมหายใจของเขารินรดแตะแก้มนางเบาๆ ให้ตัวนางสั่นสะท้าน
อวิ๋นอี้หอบหายใจเบาๆ ทำไม่ได้แม้แต่จะผลักเขา "พระองค์...อย่าเข้ามาใกล้เช่นนี้สิเพคะ!"
ในความคิดของนาง ทั้งสองเพิ่งอยู่ด้วยกันได้ไม่ถึงเดือน ดูเหมือนหรงซิวจะชอบความสนิทชิดเชื้อเช่นนี้ยิ่งนัก
“มิได้” เขายกริมฝีปาก ั์ตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “อยู่ใกล้ๆ ถึงจะนวดเ้าได้”
“......”
เหตุผลบ้าบออันใด
หรงซิวไม่ยอมเว้นระยะ อวิ๋นอี้จึงทำได้แค่อดทน โชคดีที่เป็ตอนกลางวันเขาย่อมไม่ทำอันใดมั่วซั่ว
เขาขยับช้าๆ มือเรียวของเขาวางบนไหล่ของนาง ค่อยๆ ไล่เรียงเลื่อนลงไป อวิ๋นอี้อดไม่ได้ที่จะผ่อนคลาย และส่งเสียงในลอคอออกมาเบาๆ
การนวดนี้สบายเสียจริง ไม่คิดเลยว่าหรงซิวจะไม่โกหกนาง เขามีแปรงสองอันจริงๆ [1]
ฝีมือของเขาไม่เลว หลังจากนวดไปไม่นาน ความเ็ปจากการเดินทางบนถนนที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อพลันมลายหายไปมากทีเดียว
อวิ๋นอี้ได้รับการปรนนิบัติจนสบายตัว พาให้อารมณ์ดี ในที่สุดก็มองหรงซิวด้วยใบหน้าดีๆ ได้
เมื่อสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของนาง หรงซิวก็ยิ้มและยินดีปรนนิบัตินางต่อไป
กว่าจะเสร็จเรียบร้อย เวลาก็ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม
หรงซิวถอยหลังออกไป ทั้งสองเว้นระยะห่างกัน เขาขยิบตาให้นาง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง ถามเบาๆ ว่า “สบายหรือไม่?”
“...... "
ไม่รู้เหตุใด คำพูดที่กล่าวด้วยดีแท้ๆ แต่เมื่อออกมาจากปากของเขา มันกลับให้ความรู้สึกคลุมเครือไปเสียหมด
อวิ๋นอี้แสร้งทำเป็ไม่ได้ยินสิ่งที่เขาหมายถึง นางเบ้ปาก “ไม่แย่เพคะ”
“เพียงแค่ไม่แย่เองหรือ?”
“แล้วจะเป็อันใดได้หรือเพคะ?”
หรงซิวตอบรับยาวๆ ดูเหมือนว่าเขาจะอยากพูดอันใดอีก แต่ดัน่เวลาพอดีกับที่นอกประตูมีเสียงของทหารมาขอเข้าเฝ้า
ทั้งสองมองหน้ากัน ลูกกระเดือกของหรงซิวขยับ และจับจ้องไปที่ร่างของนางอย่างไม่ละสายตา
อวิ๋นอี้ตระหนักได้ว่าท่าทีของเขาตอนนี้ดูยั่วยวนยิ่งนัก นางจึงรีบลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็ว รีบจัดท่าทางให้ดีแล้วก็เงยหน้าไปมองหรงซิว
หรงซิวขยับริมฝีปากเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอันใด
เขาอนุญาตให้ทหารเข้ามา อีกฝ่ายบอกเขาว่าองค์ไทเฮาและฮ่องเต้้าพบหรงซิว
