เมื่อต้วนเสี่ยวโหลวกลับมาถึงวัดและได้ยินว่าเหอตังกุยจัดยาอยู่ในโรงยา เขาจึงรีบะโขึ้นไปบนหลังคา ะโเพียงไม่กี่ครั้งก็ถึงหน้าประตูโรงยาแล้ว
“ข้าขอโทษ เป็ความผิดของพวกข้าที่ทำให้ที่นี่เละเทะไปหมด ไม่อย่างนั้นเ้าคงไม่ต้องลำบากทำความสะอาดที่นี่” ต้วนเสี่ยวโหลวกล่าวขอโทษเหอตังกุย “ข้าเองก็พอรู้จักสมุนไพรพวกนี้ ข้าช่วยเ้าจัดดีกว่า”
เหอตังกุยส่ายหน้าพลางเอ่ย “คุณชายต้วนกล่าวผิดแล้วเ้าค่ะ หากไม่ใช่เพราะพวกท่านทำให้ที่นี่เละเทะ ข้าจะมีโอกาสเข้ามาหยิบจับและปรุงยาตามใจชอบได้อย่างไรเ้าคะ ข้าต่างหากที่ควรจะขอบคุณท่านถึงจะถูก แล้วเื่นั้นเป็อย่างไรหรือเ้าคะ?”
ต้วนเสี่ยวโหลวปรายตามองนางด้วยความอบอุ่นพลางเอ่ย “ทุกอย่างเป็ดังที่เ้าคาดไว้ สตรีชั่วสองนางนั้นรับเงินของข้าไปจากเ้า ทว่ายังคงนำรถม้าคันนั้นไปส่งที่หอนางโลม ข้าจึงเรียกทหารมาสองสามนาย แจ้งข้อหา “ค้ามนุษย์” แก่พวกนาง โทษฐานรับเงินข้าแต่กลับขายพวกนางให้แก่คนอื่น หลังจากนั้นทหารก็ค้นตัวพวกนางเจอเงินห้าสิบตำลึง เป็หลักฐานพิสูจน์คำพูดของข้า ดังนั้นจึงนำตัวสตรีชั่วสองนางนั้นเข้าคุกได้"
แม้ในสมัยนี้จะไม่อนุญาตให้มีการค้ามนุษย์ แต่เพื่อป้องกันสิทธิประโยชน์ของผู้ที่ถูกขาย ดังนั้นบทลงโทษของการค้ามนุษย์จึงหนักหนาสาหัส หากเป็บุรุษต้องถูกเนรเทศ หากเป็สตรีต้องกลายเป็ทาสรับใช้ ยายเฉิงและยายอู่หาเื่ใส่ตัวเอง บทลงโทษนี้นับว่าเป็สิ่งที่สมควรได้รับ
เหอตังกุยเอ่ยถาม “สถานการณ์ของพวกนางเป็อย่างไรบ้างเ้าคะ? เจินจูเป็ห่วงพวกนางมาก”
ใบหน้าหล่อเหลาของต้วนเสี่ยวโหลวแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อยก่อนเอ่ย “ข้า... จะคิดวิธีจัดหาที่พักให้พวกนาง เ้าบอกแม่นางเจินจูได้เลยว่าต่อไปนี้พวกนางจะไม่ลำบากอีก”
เขาลังเลครั้งแล้วครั้งเล่าทว่ากลับไม่ได้เอ่ยความจริง หลังจากจัดการเื่ยายเฉิงและยายอู่แล้ว แม่ชีทั้งเจ็ดคนก็ได้สติ บ้างก็เข้ามาจับแขนเสื้อของเขา บ้างก็เข้ามากอดเขา ร้องห่มร้องไห้ไม่หยุด ในใจของเขาอดรนทนไม่ไหว จึงรับปากว่าจะรับพวกนางเป็สาวใช้และพาทั้งหมดกลับจวนที่เมืองหลวงด้วย หากเพิ่มแม่นางเสวี่ยกับเหลียนเอ๋อร์สองแม่ลูกที่เขาช่วยเหลือที่เมืองหยางโจว ครั้งนี้จะต้องพากลับไปทั้งหมดสิบคน นั่นเป็จำนวนที่ “เกินกำหนด” ไว้ ไม่รู้ว่ามารดาของตนจะโมโหจนคลุ้มคลั่งอีกหรือไม่...
