เมื่อได้ยินชื่อวัดสุ่ยอวิ๋น แววตาฉู่ลี่เกิดความสงสัยขึ้น ทว่าไม่ตื่นตระหนก เขากำลังพานางเดินออกไปที่ประตูวัง
ระหว่างที่อยู่กลางทาง มู่อวิ๋นจิ่นนึกถึงโองการลับที่ฉินไท่เฟยเล่าให้ฟังเกือบตลอดเวลา
……
เมื่อขึ้นรถม้าเดินทางมาจนถึงวัดสุ่ยอวิ๋น มู่อวิ๋นจิ่นะโลงวิ่งไปที่สวนต้นถาวที่อยู่ด้านหลัง คุกเข่าลงกับพื้นใช้สองมือขุดดินต้นถาวที่ใกล้ที่สุด
จากนั้นไม่ไกลนัก ฉู่ลี่และอาจารย์ไฮว๋หยวนแอบดูอยู่ห่างๆ ห้วยสีหน้าสงสัย จนในที่สุดอาจารย์ไฮว๋หยวนเอ่ยขึ้นก่อนว่า “โชคยังดีที่องค์ชายเอาของที่ซ่อนไว้ใต้ต้นถาวไปก่อน มิอย่างนั้นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไม่รู้ว่าจะเป็เช่นไร”
ฉู่ลี่พยักหน้ายกมือขึ้นพาดหลัง มองไปที่ต้นถาวทั้งหมด “วันนี้สั่งให้คนมาตัดทิ้งให้หมด เปิ่นหวงจื่อจะสั่งให้คนมาชดใช้ความเสียหายให้ใหม่”
อาจารย์ไฮว๋หยวนตกตะลึง ส่ายหน้าพร้อมกับหัวเราะ “องค์ชายหกตัดสินใจตัดทิ้งเลยหรือ?”
ฉู่ลี่ยิ้มุมปาก “่นี้พบว่ามีคนอยู่ข้างกายบ้างก็ไม่เลว”
“ชีวิตของคนเรานั้นโดดเดี่ยวเป็ทุนเดิม คงมีเพียงความรักอย่างเดียว ถึงจะสามารถเหนี่ยวรั้งคนแปลกหน้าทั้งสองคนให้เดินไปสุดทางได้” อาจารย์ไฮว๋หยวนแฝงคติไว้
จากนั้นเสริมขึ้นอีกประโยคว่า “แต่ว่าองค์ชายมั่นใจหรือ ว่านางจะเป็คนที่เดินเคียงข้างไปจนสุดทาง?”
ฉู่ลี่หันไปด้านข้างมองอาจารย์ไฮว๋หยวนโดยไม่เอ่ยคำใด
มู่อวิ๋นจิ่นขุดต้นถาวครั้งเดียวไปแล้วห้าหกต้น ด้านล่างนั้นมีเพียงดินที่แห้งแข็ง ไม่พบสิ่งของอะไรทั้งนั้น จนสุดท้ายนางนั่งลงกับพื้นอย่างถอดใจ
ฉู่ลี่ค่อยๆ เดินเข้าไปหานาง ย่อตัวลงด้านข้าง จ้องไปที่แววตานาง “เ้ากำลังหาอะไร?”
มู่อวิ๋นจิ่นถอนหายใจส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตามหาอะไรอยู่”
ฉู่ลี่ฉีกยิ้ม ยกมือขึ้นไปนวดขมับให้นาง “ให้องครักษ์ลับชุดม่วงมาช่วยเ้าหาด้วยกัน”
มู่อวิ๋นจิ่นชะงักขึ้นทันที ตบแข้งตบขาเสียงดัง “ใช่แล้ว ทำไมข้าถึงคิดไม่ถึงด้วย”
เมื่อสิ้นเสียง มู่อวิ๋นจิ่นยกนกหวีดขึ้นมาเป่าครั้งเดียว องครักษ์ลับชุดม่วงปรากฏตัวรอบทิศทาง
มู่อวิ๋นจิ่นกำชับให้พวกเขาเริ่มขุดดินใต้ต้นถาว เพื่อหาของบางอย่าง
ไม่นานนัก ต้นถาวที่อยู่ด้านหลัง กลับล้มต้นลงมาจนเกือบหมด
ด้านอาจารย์ไฮว๋หยวนที่ยืนมองอยู่ไม่ไกล ยกมือขึ้นพนม ถอนหายใจอย่างเสียดาย “อมิตาพุทธ น่าเสียดายต้นถาวเ่าั้เสียจริง”
……
หลังจากมู่อวิ๋นจิ่นฟังรายงานขององครักษ์ลับชุดม่วง ดูไม่อยากเชื่อในคำพูดจึงลุกขึ้น เดินตรวจดูต้นถาวทีละต้นๆ
เป็ไปไม่ได้ ทำไมถึงหาไม่เจอของสิ่งนั้นด้วย?