การล่าสัตว์ในวสันต์ฤดูนี้ ผู้ที่รับผิดชอบงานหลักๆ คือ หรงซิว เขามีเื่ต้องรายงานทั้งภายในและภายนอกใน รวมทั้งเื่ใหญ่และเื่เล็ก
หรงซิวสั่งให้อวิ๋นอี้พักผ่อนเยอะๆ ในตอนเย็นจะมีคนมาเชิญไปงานเลี้ยง
“ถ้าเบื่อจริงๆ เ้าไปเดินรอบๆ แต่อย่าอยู่ห่างจากกระโจมนี้ มีสัตว์มากมายอาศัยอยู่ในป่าข้างหลัง บางตัวก็ดุร้ายไม่เชื่อง หากมันเกิดบ้าคลั่งกัดเ้าขึ้นมา ข้าคงทรมานใจยิ่งนัก”
ก่อนจะจากไป เขาจับมือนางและพูดคำเลี่ยนๆ มากมาย
อวิ๋นอี้ในตอนนั้นคิดเพียงว่าเขาช่างออดอ้อนและแสดงเก่งยิ่งนัก แต่หลังจากที่เขาจากไป เมื่อคิดย้อนกลับไป แก้มของนางก็แดงปลั่งอย่างบอกไม่พูด
ฟู่วว
หยุดคิดได้แล้ว หยุดคิดเสีย
บุรุษผู้นี้ช่างร้ายกาจยิ่งนัก
อวิ๋นอี้เดินไปรอบๆ กระโจมเพื่อหาอะไรทาน นางไม่ได้หิวมาก เพียงแค่รู้สึกอยากทานเท่านั้น แต่ปรากฏว่าไม่มีอะไรเลยนอกจากผิงกั่ว [2] สองสามลูก ช่างดูยากจนเสียจริง
นางรู้สึกเบื่อ จึงหยิบผิงกั่วมากิน กินไปได้ครึ่งลูก กู่ซือฝานก็เดินมาหานาง
กู่ซือฝานก็เหมือนนาง เบื่อจนจะถอนผมตัวเองอยู่แล้ว ทันทีที่ทั้งสองพบกัน ความคิดก็พลุ่งพล่านขึ้นมา ที่สำคัญกว่านั้น กู่ซือฝานนำขนมมาด้วยไม่น้อย นางจึงเริ่มบทสนทนา เกี่ยวกับเื่ของซูเมี่ยวเออร์
นางกล่าวว่าจิ้งจอกน้อยที่พวกนางได้เห็นก่อนหน้านี้ ได้ยินว่าซูเมี่ยวเออร์เลี้ยงมานานแล้ว อวิ๋นอี้รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย พูดจากใจจริงคือมองมิออกเลยว่าซูเมี่ยวเออร์จะเป็คนที่รักสัตว์
กู่ซือฝานฟังแล้ว ก็เหยียดปากอย่างดูถูก "ก็เพราะว่าจิ้งจอกตัวนั้น หรงซิวเคยเลี้ยงน่ะสิเพคะ"
อวิ๋นอี้ใมากกว่าเดิม เอามือกุมคางอย่างรวดเร็ว "พวกเขาเคยมี่เวลาด้วยกันหรือ?"
"่เวลากระไรเพคะ" กู่ซือฝานขัดคำพูดนาง "จิ้งจอกตัวนั้นเป็รางวัลอันดับหนึ่งในเทศกาลล่าสัตว์ปีที่แล้ว แม้ว่ามันจะดูไม่ต่างจากจิ้งจอกทั่วไปแต่ สายพันธุ์นั้นดีเลิศ ล้ำค่ายิ่งนัก ท่านพี่ได้มาแล้วก็ทรงโปรดเหลือเกิน ดูแลมันอย่างดีที่สุด”
“แล้วเหตุใดถึงตกไปอยู่ในมือของซูเมี่ยวเออร์ได้เล่า?”
“ซูเมี่ยวเออร์เห็นเข้าน่ะสิเพคะ นางบอกว่านางชอบจิ้งจอกตัวนี้มาก วิ่งไปจวนองค์ชายทุกวัน พอพูดถึงเื่นี้ ข้าก็อดมิได้ นางชอบจิ้งจอกที่ไหนกัน นางน่ะชอบแย่งของของท่านพี่ต่างหาก” กู่ซือฝานพูดอย่างดูถูก เบ้ปากจนจะหลุดอยู่แล้ว “ภายหลังท่านพี่ก็คงรู้สึกว่านางเข้ามาพัวพันมากเกินไป จึงยกจิ้งจอกตัวนั้นให้นางไป”
“......”