เหอตังกุยเงียบไปทันที จากนั้นจึงเอ่ยพลางยิ้ม “เช่นนั้นก็รบกวนคุณชายต้วนด้วยนะเ้าคะ”
ทั้งสองคนจัดยาตลอดจนถึงเที่ยงคืน เหอตังกุยห่อสมุนไพรกลับไปสองห่อ ต้วนเสี่ยวโหลวมีน้ำใจส่งนางกลับไปยังห้องปีกซ้ายฝั่งตะวันออก หลายครั้งที่อยากจะเอ่ยปากกล่าวบางอย่างแต่กลับไม่รู้ว่าควรเริ่มจากตรงไหน ความรู้สึกที่ต้องแยกจากสตรีเบื้องหน้า ไม่รู้ว่าเขาเข้าใจผิดไปหรือไม่ ทั้งที่วันนี้ตอนพลบค่ำนางยังยิ้มแย้มแจ่มใสให้เขาอยู่เลย ทว่าเหตุใดเมื่อผ่านไปเพียงครึ่งวัน รอยยิ้มของนางถึงได้เปลี่ยนเป็เ็าราวกับว่าพวกเขาเพิ่งได้พบกันเป็ครั้งแรก?
ขณะที่ต้วนเสี่ยวโหลวครุ่นคิดถึงความขมขื่นที่เขาไม่สามารถอธิบายได้ จู่ ๆ ก็เห็นแม่ชีน้อยนางหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
เจินจิ้งวิ่งจนเหนื่อยหอบหายใจไม่ทัน นางกุมหน้าท้องพลางเอ่ย “แย่แล้วเ้าค่ะ เมื่อตอนกลางวันข้าไปทำความสะอาดห้องของพวกเจินกง กว่าจะเรียบร้อยก็ค่ำเสียแล้ว เมื่อครู่ตอนที่ข้ากลับมายังห้องปีกซ้ายฝั่งตะวันออกก็เห็นว่าห้องถูกค้นจนของในนั้นกระจัดกระจายไปหมดเลยเ้าค่ะ”
เหอตังกุยมุ่นคิ้วถาม “มีของหายหรือไม่?”
เจินจิ้งส่ายหน้า “ข้าตรวจดูรอบหนึ่งแล้ว ไม่มีอะไรหายไปเ้าค่ะ เดิมทีในห้องนั้นก็ไม่มีอะไรให้ขโมยอยู่แล้ว หัวขโมยนั่นคงจะหาจนทั่ว พอเห็นว่าไม่มีอะไรเข้าตาก็คงหนีไปกระมัง”
ทันใดนั้นสีหน้าของเหอตังกุยพลันกลายเป็ร้อนใจ แย่แล้ว... จี้ทองที่ติดตัวนางมาั้แ่กำเนิดอยู่ในห้องนั้น
ชาติที่แล้ว เป็เพราะตระกูลหลัวไม่มารับนาง นางจึงต้องยอมตรากตรำทำงานหนักแลกกับเงินอยู่ในอารามแห่งนี้ถึงสองเดือน
ด้วยต้องเจอกับงานที่สกปรกและเหนื่อยล้าสุดประมาณ รวมไปถึงการทำความสะอาดห้องเก็บของและห้องส้วม นางจึงเก็บจี้ทองซ่อนไว้ใต้เตียงนอน เพราะกลัวว่าจะเผลอทำให้จี้นั้นสกปรกหรือเสียหาย
