“ไปกันเถอะพี่เทา!” ในขณะที่เจี่ยงอิงกำลังจะยื่นมือไปจับหลิ่วอวิ๋นเทาให้ลุกขึ้นมา แต่เจิ้งอวิ๋นเผิงกลับคว้าแขนของเจี่ยงอิงเอาไว้ แล้วปล่อยพลังิญญาออกมา จากนั้นก็ยกเจี่ยงอิงขึ้นมาราวกับลูกไก่ตัวเล็กๆ แล้วหายไปในหมอกดำ!
หัวใจของหลิ่วอวิ๋นเทาสั่นสะท้านขึ้นมาทันที! ทันใดนั้นก็มีลางสังหรณ์ร้องเตือนขึ้นในใจ แสงดาบพุ่งออกมาจากหมอกราวกับภูตผี!
หนอยแน่ะ เ้าคนร้ายคนนั้นอีกแล้ว!
การโจมตีอย่างกะทันหันนี้ทำให้หลิ่วอวิ๋นเทาไม่มีเวลาให้หลบหลีกนัก และยังทำให้จิตใจที่โเี้ของเขายิ่งทวีความรุนแรงขึ้นด้วย ในเมื่อหลบไม่ได้ก็ไม่ต้องหลบ ต่อให้เ้าฆ่าข้าได้ ข้าก็จะฟันเ้าให้ตายก่อนที่ข้าจะตายให้ดู!
พลังปราณในกายของหลิ่วอวิ๋นเทาไหลเวียนด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง ดาบยาวในมือเขาหลบเลี่ยงแสงดาบของอีกฝ่ายเล็กน้อยอย่างจงใจ ฟันลงมาเต็มแรง!
ตัวเขาที่อยากจะสู้ตายกับอีกฝ่าย แต่เซียวหลิงอวิ๋นกลับไม่ยอมให้ตัวเขาได้สมความปรารถนา
ตัวของเขาราวกับต้นหลิวที่ลู่ลม ดาบยาวในมือหลิ่วอวิ๋นเทาที่หมายจะฟันใส่เอวซ้ายของเซียวหลิงอวิ๋นฟันเข้ากับความว่างเปล่า จากนั้นก็บิดข้อมือเล็กน้อย ดาบใหญ่เหล็กดำเปลี่ยนท่วงท่าจากท่าแทงกลายเป็ท่าฟัน “ฉัวะ!” สิ้นเสียงก็มีเืพุ่งออกมา แขนข้างที่ยังกำดาบยาวแน่นกระเด็นลอยขึ้นไปในอากาศ!
หลังจากฟันแขนขวาข้างที่ถือดาบยาวของอีกฝ่ายขาดตรงข้อศอกแล้ว เซียวหลิงอวิ๋นก็พุ่งตัวไปข้างหน้า นิ้วมือซ้ายทั้งห้าของเขาขยับรวดเร็วดั่งสายลม “ตุบตับ ตุบตับ!” หลิ่วอวิ๋นเทารู้สึกได้เพียงเหมือนมีพลังสายฟ้าเสียดแทงเข้ามาตรงหน้าอกและหน้าท้อง ทำให้ตัวแข็งทื่อและล้มลงไปอย่างสิ้นเรี่ยวแรง!
ทางด้านเจิ้งอวิ๋นเผิงที่เพิ่งพาเจี่ยงอิงหนีออกมาได้ไม่ถึงสิบหมี่ “ฟิ่ว!” มีวัตถุชิ้นหนึ่งลอยเข้ามา!
เนื่องจากหมอกหนาบดบังสายตาอยู่ ทำให้เจี่ยงอิงมองเห็นได้ไม่ชัด แต่เจิ้งอวิ๋นเผิงมองเห็นได้ชัดเจนว่าเป็แขนที่ถูกตัดขาด! อีกทั้งในมือของแขนที่ขาดนั้นยังกำดาบยาวไว้อยู่ด้วย!
นายน้อยของตระกูลเซียวผู้นี้มีพลังการต่อสู้ที่แปลกประหลาดมาก ใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็สามารถตัดแขนขวาของหลิ่วอวิ๋นเทาให้ขาดได้! ไม่ใช่คู่ต่อกรเลยแม้แต่น้อยจริงๆ!
“เ้าเสือ ฝากเ้าดูแลเ้าหมอนี่หน่อย!” เจิ้งอวิ๋นเผิงวางเจี่ยงอิงไว้ข้างๆ ชิวเทียนฉี่!