อวิ๋นอี้หยิบผลไม้แช่อิ่มชิ้นหนึ่งเข้าปาก แล้วคำนวณเวลา ปีที่แล้วเ้าของร่างนี้น่าจะอภิเษกกับหรงซิวแล้ว
เมื่อคิดถึงเื่นี้ นางก็อธิบายไม่ถูกว่าในใจรู้สึกเช่นไร “ซูเมี่ยวเออร์ไปที่จวนองค์ชายทุกวัน นางคิดว่าพระชายาอย่างข้าตายแล้วหรือ?”
“ท่านพี่ก็เหมือน…” กู่ซือฝานโพล่งออกมา จากนั้นก็รู้สึกไม่ดี จึงเปลี่ยนคำพูดไปกลางอากาศ “ในครานั้น พี่สะใภ้เจ็ด ด้วยนิสัยของท่านแล้ว มีหรือไม่มีท่านอยู่ ก็หาได้มีความแตกต่างกันเลยเพคะ”
อวิ๋นอี้เข้าใจแล้ว
นิสัยของเ้าของร่างเดิมนั้นอ่อนแอเกินไป แม้แต่คนที่เห็นได้ชัดว่ามาเพื่อแย่งบุรุษของตน เพียงจะผายลมก็ยังมิกล้า ไม่น่าแปลกใจที่นางจะถูกรังแก
แต่ว่า ตอนนี้สลับเป็นางแล้ว จะมายุ่งกับนางไม่ง่ายเช่นนั้นหรอกนะ
ในชาติที่แล้ว นางเป็ถึงเจ๊ใหญ่ ผู้ใดกล้าด่านาง นางก็ทุบมันเสียเลย
จะปล่อยให้ตนเองต้องตกระกำลำบากในยุคสมัยที่ไม่รู้ชื่อเช่นนี้หรือ?
ขออภัยด้วย ไม่มีทางเสียหรอก
ว่ากันว่าสตรีผู้หนึ่งเปรียบได้กับเป็ดมากกว่าสองพันตัว ก๊าบก๊าบเจื้อยแจ้วมิได้หยุด และเมื่อสตรีสองคนมารวมตัวกัน นั้นก็เป็การพูดคุยที่ไม่รู้จบ
อวิ๋นอี้และกู่ซือฝานทานไปพลางดื่มไปพลางพูดคุยไปพลาง กว่าจะรู้ตัว มันก็ค่ำเสียแล้ว
จนกระทั่งมีทหารมาส่งข่าวจากนอกกระโจมให้พวกนางไปงานเลี้ยง
มีพระที่นั่งอยู่บนลานล่าสัตว์ ที่เป็ที่สำหรับองค์ฮ่องเต้ และที่สำหรับจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำก็อยู่ในวังนั้น อวิ๋นอี้และกู่ซือฝานเดินเคียงคู่กันไปจนถึงประตูวัง โดยมีทหารคอยนำทาง
พวกนางเข้าไปในห้องโถงใหญ่ คนที่มาถึงยังมีไม่มากนัก มีสตรีและบุรุษนั่งอยู่ทางด้านซ้ายและด้านขวาของห้องโถง
อวิ๋นอี้ไม่เคยเข้าร่วมในโอกาสเช่นนี้มาก่อน เกรงว่าตนจะทำเื่ขายหน้าเข้า นางจึงเดินตามกู่ซือฝานและฟังคำกระซิบอธิบายของนาง
โดยทั่วไปแล้วสตรีและบุรุษที่ยังไม่ได้แต่งงานจะต้องนั่งแยกกัน หากแต่งงานแล้วจะนั่งกับสวามีของตน
อวิ๋นอี้มองไปรอบๆ หลายครั้ง แต่ก็ไม่พบแม้เงาของหรงซิว
“พี่สะใภ้เจ็ด หาไม่เจอก็ไม่เป็ไรเพคะ” กู่ซือฝานยิ้มมองดูองค์ชายเก้าที่เดินมาไม่ไกล ตาเป็ประกาย “ที่นั่งของท่านพี่กับท่าน อยู่ข้างๆ พวกเรา ท่านมาด้วยกันกับข้าเถิด”
นางไม่อยากจะไปจริงๆ เพราะกลัวว่าจะถูกกู่ซือฝานพลอดรักให้ดู