ก่อนนอนทุกคืน นางจะลงไปนั่งกับพื้นแล้วเอื้อมมือไปจับจี้ทองนั้นเพื่อให้แน่ใจว่ามันยังอยู่ดี จนกระทั่งคืนหนึ่งนางเอื้อมมือไปแล้วคลำหาจี้ทองนั้นไม่เจอ นางร้องห่มร้องไห้เสียงหลงจนไหวตงผู้ดูแลสนามหลังวัดก่นด่าที่นางเสียงดังเกินไป จึงนำตัวนางแขวนไว้บนคานอยู่เช่นนั้นทั้งคืน
เด็กทุกคนเติบโตขึ้นภายใต้การเลี้ยงดูของมารดา ในวันเกิดและเทศกาลทุกปีจะได้รับของขวัญแตกต่างกัน ทว่านางกลับมีเพียงจี้ทองที่ได้รับตอนอายุหนึ่งเดือนเท่านั้น นางไม่เคยให้มันห่างตัวเลยแม้แต่วินาทีเดียวและรักษามันยิ่งกว่าชีวิตของนางมาสิบปี คืนนั้นนางร้องไห้ไม่หยุดอยู่บนคาน หยาดน้ำตาไหลพาดผ่านหางตา ไหลผ่านเส้นผมยาวสลวยของนาง สุดท้ายก็หยดลงบนพื้น เป็ผู้ใดที่เอาจี้ทองของนางไป? เอามันมาคืนให้นางโดยเร็วเสียเถอะ นางยอมทำทุกวิถีทางเพื่อแลกมันกลับมา
เมื่อได้มันมาอีกครั้งหลังสูญเสียไป ทำให้เหอตังกุยรักมันมากขึ้นอีกหลายเท่า นางนำจี้ทองของมีค่าที่ได้รับมาเมื่อยังเด็กใส่ไว้ในกระเป๋าปักลายที่เย็บติดกับด้านในเสื้อของนางตลอดเวลา ทว่าเมื่อเช้าตรู่นางเปลี่ยนมาสวมชุดกระโปรงตัวใหม่ที่ต้วนเสี่ยวโหลวมอบให้ เดิมทีคิดเอาไว้ว่าอีกประเดี๋ยวจะไปยืมกรรไกรของเจินจิ้งมาตัดกระเป๋าปักลายออกจากชุดเก่า แต่นางกลับสนใจเพียงเื่เดินตามเจินจูลงเขาเท่านั้น จึงทำให้ลืมพกจี้ทองไปด้วย
ต้วนเสี่ยวโหลวไม่เคยเห็นสีหน้าเช่นนี้ของเหอตังกุย “ความตื่นตระหนก ไร้หนทางและอ่อนแอ” คำเหล่านี้ไม่อาจทำให้เด็กสาวผู้นี้สะทกสะท้าน แม้คืนก่อนตอนที่เกาเจวี๋ย้าจะสังหารนาง สีหน้าปานฟ้าจะถล่มเช่นนี้ก็ไม่เคยแม้แต่จะปรากฏบนใบหน้าเลยแม้แต่น้อย
“น้องเหอไม่ต้องร้อนใจไป ไม่ว่าสิ่งของชิ้นใดของเ้าหายไป แม้จะต้องพลิกแผ่นดินหาทั่วอาราม ข้าก็จะตามมันกลับมาให้เ้า” ต้วนเสี่ยวโหลวโอบเด็กสาวพลางปลอบใจด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พวกเราไปดูสถานการณ์ที่นั่นก่อนค่อยว่ากันทีหลัง บางทีมันอาจจะยังอยู่ในนั้น” เมื่อสิ้นเสียง ทั้งสองก็โอบกอดกันแล้วพุ่งขึ้นไปบนอากาศ ะโไปได้สองสามครั้งก็หายไปเสียแล้ว