หรือว่ามีใครมานำของที่ซ่อนไว้ใต้ต้นถาวเอาไปก่อน?
มู่อวิ๋นจิ่นเม้มปากรู้สึกร้อนรนใจ กระทืบเท้าตึงตัง สะบัดหน้าเดินออกไป
ฉู่ลี่เห็นท่าทางโกรธที่มู่อวิ๋นจิ่นแสดงออกมา จึงหันไปผายมือให้องครักษ์ชุดม่วงไปซ่อนตัวตามเดิน
พอมู่อวิ๋นจิ่นเดินกลับมาถึงประตูจวน จู่ๆ มักนึกถึงความลับที่ฉินไท่เฟยบอกกล่าว กระมั่งเตรียมตัวหมายเข้าวังสอบถามฉินไท่เฟยให้แน่ชัด กลับถูกฉู่ลี่ยืนมือห้ามไว้
“เ้าเกิดกลัวอะไรขึ้นมา?”
ฉู่ลี่ยกมือขึ้นจับไหล่ของมู่อวิ๋นจิ่น จนสายตาสอดประสานกัน
“ข้า……” มู่อวิ๋นจิ่นละล่ำละลักไม่รู้จะเอ่ยหับฉู่ลี่เช่นไร และสิ่งที่ฉินไท่เฟยบอกกล่าวทิ้งท้ายไว้สองเื่ช่างเืเย็นเหลือเกิน
คิดมาถึงตรงนี้ มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มกว้างๆ “ไม่มีอะไรหรอก พวกเรากลับจวนกันเถอะ ข้ารู้สึกเพลียขึ้นมาแล้ว”
ระหว่างที่ขึ้นไปนั่งบนรถม้า มู่อวิ๋นจิ่นที่นั่งพิงพนัก กำลังนั่งแคะเศษดินในเล็บให้กระเด็นไปไกล
ฉู่ลี่สังเกตสายตาของมู่อวิ๋นจิ่น ด้วยความกระหายใคร่รู้
ั้แ่รู้จักกันมานาน มู่อวิ๋นจิ่นชักไม่ไม่เข้าใจ
เมื่อเดินทางเหน็ดเหนื่อยกว่าจะกลับมาถึงจวนก็ดึกแล้ว
มู่อวิ๋นจิ่นเดินลงรถม้า รีบสาวเท้าเข้าไปที่เรือนลี่เฉวียน ทั้งยังกำชับจื่อเซียงให้เฝ้าประตูด้านนอก ห้ามทุกคนเข้ามา
……
พอเข้าห้องไปแล้ว รูปขนหงส์สีทองข้อมือของมู่อวิ๋นจิ่นเรืองแสงขึ้น เพื่อรอการมาของฉีฉี่
นั่งจิบชารอกระทั่งหมดไปสองเเก้ว แสงสีชมพูเรืองแสงขึ้น ร่างของฉีฉี่ยืนหายใจกระหืดกระหอบปรากฏขึ้นในห้อง
“นายหญิง มีเื่ใดร้อนใจหรือเ้าคะ?” ฉีฉี่นั่งลงข้างกายมู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นรินน้ำชาให้ฉีฉี่ รอจนดื่มหมดลง ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “เ้าเชี่ยวชาญในเื่การสะกดรอยตามมากใช่ไหม? เช่นนั้นช่วยตามหาโองการลับฉินไท่เฟยให้หน่อย”
“เื่นั้น……” ฉีฉี่ยกมือขึ้นเกาหูด้วยความลำบากใจ
เพียงแต่แววตาของมู่อวิ๋นจิ่นดูอาลัยอาวรณ์ จนฉีฉี่ยอมใจอ่อนพยักหน้ารับ “บ่าวจะลองดูเ้าค่ะ”
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้างกๆ
ฉีฉี่นั่งขัดสมาธิที่พื้น รวบพลังลมปราณ เปล่งแสงสีชมพูที่ปลายนิ้วทั้งห้าจนห้องสว่างวาบไปทั่ว
มู่อวิ๋นจิ่นต้องหรี่ตาลงด้วยแสงสว่างได้แยงเข้าที่ตา
ใช้เวลาไปประมาณต้มกาน้ำชาเดือด พลังลมปราณที่ปลายนิ้วของฉีฉี่ก็ดับลง ลุกขึ้นมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่น
“นายหญิงหาไม่พบเ้าค่ะ” ฉีฉี่บอก
“เช่นนั้นก็ช่างเถอะ” มู่อวิ๋นจิ่นตอบอย่างห่อเหี่ยวใจ
“นายหญิงต้องเป็กังวลไป สาเหตุที่ฉีฉี่หาไม่พบประกอบไปด้วยสองปัจจัย ได้แก่ หนึ่งคืออีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่า สองคือของสิ่งนั้นไม่เคยมีอยู่จริง” ฉีฉี่อธิบายปลอบใจไปด้วย