กู่ซือฝานสนใจความคิดของนางที่ไหน หญิงสาวดึงแขนเสื้อของอวิ๋นอี้ให้ตามมาตนไปติดๆ
องค์ชายเก้ามีนามหรงหลิน ก่อนหน้านี้ที่ในสนามแข่งม้าในวัง พวกเขาได้พบกันแล้วครั้งหนึ่ง
เพียงแต่ว่าตอนนั้นอวิ๋นอี้ใจจดจ่ออยู่กับแผนการของซูเมี่ยวเออร์ นางมิได้สังเกตเลยว่าเขาหน้าตาเป็เช่นไร
ตอนนี้นางอยู่ใกล้พอที่จะมองเขาให้ชัดได้ แม้ว่าหรงหลินจะหน้าตาดี แต่ก็ไม่อาจเทียบกับหรงซิว
อย่างดีที่สุด เขาถือได้ว่าเป็ชายหนุ่มที่งดงาม สดใส สมเป็องค์ชาย แต่หากจะพูดว่าเป็ความงดงามที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้ กระนั้นคงจะเกินไปสักหน่อย
อวิ๋นอี้แอบเปรียบเทียบในใจ ก็พบว่าตัวเองนึกถึงหรงซิวอย่างไม่ทันรู้ตัวอีกแล้ว จึงรีบส่ายหัว
เหตุใดต้องคิดถึงเขาด้วยเล่า!
นางหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเอง ในยามนั้นสายตาของหรงหลินพลันจับการเคลื่อนไหวเล็กๆ ของนางได้ ดวงตาของเขาแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย กล่าวทักทายนิ่งๆ “พี่สะใภ้เจ็ด ท่านพี่เล่าขอรับ?”
“อ่า เขามีธุระน่ะ ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ใด”
หรงหลินยกริมฝีปากขึ้น “ข้าได้ยินฝานฝานบอกว่าพี่สะใภ้เจ็ดสูญเสียความทรงจำ เพลานี้ทรงแข็งแรงดีหรือไม่ขอรับ?”
“แข็งแรงดีเพคะ!” อวิ๋นอี้พูดอย่างเกรงใจ “นอกจากเื่สูญเสียความทรงจำแล้ว เื่ต่างๆ ล้วนดียิ่งเพคะ”
“มันเป็พรมิใช่คำสาป ความทรงจำหายไป มิแน่อาจจะเป็เื่ที่ดีก็ได้ขอรับ” หรงหลินกล่าวอย่างมีความหมายลึกซึ้ง
อวิ๋นอี้ทำได้เพียงพยักหน้าเห็นด้วย
เมื่อบรรยากาศกำลังเปลี่ยนไป กู่ซือฝานพลันโบกมือ พาพวกเขาไปนั่งที่ "ไปกันเถิดเพคะ นั่งก่อนค่อยคุยกันต่อ"
อวิ๋นอี้นั่งลงใกล้ๆ ฟังพวกเขาพูดคุยกัน นางหันไปคุยด้วยเป็บางครา เวลาที่เหลือ ก็นั่งเงี่ยหูฟังคนรอบข้างสนทนา
ผู้คนในห้องโถงใหญ่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น
ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา หรงซิวก็เข้ามา วินาทีที่เขาปรากฏตัวที่ประตู อวิ๋นอี้ก็เห็นเข้า แต่นางมิได้สังเกตตัวเองด้วยซ้ำว่านางเผลอผ่อนคลายได้ในทันทีที่เห็นเขา
กู่ซือฝานโน้มตัวมาพูดว่า “พี่สะใภ้เจ็ด! ท่านพี่มาแล้วเพคะ!”
