เสี่ยวเยว่ยืนอยู่ภายในเรือน มองดูสาวใช้แต่งตัวงดงามเดินเข้ามาในเรือนเหอเซียงพร้อมกับจานอาหารเลิศรสหลากหลายชนิดเข้ามาด้วย
เมื่อครู่นี้มีสาวใช้สองสามคนนำเสื้อผ้าเนื้อดีมากมายมาส่งให้ หานโม่จึงให้เสี่ยวเยว่เลือกไปใช้สวมใส่สักชุดสองชุด
เสี่ยวเยว่รู้สึกประหลาดใจระคนดีใจ ด้วยตอนนี้นางเห็นสิ่งของมีค่ามากมายหลั่งไหลเข้ามาในเรือนเหอเซียง ดวงตาก็เบิกกว้างจดจ้องด้วยความตกตะลึง
"คุณหนูเจ็ดช่างน่าทึ่งยิ่งนัก ข้าได้ยินมาว่าตอนนั้นนายหญิงโกรธมาก แต่เพียงแค่นายท่านเอ่ยว่าตระกูลหานยังต้องพึ่งพาคุณหนูเจ็ด นายหญิงก็โกรธจัดจนสลบไป ณ ตรงนั้นเลยนะ น่าเสียดายที่หลังจากนางสลบไปแล้ว นายท่านก็ยังให้คนนำสิ่งของมาส่งเหมือนเดิม ไม่รู้ว่าหลังจากที่นายหญิงฟื้นขึ้นมาแล้วจะเป็ลมสลบไปอีกหรือเปล่า”
“ผู้ใดว่าไม่ใช่กันเล่า เมื่อก่อนคุณหนูเจ็ดก็เป็เพียงคนจืดจางผู้หนึ่ง ตอนนี้แม้แต่นายหญิงก็หมดหนทางจะจัดการคุณหนูแล้ว”
เหล่าสาวใช้สองสามคนพูดไปและจัดการวางของไป เมื่อเสี่ยวเยว่ได้ฟังความรู้สึกภาคภูมิใจก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นมาในทันที
คุณหนูเจ็ดของนางแข็งแกร่งมากที่สุดในตระกูลหานนี้
คุณหนูเจ็ดที่เพิ่งกลับมาก็สามารถทำเื่ให้นายหญิงโกรธจนสลบไปได้ เื่นี้แพร่กระจายไปทั่วตระกูลหานราวกับสายลมพัด และคราวนี้ภายในเรือนของฮูหยินตระกูลหานคนอื่นๆ ต่างเฝ้ารอชมการแสดงของค่ำคืนนี้อย่างใจจดใจจ่อ
หานเฉินต้งได้สั่งการมาก่อนหน้านี้แล้ว เป็เพราะคุณหนูเจ็ดกลับบ้าน ดังนั้นทุกคนในตระกูลหานจะต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำในคืนนี้ซึ่งนับว่าเป็งานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของคุณหนูเจ็ดอย่างพร้อมเพรียงกัน
หลังจากอู๋ซื่อตื่นขึ้นมาและได้รับรู้เื่ราวเหล่านี้ นางก็สลบไปอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามสิ่งที่หานเฉินต้งทำไม่ได้ไว้หน้านางเลยสักนิด และนี่ก็ยังเป็ครั้งแรกที่อู๋ซื่อผู้มักหยิ่งยโสอยู่เสมอไม่อาจทานทนได้
สุดท้ายเวลาก็ล่วงเลยมาถึงงานเลี้ยงอาหารค่ำ หานซินเอ่ยกับมารดาว่า้าไปเจอนางสารเลวหานโม่นั่นด้วย ดังนั้นอู๋ซื่อก็ต้องจำใจพานางไปงานเลี้ยงเช่นกัน
ในฐานะที่ตระกูลหานเป็หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลิงหยวน ภูมิหลังของตระกูลเป็อย่างไรก็ไม่จำเป็เอ่ยถึง แม้ว่าตระกูลหานจะไม่ได้ร่ำรวย แต่เพื่อรักษาหน้าตานั้นทุกคนในตระกูลก็ต้องแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่หรูหราดูดี