เจินจิ้งอ้าปากค้างตะลึงงันอยู่ตรงนั้น นางนิ่งมองที่ที่พวกเขาหายไปอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงวิ่งโซเซพลางกุมท้องของตนกลับไป
ทันทีที่ลงมาถึงพื้น เหอตังกุยกุลีกุจอวิ่งเข้าไปในห้องแล้วคว้าชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาค้นดู
ไม่มีจริง ๆ ด้วย…
เหอตังกุยฟุบลงบนพื้นอย่างเหม่อลอย เหมือนตอนนั้นในชาติที่แล้วไม่มีผิด เมื่อเช้านางยังกำมันไว้ในมือ ใช้นิ้วชี้ลูบคลำลวดลายบนจี้นั้นไปมาอยู่เลย แต่พอตกกลางคืนกลับต้องสูญเสียมันไปอีกครั้งตลอดกาล สูญเสียของขวัญที่มารดาสั่งทำให้เป็พิเศษตอนที่ตนอายุครบหนึ่งเดือนเต็ม
มารดาของนางในตอนนี้ยังสบายดีอยู่หรือไม่? จดหมายที่ตนเขียนน่าจะส่งถึงมือของนางแล้ว แต่เหตุใดถึงไม่มีจดหมายตอบกลับสักฉบับเลยเล่า?
ชาติที่แล้ว สิ่งที่นาง้าอย่างยิ่งคือกลับไปก่อนที่มารดาของนางจะถูกผู้อื่นหลอกลวง ไล่ไอ้คนกลับกลอก ชั่วร้ายและโเี้พวกนั้นออกไปให้หมด เพื่อให้ชีวิตของมารดาและนางได้อยู่อย่างสงบสุข ในที่สุด นางก็ทำตามความปรารถนาได้สำเร็จ นั่นคือการกลับชาติมาเกิดในตอนที่ตนยังไม่สิบแปดปี เหตุการณ์เลวร้ายยังไม่เกิดขึ้น ทุกอย่างยังคงแก้ไขได้ แต่เหตุใดนางถึงทำให้จี้ทองของตนหายไปได้เล่า?
หรือว่าโชคชะตาของนางจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้อย่างนั้นหรือ? ไม่ว่าจะดิ้นรนสักเพียงใด สุดท้ายก็ยังต้องเดินไปตามทางเดิมของชาติที่แล้วอีกครั้งใช่หรือไม่?
เมื่อต้วนเสี่ยวโหลวเห็นใบหน้างามซีดเผือดไร้เืฝาด หัวใจของเขาก็ร้อนรนดั่งไฟสุม พลางตบแขนนางเบา ๆ แล้วเค้นถามว่า “บอกข้ามาเถิดว่าเ้าทำสิ่งใดหายไปกันแน่? รีบบอกข้ามาเร็ว ตราบใดที่เ้าบอกชื่อสิ่งนั้น ข้าจะค้นตัวผู้คนในวัดสุ่ยซังให้หมด จะค้นหาทุกสามตารางนิ้วและนำมันกลับมาคืนแก่เ้า”
เหอตังกุยได้สติกลับมาจากการตบเบา ๆ ของต้วนเสี่ยวโหลว... นำจี้ทองกลับมางั้นหรือ?