อวิ๋นอี้ยกมือขึ้น ส่งสัญญาณให้หรงซิวเห็นตำแหน่งของนาง ทันใดนั้นก็มีใบหน้าหนึ่งโผล่ขึ้นมาข้างหลังหรงซิว
เป็ซูเมี่ยวเออร์
มือที่นางยก ดูน่าขัดเขินขึ้นทันใด
ใบหน้าของอวิ๋นอี้ร้อนผ่าวเล็กน้อย นางรีบดึงมือกลับอย่างรวดเร็วราวกับมิมีอันใดเกิดขึ้น เหลือบมองไปรอบๆ ก็เห็นคนปิดปากกลั้นหัวเราะอย่างอดไม่ได้
mmp [3]
ระวังเพียงนี้แล้ว ยังขายหน้าคนเสียได้
นางกัดฟันมองหรงซิว แต่สีหน้านางยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้มปานสายลมยามวสันต์
หลังจากที่หรงซิวเดินเข้ามา นางไม่ได้เอ่ยถึงเื่กู้หน้าเลย กลับจับมือเขาอย่างสนิทสนมและพูดอย่างอ่อนโยนว่า "เหตุใดถึงเพิ่งมาเล่าเพคะ?ข้ารออยู่นานแล้วนะ!"
แววตาของหรงซิวหวานล้ำ มองนางนิ่งๆ
ปกตินางจะไม่ใช้น้ำเสียงเช่นนี้
หรงซิวขยับมุมปาก โน้มตัวเล็กน้อย ในสายตาของฝูงชน ริมฝีปากของเขาปัดผ่านหูนางเบา ๆ ชายหนุ่มพูดด้วยเสียงต่ำว่า "อดใจรอไม่ไหวถึงเพียงนี้เชียวหรือ"
อดใจรอไม่ไหวบ้านท่านสิ
ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อรักษาหน้ารู้หรือไม่!
อวิ๋นอี้อดกลั้นอาการคลื่นไส้ พูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลว่า "ก็ใช่น่ะสิเพคะ ฝ่าาไม่มา ข้าคิดถึงฝ่าาจนจะสิ้นลมแล้ว"
หากจะแข่งว่าผู้ใดจะยั่วยุได้มากกว่ากัน น่าขยะแขยงมากกว่า นางไม่เคยกลัว
ดวงตาของหรงซิวมืดครึ้มลง จู่ๆ เขาก็เอื้อมมือไปดึงเอวนางมาตรงหน้า เขาหอบหายใจเล็กน้อยแล้วจูบนางที่ริมฝีปากราวกับแมลงปอแตะผิวน้ำ
อวิ๋นอี้ใ กำลังจะถอยกลับ หรงซิวก็ไม่ยอมปล่อย เลียริมฝีปากอย่างได้ใจ “เสียงเมื่อครู่ ทำเอาข้าทนมิไหว”
“ปล่อยข้า!” นางถูกเขาทำให้หน้าแดง ที่นี่มีคนมากมาย ถ้าจะกอดรัดกันต่อไปเช่นนี้ เกรงว่าจะกลายเป็ที่พูดถึงเป็แน่
“ไม่ปล่อย” หรงซิวปฏิเสธ “เ้ามิได้อยากจะกู้หน้าจากเื่น่าอายเมื่อครู่นี้หรือ?”
เขารู้!
หรงซิวเลิกคิ้ว พอใจกับท่าทีใของนางมาก “ตอนนี้พอใจหรือยัง?”
พอใจ?
อวิ๋นอี้มองไปทางซูเมี่ยวเออร์ทันใด เมื่อเห็นใบหน้าของนางมืดครึ้มลง มุมปากก็กลั้นยิ้ม นางพอใจยิ่งนัก
รู้สึกดีเสียจริงที่ได้เห็นนางเหี่ยวเฉา
เชิงอรรถ
[1] แปรงสองอัน 两把刷子 หมายถึง คนที่มีความสามารถจริงๆ
[2] ผิงกั่ว 苹果 หมายถึง แอปเปิล
[3] mmp มาจาก 妈卖批 หมายถึง คำสบถที่หยาบคาย