“ไปเถอะ เ้าเจ็ด อย่าคิดทำอะไรตุกติกล่ะ!” ชิวเทียนฉี่เตือนด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“ท่านอาเจ็ด!” ในที่สุดเจี่ยงอิงก็พูดออกมาอย่างเร่งรีบและพยายามจะลุกขึ้นยืน! แต่แล้วก็มีฝ่ามือปรากฏขึ้นบนไหล่เขาในทันที เจี่ยงอิงรู้สึกได้เพียงแค่มีพลังมหาศาลที่ไม่อาจต้านทานได้กดทับลงมา แล้วร่างกายที่ลุกขึ้นมายืนได้ครึ่งหนึ่งก็ต้องกลับไปนั่งลงอีกครั้ง!
“อยู่กับท่านอาชิว เดี๋ยวข้ากลับมา! เ้าเสือฝากเ้าดูแลเจี่ยงอิงด้วย!” เสียงของเจิ้งอวิ๋นเผิงลอยมาจากในหมอก จากประโยคแรกก็เหมือนจะบอกกับเจี่ยงอิง และประโยคหลังก็เหมือนเป็การตอบชิวเทียนฉี่ ว่าข้ามอบหลานชายแท้ๆ ให้เ้าเป็ ‘ตัวประกัน’ แล้ว ข้าจะคิดอะไรตุกติกได้อย่างไร!
ชิวเทียนฉี่ก็เข้าใจเื่นี้ดี จึงไม่ได้ลุกขึ้นยืนและตามเซียวหลิงอวิ๋นไป ในเมื่อตกลงกันแล้ว ตัวเจิ้งอวิ๋นเผิงเองก็ย่อมต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของเซียวหลิงอวิ๋นไม่แพ้เขาแน่ บางทีเขาน่าจะเป็ห่วงเื่ที่เซียวหลิงอวิ๋นจะสามารถสังหารหรือจับตัวหลิ่วิได้หรือไม่มากกว่าตัวชิวเทียนฉี่เองเสียอีก เพราะนี่ถือเป็การแสดงออกถึงความจริงใจในการร่วมมือของทางตระกูลเจิ้งอ๋อง!
“เสี่ยวิ ข้าพบคนแล้ว แต่ข้าจัดการคนเดียวไม่ได้ เ้าก็มาช่วยข้าด้วย!” เจิ้งอวิ๋นเผิงติดต่อกับหลิ่วิผ่านป้ายหยกสื่อสาร
ฟู่! เรียบร้อยแล้ว! ในที่สุดก็ล่อให้อีกฝ่ายมาติดกับเรียบร้อย เจิ้งอวิ๋นเผิงถอนหายใจเบาๆ ในขณะที่กำลังจะปิดป้ายหยกสื่อสาร เขาพลันรู้สึกได้ถึงบางอย่าง จึงหันหน้าไปมอง แน่นอนว่ามีร่างหนึ่งกำลังเดินเข้ามาหาจากภายในหมอก!
เ้าหนุ่มนี่! มาถึงตัวเร็วขนาดนี้เลยหรือหรือ!
เจิ้งอวิ๋นเผิงพูดไม่ออก!
นายน้อยของตระกูลเซียวคนนี้เป็สัตว์ประหลาดชัดๆ พลังการต่อสู้โเี้ราวกับไม่ใช่คน สิ่งที่แย่ที่สุดก็คือหมอกที่แปลกประหลาดนี้ก็ราวกับไม่มีผลกระทบต่อเขาเลย กลับกัน มันกลายเป็ตัวช่วยอย่างมากสำหรับเขาในการไล่ฆ่าผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ในระดับเหนือกว่าถึงสามระดับอย่างง่ายดาย ราวกับหั่นผักผ่าแตงโม!
ไม่รู้แล้วว่าตอนที่เ้าหนุ่มเจอกับลู่ิ จะยังสามารถต่อสู้และเอาชนะได้อยู่หรือไม่?
เจิ้งอวิ๋นเผิงรู้สึกคาดหวังอย่างยิ่งสำหรับการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึง เพราะพลังยุทธ์ของทั้งสองฝ่ายมีความแตกต่างกันอย่างมาก!
ขณะเซียวหลิงอวิ๋นเดินเข้ามาหา ก็มองไปยังแผ่นป้ายหยกในมือของเจิ้งอวิ๋นเผิงด้วยความอยากรู้อยากเห็น ถามขึ้นมา “นี่คืออะไร?”