งานเลี้ยงต้อนรับถูกจัดขึ้นที่ห้องโถงของเรือนใหญ่ตระกูลหาน
พื้นที่ในห้องโถงมีขนาดใหญ่พอๆ กับโรงประมูลที่หานโม่เคยไปมาแล้ว ของที่ตกแต่งภายในห้องโถงช่างหรูหรายิ่งนัก ทุกๆ พื้นที่สามารถมองเห็นมรดกของตระกูลหานได้อย่างชัดเจน
ตอนที่หานโม่มาถึงสถานที่จัดงานพร้อมเสี่ยวเยว่ก็พบว่าในเวลานี้ที่โต๊ะขนาดใหญ่กลางห้องมีผู้คนจำนวนไม่น้อยนั่งอยู่ก่อนแล้ว
หานโม่ไม่คุ้นเคยกับคนเหล่านี้ ดังนั้นเสี่ยวเยว่จึงคอยกระซิบที่ข้างหูของหานโม่และคอยแนะนำว่าใครเป็ใครให้นาง
หานโม่พยักหน้าให้คนเ่าั้โดยไม่ได้ทำความเคารพ จากนั้นเดินตรงเข้าไปยังมุมๆ หนึ่งที่ว่างอยู่แล้วนั่งลง
คนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะต่างมองไปที่หานโม่
"หลายปีแล้วที่ไม่ได้เจอคุณหนูเจ็ดเลย คุณหนูเจ็ดเป็หญิงสาวที่เติบโตขึ้นมาเปลี่ยนไปสิบแปดแบบจริงๆ [1] จนบัดนี้กลายเป็หญิงสาวที่ทั้งสง่างามบริสุทธิ์และสะโอดสะองเสียจริง" เมื่อเห็นหานโม่นั่งลงเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวที่สวมใส่อาภรณ์งดงามผู้หนึ่งก็เอ่ยปากขึ้นก่อนเป็คนแรก
หานโม่มองตามเสียงไปก็เห็นหญิงสาวที่มีใบหน้างดงามยิ่ง ไม่เพียงแค่นั้น แต่ทั่วทั้งร่างของนางยังเผยเสน่ห์ที่ไม่อาจปกปิดได้ ทุกท่วงท่าเต็มไปด้วยความเย้ายวน เมื่อเห็นหานเซียงเดินมานั่งลงที่ด้านข้างของหญิงสาวผู้นั้น หานโม่ก็สามารถรู้ได้ทันทีว่านางคือใคร
นางคือจางซื่อฉู่ฉู่เป็ฮูหยินสามของหานเฉินต้ง เป็หญิงสาวที่สง่างามตามชื่อ อีกทั้งนางยังเป็มารดาของคุณหนูสี่หานเซียงอีกด้วย
แม้ว่าหานโม่จะไม่รู้วิธีการอ่านสีหน้าแต่เพียงแค่มองไปที่ดวงตา หานโม่ก็สามารถคาดเดาลักษณะนิสัยของคนผู้นี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ฮูหยินสามจางซื่อ ผู้นี้ดูคล้ายจะไม่มีอะไรนอกจากความงาม แต่ภายในดวงตาของนางกลับดูเป็ประกายสดใส มองเพียงครู่เดียวก็รู้ว่าเป็สายตาที่ไม่ธรรมดาทั่วไปเลย
ซึ่งสายตาของจางซื่อดูอ่อนโยนเป็อย่างยิ่ง แต่ไม่แน่ว่าบางทีอาจจะมีพิษร้ายซ่อนอยู่ภายใน แต่ไหนแต่ไรมาหานโม่ก็ไม่เคยชอบที่จะคบค้าสมาคมกับคนเช่นนี้เลย
สำหรับการเริ่มเอ่ยทักทายหานโม่ก่อนของจางซื่อนั้น ไม่ได้ทำให้สีหน้าของหานโม่เปลี่ยนแปลงมากนัก นางทำเพียงแค่ตอบรับฮูหยินสามไปเบาๆ
จางซื่อถูกหานโม่ปฏิเสธที่จะพูดคุยด้วยอย่างนุ่มนวลสุภาพ แม้ว่าบนใบหน้าจะยังคงยิ้มแย้มอยู่ แต่รอยยิ้มในดวงตากลับค่อยๆ จางหายไป