จริงด้วย หากยังสามารถตามหาจี้ทองกลับมาได้ก็หมายความว่า “ชะตากรรมที่ถูกกำหนด” และ “พรหมลิขิตที่ถูกขีดเขียน” นั้นถูกทำลายลงแล้ว และนางก็สามารถมีชีวิตต่างไปจากชาติที่แล้วได้ ดวงตาเหม่อลอยคู่นั้นพลันเปลี่ยนเป็ประกายในชั่วพริบตา ใช่แล้ว ชีวิตที่ไม่แน่นอนดั่งหมากรุกที่ไม่อาจคาดเดาได้ของมนุษย์ สุดท้ายผลสรุปของความสำเร็จนั้นก็ขึ้นอยู่ที่ความพยายามของคน มีเื่ใดบ้างในโลกนี้ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้? เมื่อโชคดีได้รับชีวิตใหม่แล้ว นางต้องเปลี่ยนแปลงเื่ทั้งหมดอย่างสุดความสามารถและจะไม่ยอมรับโชคชะตาที่ถูกกำหนดไว้อยู่แล้วโดยเด็ดขาด
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เหอตังกุยจึงมองต้วนเสี่ยวโหลวแล้วเอ่ยขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง “ขอบใจท่านมาก เมื่อครู่ข้าถูกจิตใจชั่วร้ายของตัวเองครอบงำแทบสิ้นสติ หากไม่ใช่เพราะท่านเตือนสติ ข้าคงไร้หนทางปล่อยให้จิตใจเป็อิสระได้”
ต้วนเสี่ยวโหลวมองนางอย่างเอ็นดู พลางเอ่ยเสียงเบา ๆ “เด็กน้อย เ้าไม่ต้องเสียใจไป แม้จะต้องบุกน้ำลุยไฟ พี่ต้วนคนนี้ก็จะนำของที่หายไปกลับคืนมา หากเ้ายินยอม พี่ต้วนจะ...” ยังไม่ทันสิ้นเสียง เจินจิ้งก็วิ่งหอบหายใจราวกับวัวพุ่งเข้ามาในห้องจนเกลือกกลิ้ง
เหอตังกุยก้มหน้าลงหยิบถ่านสีดำที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมาก้อนหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างมั่นใจ “บุกน้ำลุยไฟ ไฟ หากมีไฟ...”
......
ตึง... “อากาศแห้งแล้ง โปรดระวังฟืนไฟด้วย”
ตึง... “อากาศแห้งแล้ง โปรดระวังฟืนไฟด้วย”
วัดสุ่ยซังนั้นต่างจากบ้านเรือนชาวบ้านทั่วไป พื้นที่ที่ใช้ไฟย่อมมีมากกว่า ห้องโถงใหญ่ทั้งสามเป็ห้องประดิษฐานพระพุทธรูป เมื่อถึงเวลาก็จะจุดธูปเทียน ตอนค่ำภายในห้องนั่งสมาธิจะมีเปลวไฟส่องสว่างอยู่เสมอและมักจะมีแม่ชีที่ประพฤติผิดต้องถูกลงโทษโดยการคัดลอกพระคัมภีร์อยู่บ่อยครั้ง หากอ่านพระคัมภีร์ไม่ถูกต้องในระหว่างสวดมนต์หรือทำพิธีกรรมทางศาสนาจนแสดงความอัปยศต่อหน้าเหล่าผู้แสวงบุญ นั่นอาจส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของวัดสุ่ยซังได้
ทุก ๆ คืน ไฟในห้องครัวจะถูกดับลงและปิดกุญแจไว้ แต่ด้านหลังห้องครัวจะมีแท่นเตาที่ถูกสร้างขึ้นจากอิฐ กล่าวกันว่าสตรีชอบการกินจุบจิบมากเพียงใด แม่ชีก็คือสตรีจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงสิ่งนี้ได้ แท่นเตาที่สร้างจากอิฐอย่างเรียบง่ายนี้ถูกพวกนางสร้างขึ้นลับ ๆ หากใครหิวก็สามารถปิ้งมันเทศ ย่างแผ่นแป้งหรือต้มบะหมี่ที่นี่ด้วยตัวเองได้
คืนนี้มีการจุดไฟในหลายพื้นที่ของอาราม สภาพอากาศแห้ง ยิ่งเป็ฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้ยิ่งอันตราย ด้วยเหตุนี้ แม่ชีไท่ซั่นจึงระวังและป้องกันเพลิงเป็พิเศษ ในทุกคืนจะมีการผลัดเวรยามครั้งละสี่คน คอยเฝ้าระวังในทุกพื้นที่ที่ใช้ไฟตลอดเวลา
“ช่วยด้วยๆ ไฟไหม้... ไฟไหม้แล้ว”
ทันใดนั้น เสียงร้องแหลมของสตรีผู้หนึ่งก็ดังขึ้นท่ามกลางคืนที่เงียบสงัด เพียงไม่นานก็ปลุกทุกคนในวัดให้ใจนตื่นขึ้นมา แม่ชีที่กำลังหลับสบายต้องตื่นขึ้นมาหยิบเสื้อคลุมมาสวมด้วยอาการงัวเงีย ก่อนวิ่งออกจากห้อง เมื่อออกมาแล้วก็เห็นมีควันลอยโขมงมาจากหลังห้องครัว เกิดเสียง “แกรก ๆ ” ดังต่อเนื่อง ไฟค่อย ๆ ลามไปยังเรือนที่อยู่บริเวณรอบ ๆ สี่ถึงห้าหลัง
แม่ชีไท่ซั่นผู้มีผมสีเทายาวสยายก่นด่าเสียงดัง “พวกโง่ พวกเ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง? ยังไม่รีบมาช่วยข้าดับไฟอีก! มาดับไฟ!”