เจิ้งอวิ๋นเผิงที่เห็นเซียวหลิงอวิ๋นเข้ามาตอนกำลังจะปิดป้ายหยกสื่อสาร เมื่อได้ยินคำถามจึงตอบกลับไปด้วยความประหลาดใจ “นี่คือป้ายหยกสื่อสาร สิ่งนี้มีจำนวนมากที่สุดและคุณภาพดีที่สุดในบรรดาสำนักใหญ่ๆ อย่างสำนักกระบี่ิญญาเมฆา เ้าไม่เคยเห็นมาก่อนหรือ?”
“ไม่เคย!” เซียวหลิงอวิ๋นตอบ! ชาติก่อนตัวเขาไม่เคยเห็นเ้าสิ่งนี้มาก่อนเลย เห็นได้ชัดว่าเป็สิ่งใหม่ที่เพิ่งปรากฏหลังจากที่ได้ขึ้นสู่แดน์ในชาติก่อน อาจจัดอยู่ในประเภทเครื่องรางก็เป็ได้
ป้ายหยกสื่อสารนี้สามารถใช้ได้ั้แ่ผู้ใช้พลังิญญาขึ้นไป น่าสนใจมากทีเดียว! จริงด้วย หลิ่วิก็มีนี่นา เอาไว้จัดการเ้าหมอนั่นได้แล้วค่อยเอามาดูดีกว่า ว่าเ้านี่มันทำงานอย่างไร!
“แผ่นป้ายหยกสื่อสารนี้ นอกจากจะสามารถใช้ติดต่อได้แล้ว ยังสามารถใช้เป็เครื่องรางระบุตำแหน่งของฝ่ายได้อีกด้วย ขอเพียงทั้งสองฝ่ายเปิดใช้งานทิ้งไว้ ไม่จำเป็ต้องพูดคุยกัน ก็สามารถรับรู้ตำแหน่งของอีกฝ่ายได้โดยอาศัยคลื่นพลังิญญาที่แผ่อออกมา!” เมื่อเห็นว่าเซียวหลิงอวิ๋นดูสนใจเ้าแผ่นป้ายหยกสื่อสารนี้แล้ว เจิ้งอวิ๋นเผิงจึงอธิบายต่อ!
“เห็นจุดแสงสองจุดนี้หรือไม่ จุดแสงสีเหลืองนี้คือตำแหน่งของเรา ส่วนจุดแสงสีแดงนี้คือหลิ่วิ!” เจิ้งอวิ๋นเผิงกางมือซ้ายออก เพื่อแสดงป้ายหยกสื่อสารให้เซียวหลิงอวิ๋นเห็นอย่างครบถ้วน จากนั้นก็ใช้มือขวาชี้ไปที่จุดแสงสองจุดซึ่งกะพริบอยู่บนป้ายหยกสื่อสาร!
น่าสนใจจริงๆ ด้วย มีจุดแสงสีเหลืองที่ไม่เคลื่อนไหว กับจุดแสงสีแดงที่กำลังเคลื่อนที่เข้าหาจุดแสงสีเหลืองทีละเล็กละน้อย!
ยอดเลย! ดูเหมือนว่าอาณาจักรซินโยวแห่งนี้จะยังมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่บ้าง!
“จากความห่างนี้น่าจะมีระยะทางประมาณแปดร้อยหมี่... สามร้อยหมี่... สองร้อยหมี่!”
เมื่อเจิ้งอวิ๋นเผิงบอกว่าหลิ่วิอยู่ห่างจากทั้งสองคนประมาณสองร้อยหมี่ เซียวหลิงอวิ๋นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นะเืว่า “ปิดเสีย!”
“อ๊ะ ได้เลย!” เจิ้งอวิ๋นเผิงรู้สึกใในตอนแรก จากนั้นก็ตอบกลับไป กดปิดป้ายหยกสื่อสารพร้อมด้วยเสียงดัง “แกร๊ก”
ในขณะที่หลิ่วิมองป้ายหยกสื่อสารในมือและรีบมุ่งหน้าไปอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนสีหน้าทันทีและหยุดก้าวเดิน เมื่อจุดแสงสองจุดที่กะพริบอยู่บนป้ายหยกสื่อสารในมือของเขาหายไป!
จึงรีบติดต่อกลับไปอย่างรวดเร็ว “พี่เจ็ด พี่เจ็ด!”
แต่ก็ไม่มีการตอบกลับมา!