หานเซียงได้รับสืบทอดพร์ของมารดามาอย่างเต็มเปี่ยม อีกทั้งการดูคนลำเลียงอาหาร [2] ก็ชำนาญเช่นเดียวกัน เดิมทีตอนที่หานซินรังแกหานโม่นั้น เป็นางเองที่คอยออกความคิดเห็นอยู่เื้ัและไม่เคยเปิดเผยตัวต่อหน้าใครเลย ดังนั้นเมื่อเห็นมารดาของนางไปแสดงความเมตตาใจดีกับหานโม่ เดิมทีนางก็วางแผนที่จะใช้โอกาสนี้แสดงความปรารถนาดีของตนเองด้วยเช่นกัน แต่เมื่อเห็นมารดาของตนเองถูกปฏิเสธ นางก็ไม่สนใจหานโม่อีก
เวลานี้มีคนนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารไม่มากนัก หานโม่จึงลอบสังเกตพวกเขาทีละคนพลางระบุสถานะของพวกเขาภายในใจไปด้วย
จางซื่อเป็ภรรยาคนที่สามของหานเฉินต้ง นางยังไม่มีบุตรชาย มีเพียงบุตรสาวคนเดียวนั่นก็คือหานเซียง ผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับจางซื่อแต่งตัวหรูหราประดับประดาด้วยเครื่องประดับอย่างสง่างามมีหานเยว่กำลังนั่งอยู่ด้านข้างนั้น หานโม่จำได้ว่านี่เป็ฮูหยินรองตระกูลหาน
ได้ยินมาว่าฮูหยินรองเว่ยซื่อเองก็มาจากตระกูลใหญ่ของเมืองหลิงหยวน แม้ว่าตระกูลเว่ยจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มตระกูลใหญ่ทั้งสี่ แต่พอเทียบกับตระกูลอู๋ที่ไม่ได้มาจากตระกูลใหญ่ทั้งสี่เช่นเดียวกัน ก็สามารถเอ่ยได้ว่าตระกูลของเว่ยซื่อมีฐานะพอๆ กันกับตระกูลอู๋ของอู๋ซื่อเลยทีเดียว
เพราะเหตุนี้นี่เองเมื่อแต่งเข้ามาอยู่ในจวนตระกูลหาน เว่ยซื่อจึงตั้งตัวเป็ศัตรูกับอู๋ซื่อในทุกๆ เื่ สิ่งที่นางโปรดปรานมากที่สุดคือการแข่งขันกับอู๋ซื่อเพื่อ่ชิงสิทธิ์ในการเป็นายหญิงใหญ่แห่งตระกูลหาน
ความคิดของของเว่ยซื่อนั้นหานโม่สามารถเข้าใจได้
ด้วยฐานะของตระกูลที่ใกล้เคียงกันทุกอย่าง แล้วเว่ยซื่อด้อยกว่าตรงไหนถึงเป็ได้แค่ฮูหยินรองกัน?
ฮูหยินรองถ้าพูดให้ดูดีก็คือนางก็เป็ฮูหยินเช่นกัน แต่ในสายตาของคนอื่นแล้วนางก็เป็ได้แค่อนุภรรยาอีกคนเท่านั้น อีกทั้งบุตรที่นางให้กำเนิดต่างไม่อาจเรียกนางว่าท่านแม่ได้ สามารถทำได้เพียงแค่เรียกว่าอี๋เหนียง [3] เท่านั้น
สำหรับผู้ที่มาจากตระกูลที่มีฐานะดีอย่างฮูหยินรองแล้ว มันจึงเป็เื่ยากที่จะทนได้
นอกจากนี้ แม้ว่าอู๋ซื่อจะมีบุตรชายและบุตรสาว แต่เว่ยซื่อเองก็ไม่เลว นางมีคุณหนูสามหานเยว่ซึ่งถือว่าเป็ผู้ที่มีความสามารถผู้หนึ่ง รวมทั้งหานเซี่ยวบุตรชายคนเล็กของตระกูลหานอีก จึงไม่ถือว่านางไม่เหมาะจะเป็นายหญิงของตระกูลหาน
หานโม่ยังได้ยินมาอีกว่าพร์ของหานเซี่ยวนั้นยอดเยี่ยม โดยเขาจะออกไปฝึกฝนข้างนอกตลอดทั้งปี บุตรชายและบุตรสาวทั้งสองของเว่ยซื่อต่างก็ดูมีอนาคตที่ดียิ่งนัก ทำให้เว่ยซื่อยิ่งจริงจังกับการแย่งชิงตำแหน่งนายหญิงมากขึ้นไปอีก