“ไม่เคยมีอยู่จริง?” มู่อวิ๋นจิ่นจับประเด็นไปที่ประโยคหลัง
ฉีฉี่พยักหน้างกๆ ด้วยมั่นใจในความสามารถที่ตนเองช่ำชอง
หลังจากที่มู่อวิ๋นจิ่นได้ฟังฉีฉี่อธิบาย จิตใจของนางที่บีบคั้นได้ผ่อนคลายลง หวังว่าสิ่งที่ฉีฉี่บอกว่าไม่เคยมีอยู่จริงนั้นเป็เื่จริง
ทว่าฉินไท่เฟยดูเหมือนไม่มีเหตุผลใดที่จะหลอกนาง
มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกปวดหัวสมองเหมือนจะะเิเป็เสี่ยงๆ จนต้องยกมือขึ้นจับไว้
“นายหญิงเป็อะไรไปเ้าคะ?” ฉีฉี่มองอยากพิจารณา
หลังจากนั้นแวบเดียว ฉีฉี่ได้เอ่ยขึ้นต่อหน้ามู่อวิ๋นจิ่น “ฉีฉี่ทราบแล้วว่า นายหญิงถูกความรักครอบงำ……”
“จะบ้าไปแล้วเหรอ!” มู่อวิ๋นจิ่นถลึงตาใส่
ฉีฉี่ยกมือขึ้นปิดปากที่หัวเราะ “เอาล่ะ ในเมื่อไม่มีเื่อื่นใด บ่าวขอตัวก่อนเ้าค่ะ”
“อืม” มู่อวิ๋นจิ่นผงกหน้า
จากนั้นร่างของฉีฉี่ก็หายวับไปในพริบตา
พอฉีฉี่จากไปแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นเปิดประตูห้องเดินออกไปหาจื่อเซียงที่นั่งรออยู่ทางเดิน เมื่อจื่อเซียงเห็นนางก็รีบพรวดลุกขึ้น
“คุณหนูหิวไหมเ้าคะ ทานอะไรดีเอ่ย?” จื่อเซียงถามขึ้น
มู่อวิ๋นจิ่นส่ายหน้า ยกมืดบิดี้เี “ช่วยข้าไปเตรียมน้ำร้อนให้หน่อย ประเดี๋ยวข้าจะชำระร่างกาย”
เมื่อได้ยินคำว่าชำระร่างกาย ประตูห้องที่อยู่เยื้องกันก็เปิดได้เปิดขึ้น ฉู่ลี่เปลี่ยนชุดใหม่ เดินตามติงเซี่ยนที่ถือโคมไฟนำทาง พากันเดินไปข้างนอก
“นี่ เ้าจะไปไหน?” มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยถามขึ้น
ฉู่ลี่หยุดฝีเท้าลง หันมาตอบเสียงเรียบ “มีบางเื่ที่ต้องไปจัดการ”
มู่อวิ๋นจิ่นตอบ “อืม” แล้วเดินกลับเข้าห้องนางไปดังเดิม
ฉู่ลี่แสยะยิ้มมุมปากมองไปที่ห้องของนาง
……
มู่อวิ๋นจิ่นนั่งลงในอ่างน้ำร้อนที่มีฉากกันลมบังอยู่ ด้วยความรู้สึกขัดหูขัดตา ที่สู้บ่อน้ำร้อนที่ไปแช่ตัวในห้องฉู่ลี่ไม่ได้
ในเวลานี้จื่อเซียงหยิบตะกร้าสานที่ใส่กลีบดอกไม้เข้ามา เตรียมโปรยลงในอ่างน้ำร้อน กลับถูกมู่อวิ๋นจิ่นห้ามเอาไว้
“คุณหนู?” จื่อเซียงฉงนที่มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยห้าม
“ไม่ต้องโปรยกลีบดอกไม้” มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกได้ถึงกลิ่นกลับดอกไม้ช่างแสบจมูกไปหมด
จื่อเซียงจึงก้มหน้าถือตะกร้าสานออกไป
หลังจากมู่อวิ๋นจิ่นชำระร่างกายเรียบร้อย ได้เอนตัวนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง ภายในหัวมีแต่คำว่า “โองการลับ” วนเวียนไม่หยุด
พูดก็พูดเถอะ คนบางคนที่ใกล้ตายมักจะทำให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ ต้องอยู๋อย่างไม่สงบไปทั้งชีวิต