เกิดอะไรขึ้น? ป้ายหยกสื่อสารเสีย หรือพี่เจ็ดเจอปัญหาเข้าให้แล้ว? สีหน้าของหลิ่วิเปลี่ยนไป และลังเลว่าควรจะเดินต่อไป หรือควร...
ดวงตาเฝ้าระวังบริเวณโดยรอบอย่างระแวดระวัง หมอกที่หนาราวกับน้ำหมึกนี้ สายตาของเขาสามารถมองเห็นได้ไกลสุดเพียงแค่ระยะสามฉื่อโดยรอบเท่านั้น! ซึ่งการรับรู้ด้านอื่นก็ไม่ได้ดีกว่าไปดวงตามากนัก รับรู้ได้ไกลสุดแค่สี่ฉื่อเศษเท่านั้น พอห่างไกลออกไปอีกหน่อยก็รู้สึกราวกับตัวเองได้เข้าไปในสนามแม่เหล็กที่บิดเบี้ยว พร่ามัวและสับสนในทันที!
ช่างน่าชิงชังยิ่งนัก! มองเห็นได้ไม่ไกล การรับรู้ก็สับสนวุ่นวาย สีหน้าของหลิ่วิดำมืดลงไปในทันที! ก่อนหน้านี้มัวแต่รีบจะไปรวมตัวกับเจิ้งอวิ๋นเผิง จิตใจจึงจดจ่ออยู่กับป้ายหยกสื่อสารในมือ จนไม่ได้สนใจหมอกนี้เลย ตอนนี้ป้ายหยกสื่อสารใช้การไม่ได้แล้ว ยังขาดการติดต่อกับเจิ้งอวิ๋นเผิงอีก หลิ่วิที่ติดอยู่ในหมอกหนานี้รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็เด็กหลงทางที่ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนต่อดี!
จะเดินหน้า ถอยหลัง หรือรออยู่เฉยๆ? ความคิดทั้งสามนี้ปะทะกันอย่างรุนแรงในหัวของหลิ่วิ หลังจากผ่านไปสิบกว่าชั่วอึดใจ หลิ่วิก็กัดฟันเดินหน้าต่อ จากตำแหน่งจุดแสงสุดท้ายที่แสดงบนป้ายหยกสื่อสารก่อนหน้านี้ คิดว่าตัวเขาน่าจะอยู่ห่างจากเจิ้งอวิ๋นเผิงประมาณสองร้อยหมี่เท่านั้น จากระยะทางนี้น่าจะไปถึงได้ในไม่ช้า นี้
ไปต่อก็แล้วกัน หลังจากที่ตัดสินใจได้แล้ว หลิ่วินึกถึงทิศทางที่จุดแสงนั้นชี้เมื่อสักครู่ ทางนี้! เอาล่ะไปต่อ!
เจิ้งอวิ๋นเผิงที่เดินตามหลังเซียวหลิงอวิ๋นเห็นหลิ่วิเข้าในไม่ช้า แต่สงสัยว่าหลิ่วิเดินวนไปวนมาเป็วงกลมในรัศมีห้าหมี่ทำไม?
“หมอกนี้ส่งผลต่อประสาทััทั้งห้าของเขา ทำให้ตัวเองคิดว่ากำลังเดินเป็เส้นตรงอยู่!” เซียวหลิงอวิ๋นพูดขึ้นมาอย่างหนาวเย็น!
ซี้ด!
เจิ้งอวิ๋นเผิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ!
หลิ่วิที่เป็ผู้ใช้พลังิญญาระดับกลาง เมื่ออยู่ท่ามกลางหมอกหนานี้ กลับออกจากบริเวณโดยรอบห้าหมี่ไม่ได้! ทันใดนั้นเมื่อนึกถึงตอนที่ตัวเขาพบชิวเทียนฉี่ อีกฝ่ายเคยพูดประโยคที่น่าใบางอย่าง เจิ้งอวิ๋นเผิงที่รู้สึกกระวนกระวายใจจึงถามด้วยความสนใจ “หมอกนี้มีเฉพาะผู้ที่ฝึกวิชาประเภทขจัดจิตใจเสริมแกร่งิญญาเท่านั้นที่จะไม่หลงทางในนี้งั้นหรือ?”
“ไม่เป็เช่นนั้นเสมอไปหรอก เมื่อพลังยุทธ์ถึงระดับหนึ่งแล้ว ผลของหมอกที่ทำให้ประสาทััทั้งห้าสับสนก็จะลดลงอย่างมาก หรืออาจจะไม่ส่งผลเลยก็ได้!” เซียวหลิงอวิ๋นตอบกลับอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่คิดปิดบังแต่อย่างใด!