เหล่าแม่ชีไม่กล้าชักช้าอีกต่อไป หากผู้ใดมีน้ำในกะละมังล้างหน้าของตน ก็จะวิ่งตรงเข้าไปดับไฟทันที หากผู้ใดที่ไม่มีก็จะวิ่งหาโอ่งไปทั่วสารทิศ ทว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่หายจากอาการงัวเงีย จึงเกิดการถกเถียงเสียงดัง ‘เ้าเหยียบรองเท้าข้า ข้าชนกะละมังของนาง’ สถานการณ์เริ่มวุ่นวายอุตลุด เมื่อแม่ชีไท่ซั่นเห็นดังนั้นจึงดุด่าพวกนางอย่างรุนแรง
ผ่านไปไม่นาน ไฟที่ลุกไหม้ก็ยิ่งโหมกระหน่ำ แม่ชีไท่ซั่นกัดฟันกรอดพลางยกแส้หางม้าไล่ทุบตีเหล่าแม่ชีอย่างรวดเร็ว ด้ามจับสีทองแดงที่มีน้ำหนักกว่าสี่จินทำร้ายผู้คนไปไม่น้อยในเวลาไม่นาน ทำให้ทุกคนที่วิ่งไปดับไฟต่างใกลัวไปตามๆ กัน แม้กระทั่งอ่างล้างหน้าในมือก็โยนทิ้งกันเสียหมด
เมื่อวิ่งเข้าไปในซอกหลังห้องครัว ไฟก็โหมกระหน่ำขึ้นอีกครั้ง แม่ชีเจ็ดแปดคนที่มีเพียงกะละมังสี่ใบ แม้แต่เปลวไฟเล็ก ๆ ก็ไม่สามารถดับให้มอดได้ ทุกคนต่างมองหน้ากันและกันเป็เชิงบอกว่าพวกนางไร้หนทางจะรับมือกับเปลวไฟที่โหมกระหน่ำนี้เสียแล้ว
ทันใดนั้น ราวกับมีเทพทั้งสี่องค์ปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้าก็ไม่ปาน พวกเขาโบกสะบัดแขนไปยังกองเพลิงที่ลุกไหม้อยู่ด้านล่าง ไม่นานเพลิงก็ดับลงไปเกือบครึ่ง
แม่ชีทั้งหลายเห็นดังนั้นต่างก็ตะลึงงันไปทันที แม่ชีไท่ซั่นที่เพิ่งจะวิ่งมาถึงตรอกของห้องครัวรีบก่นด่ายกใหญ่ “มารดาเ้าสิ พวกเ้ายังไม่รีบช่วยข้าดับไฟอีก เลี้ยงหมูโง่อย่างพวกเ้า... สู้ไปเลี้ยงหมูจริง ๆ หลายตัวยังจะดีเสียกว่า”
เหล่าแม่ชีจำนวนหนึ่งรีบทุบประตูห้องครัวเข้าไปอย่างชุลมุน หาเครื่องครัวที่พอจะตักน้ำได้ไปตักน้ำจากโอ่งเพื่อช่วยดับไฟอีกแรง และมีแม่ชีจำนวนไม่น้อยที่ยังคงเงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยความตกตะลึง
แสงจากเปลวไฟตกกระทบใบหน้าพวกเขา ที่แท้ก็เป็ต้วนเสี่ยวโหลว เลี่ยวจือหย่วน ลู่เจียงเป่ยและเกาเจวี๋ย ทั้งสี่คนกำลังตั้งค่ายกลรูปแบบพิเศษเหนือกองเพลิง ผลัดกันออกกระบวนท่าในลำดับที่แน่นอน โบกสะบัดฝ่ามือจนเกิดระลอกลมลงมาด้านล่างอย่างน่าอัศจรรย์ ลมนี้ย่อมไม่เหมือนกับลมธรรมชาติทั่วไปที่ทำให้เพลิงลุกไหม้มากกว่าเดิม แต่ลมที่พวกเขาสร้างขึ้นนั้นสามารถทำให้ไฟดับลงได้
้ามีลมพัดระลอกใหญ่ ด้านล่างมีน้ำเย็นคอยสาดเข้ามา ไม่นานกองเพลิงขนาดใหญ่ก็ลดลงเหลือเพียงกองเพลิงขนาดเล็ก เปลี่ยนจากเปลวไฟกลายเป็ควันดำ จากควันดำก็กลายเป็ซากปรักหักพังจากเหตุเพลิงไหม้
หลังจากกองเพลิงขนาดใหญ่มอดลง ต้วนเสี่ยวโหลว เกาเจวี๋ยและพรรคพวกจึงร่อนลงมาจากท้องฟ้า แม่ชีไท่ซั่นผลักทุกคนก่อนจะวิ่งเข้ามา เสียงโขกหัวกระทบพื้นดัง “ตุบ” นางโขกหัวลงพื้นอย่างต่อเนื่องพลางเอ่ยขอบคุณไม่หยุด
ทั้งสี่คนมองหน้ากัน เกาเจวี๋ยถามด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “เหตุใดจู่ ๆ จึงเกิดไฟไหม้ได้?”
ลู่เจียงเป่ยยกสองมือกอดอก พลางเดินรอบแท่นเตาที่ไหม้เกรียมก่อนกล่าว “ดูเหมือนจะมีคนทำอาหารกินยามดึกแล้วลืมดับไฟ”
เลี่ยวจือหย่วนพยักหน้า “ถูกต้อง พวกเ้าดูสิ ยังมีมันเทศที่ไหม้เกรียมวางไว้อีกหัว”
ต้วนเสี่ยวโหลวกล่าวอย่างเดือดดาล “ไร้สาระจริง ๆ ทั้งที่รู้ว่ามีขุนนางของราชสำนักหลายท่านอยู่ในวัดแห่งนี้ แต่พวกเ้าก็ยังกล้าจุดไฟในแท่นเตา หากไฟลามจนทำให้จิ่นอีเว่ยคนใดาเ็ แม้จะรื้ออารามแห่งนี้ทิ้งไปก็ยังชดใช้ไม่พอ”
ลู่เจียงเป่ยทอดสายตามองแม่ชีไท่ซั่นที่อยู่บนพื้น พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเ็า “ท่านแม่ชี ท่านเป็อาจารย์ใหญ่ในอารามแห่งนี้ เมื่อในอารามเกิดเพลิงไหม้ ท่านแม่ชีต้องรับผิดชอบ หากท่านไม่สามารถหาผู้กระทำผิดที่จุดไฟได้ ข้าจะตัดหัวท่านแม่ชีเป็คนแรก”