หานโม่เข้าใจความปรารถนาของเว่ยซื่อที่้าต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์มา แต่ก็ไม่ได้มีความรู้สึกดีอะไรต่อเว่ยซื่อเลย
พูดให้ถูกก็คือหานโม่ไม่ได้มีทัศนคติที่ดีต่อทุกคนในตระกูลหานเลย
อันคำกล่าวที่ว่าอสรพิษและหนูอยู่รังเดียวกัน [4] ทุกๆ คนในตระกูลนี้ั้แ่หานเฉินต้ง ไปจนถึงภรรยาและลูกๆ ทุกคน การมีคุณธรรมอย่างแท้จริงนั้นพวกเขาช่างมีน้อยจนน่าสงสารเสียจริงๆ
ดูเหมือนว่าเว่ยซื่อจะสังเกตเห็นสายตาของหานโม่แล้ว ตอนที่สายตาหานโม่มองไปยังเว่ยซื่อ เป็เวลาเดียวกับที่นางยังไม่ทันได้ถอนสายตากลับไป สายตาของคนทั้งคู่จึงสบประสานกันและหานโม่ก็มอบรอยยิ้มบางๆ ให้
จากนั้นหานโม่จึงค่อยๆ หันหน้าไปมองทางอื่น
นี่เป็อสรพิษสาวงามอีกตัวหนึ่งที่ไม่ควรเพิกเฉยเช่นกัน
เว่ยซื่อไม่สนใจท่าทีของหานโม่เลยแม้แต่น้อย รอยยิ้มงดงามสดใสยังคงประดับอยู่บนใบหน้า
หลังจากที่ทุกคนรออยู่สักพัก กลุ่มคนที่ล้อมหน้าล้อมหลังไปด้วยสาวใช้ก็เดินเข้ามาด้านในห้องโถง
เมื่อเว่ยซื่อและจางซื่อเห็นว่าผู้เดินอยู่เบื้องหน้าคือหานเฉินต้ง พวกนางก็พาบุตรสาวลุกขึ้นยืน จนกระทั่งเมื่อหานเฉินต้งเดินมาถึง เหล่านกนางแอ่นต่างก็พากันแสดงความเคารพกันอย่างครึกครื้น
"เอาล่ะ ทุกคนล้วนเป็ครอบครัวเดียวกันไม่จำเป็ต้องเคร่งพิธีการขนาดนั้น พวกเ้าทุกคนนั่งลงเถอะ" เห็นได้ชัดว่าหานเฉินต้งกำลังอารมณ์ดีเป็อย่างยิ่ง ดวงตาของเขากวาดมองไปยังหานโม่ที่นั่งอยู่ไม่ยอมลุกขึ้นมาทำความเคารพ พลันดวงตาก็ฉายแววฆ่าฟันพาดผ่านจางๆ
เขาทนมาทั้งหมดก็เพราะผลึกิญญาที่อยู่ในมือหานโม่ เขาเป็ผู้นำตระกูลหาน หานโม่ก็ต้องให้เกียรติและนอบน้อมถ่อมตนต่อเขา แต่นี่นางกลับไม่ไว้หน้ากันเลย!
แม้ว่าภายในใจหานเฉินต้งจะเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธ แต่พอคิดถึงผลึกิญญาแล้วเขาก็ต้องระงับอารมณ์ของตัวเองเอาไว้
........................................................................
เชิงอรรถ
[1] หญิงสาวที่เติบโตขึ้นเปลี่ยนไปสิบแปดแบบ (女大十八变) หมายถึง หมายถึง รูปร่างหน้าตาของผู้หญิงนั้นเปลี่ยนอยู่ตลอดทั้งชีวิต สำนวนนี้มักจะใช้บรรยายถึง ผู้หญิงที่ตอนเล็กๆหน้าตาธรรมดา แต่โตขึ้นมาแล้วกลับสวยสะพรั่ง
[2] การดูคนลำเลียงอาหาร (看碟下菜) หมายถึง การเลือกปฏิบัติต่อผู้คนที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล เหมือนกับการจะเสริฟอาหารต้องวางให้ถูกต้องว่าคนๆ นั้นสั่งอะไร
[3] อี๋เหนียง (姨娘) หมายถึง เป็คำที่ใช้เรียกอนุภรรยาของพ่อ
[4] อสรพิษและหนูอยู่รังเดียวกัน (蛇鼠一窝) หมายถึง คนชั่วสมคบคิดกับทำสิ่งที่ไม่ดี