ด้วยเหตุนี้นางนึกถึงภาพในความทรงจำแรกที่ได้พบหน้าฉินไท่เฟย เห็นท่าทางที่เป็มิตรจิตใจโอบอ้อมอารีย์ แต่ความเป็จริงแล้วกลับน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
คนเรานั้นรู้หน้าไม่รู้ใจจริงๆ
มู่อวิ๋นจิ่นคิดจนง่วงหงาวหาวนอน เตรียมงีบหลับ จู่ๆ มีเสียงคนเคาะประตูดังขึ้น
“ใครกัน?” มู่อวิ๋นจิ่นถามอย่างหงุดหงิดที่มาขัดจังหวะ
“คุณหนู ฉินไท่เฟยสิ้นแล้ว รีบเข้าวังเถอะเ้าค่ะ!” จื่อเซียงรายงานที่หน้าประตู
ความง่วงที่ครอบงำอยู่นั้นหายเป็ปลิดทิ้ง นางพรวดขึ้นมานั่งบนเตียง เป็ครั้งแรกที่ทำตัวไม่ถูก ฉินไท่เฟยสิ้นแล้ว เช่นนั้นโองการลับคงจะถูกเปิดเผยออกมาในไม่ช้า
มู่อวิ๋นจิ่นรีบเปลี่ยนชุดและสวมรองเท้า รวบผมอย่างี้เี มองดูเวลาพบว่าอยู่ใน่ยามจื่อสือ[1]
“ฉู่ลี่อยู่ไหน?” มู่อวิ๋นจิ่นเดินออกมาก็ถามขึ้นเป็สิ่งแรก
จื่อเซียงส่ายหน้าไปมา “เมื่อวานนี้ั้แ่ที่องค์ชายกับติงเซี่ยนออกจากชวนไป ก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย ตอนนี้คนในวังที่จะพาไปรออยู่หน้าจวน เอาเป็ว่าคุณหนูเดินทางไปก่อนดีไหมเ้าคะ?”
มู่อวิ๋นจิ่นเม้มริมฝีปากด้วยความร้อนใจ “ให้ข้าเข้าวังเพียงคนเดียว ส่วนเ้ารอฉู่ลี่กลับมา เมื่อเขากลับมาแล้วบอกให้รีบเข้าวังให้เร็วที่สุด!”
“ได้เ้าค่ะคุณหนู”
มู่อวิ๋นจิ่นสาวเท้าเดินออกประตูจวน เห็นขันทีคนหนึ่งยืนรออยู่ โดยที่รถม้าของจวนไปรอนางแล้ว
ตลอดทาง จิตใจของมู่อวิ๋นจิ่นเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ อย่างเร็วและแรง จนนางต้องเอามือทั้งสองข้างบีบเข้าหากัน เพื่อสงบสติอารมณ์
เมื่อรถม้ามาหยุดที่หน้าประตูวังหลวง
มู่อวิ๋นจิ่นเดินลง โดยมีรถม้าจวนแม่ทัพหยุดลงที่ด้านข้างพอดี พระชายาฉินซูหนิงกับฉินมู่เยว่เดินลงมาก่อน ตามด้วยฉินมู่หลานปิดท้าย
พอเห็นทั้งสามคน มู่อวิ๋นจิ่นรีบสาวเท้าเดินเข้าประตูวังหลวงด้วยความรวดเร็ว
ฉินมู่หลานที่เห็นมู่อวิ๋นจิ่นจากด้านหลัง สายตาพลันจับจ้องมิละไปไหน โดยทุกอย่างที่เกิดอยู่ในสายตาของฉินมู่เยว่ทั้งหมด
ทุกคนมีจุดมุ่งหมายที่ตำนักของฉินไท่เฟย ดังนั้นไม่ว่ามู่อวิ๋นจิ่นจะสาวเท้าเร็วเพียงใด สุดท้ายสามคนนี้ก็ต้องเดินตามหลังไปที่เดียวกันอยู่ดี
“พี่สะใภ้อวิ๋นจิ่นเดินช้าๆ หน่อยเถอะ” ฉินมู่เยว่วิ่งไป จับไหล่มู่อวิ๋นจิ่นจากด้านหลัง
มู่อวิ๋นจิ่นดึงตัวสะบัดมือของฉินมู่เยว่ที่จับให้หลุดลง และปรายตามองโดยไม่เอ่ยคำใด
ฉินมู่เยว่ไม่รู้สึกหงุดหงิด กลับยิ้มหวานเข้าสู้ กดเสียงต่ำเอ่ยขึ้น “ฉินไท่เฟยทำกับเ้าไม่ดีมากมาย ไหนๆ นางก็ตายไปแล้ว เ้าจะรีบร้อนลนลานไปทำไมกัน?”
[1] ยามจื่อสือ คือ ่เวลาั้แ่ 23.00-01.00 น.