ในเสี้ยววินาทีถัดมา เซียวหลิงอวิ๋นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นะเืว่า “การต่อสู้ระหว่างข้ากับหลิ่วิไม่จำเป็ต้องให้คนนอกเข้ามาแทรกแซง พูดตามตรงเลย คือข้ายังไม่ค่อยไว้ใจเ้าสักเท่าไหร่ ดังนั้นขอให้คุณชายเจ็ดช่วยถอยออกไปสักสามสิบหมี่ด้วย และไม่ว่าสถานการณ์จะเป็อย่างไร ก่อนที่มันจะจบลงโดยสมบูรณ์ โปรดอย่าเข้ามาโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะถือว่าข้อตกลงของพวกเราเป็โมฆะ!”
เจิ้งอวิ๋นเผิงมองเซียวหลิงอวิ๋นอย่างถี่ถ้วน รับรู้ถึงความมุ่งมั่นและความเชื่อมั่นของอีกฝ่าย เมื่อมองไปยังใบหน้าที่ยังดูอ่อนเยาว์นั้นแล้ว เจิ้งอวิ๋นเผิงก็ไม่ได้พยายามเกลี้ยกล่อมแต่อย่างใด แต่พยักหน้าอย่างหนักแน่นจากก้นบึ้งของหัวใจแทน ตัวเขาเริ่มเอนเอียง คิดว่าสุดท้ายแล้วผู้ชนะในการต่อสู้ครั้งนี้จะต้องเป็เด็กหนุ่มที่ดูอ่อนเยาว์ตรงหน้าเขาอย่างแน่นอน!
เมื่อเห็นว่าเจิ้งอวิ๋นเผิงยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีแล้ว เซียวหลิงอวิ๋นก็ยกระดับความน่าเชื่อถือของอีกฝ่ายขึ้นมาในใจเล็กน้อย!
ภายในหมอกหนานี้ เจิ้งอวิ๋นเผิงที่ฝึกฝนวิชาเมฆน้ำสามวิสุทธิ์ มองเห็นได้แค่เพียงยี่สิบหมี่โดยรอบเท่านั้น ตัวเขาที่ถอยออกไปถึงสามสิบหมี่นี้ บวกกับหลิ่วิที่อยู่ห่างออกไปสิบห้าถึงสิบหกหมี่เมื่อสักครู่นี้ รวมกันแล้วเกือบห้าสิบหมี่ได้ ภายในระยะทางเท่านี้เจิ้งอวิ๋นเผิงรับรู้ได้อย่างมากสุดก็แค่เสียงและการเคลื่อนไหวจากการต่อสู้เท่านั้น ไม่สามารถมองเห็นภาพการต่อสู้ได้เลย!
เซียวหลิงอวิ๋นคงมีไพ่ตายบางอย่างที่ไม่้าให้เจิ้งอวิ๋นเผิงรู้ก็เป็ได้! จึงใช้คำพูดไล่ให้อีกฝ่ายถอยหลังไปอีกสามสิบหมี่เช่นนี้!
“ฟู่!” เขาหายใจออกเบาๆ! แล้วร่างกายของเซียวหลิงอวิ๋นก็บิดงอราวกับงู อัตราการเต้นของหัวใจกับการเต้นของชีพจร แม้กระทั่งลมหายใจและการไหลเวียนของเืก็ช้าตามลงไป!
ห่างออกไปสามสิบหมี่ ภายในการรับรู้ของเจิ้งอวิ๋นเผิง ลมหายใจของเซียวหลิงอวิ๋นแ่เบาลงไปอย่างน่าใ แต่ภายในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วอึดใจ เซียวหลิงอวิ๋นก็ดูราวกับจะหายตัวไปแล้ว ไม่สามารถััถึงการเคลื่อนไหวใดๆ ได้อีกเลย!
วิชาเก็บซ่อนลมปราณ!
การจะเก็บพลังทั้งหมดของร่างกายที่แผ่ออกมานั้นจะขึ้นอยู่กับพลังยุทธ์ วิชาเก็บซ่อนลมปราณที่เซียวหลิงอวิ๋นใช้นั้นเรียกได้ว่าเป็แค่เพียงขั้นแรกเท่านั้น ด้วยพลังยุทธ์ที่สูงขึ้นก็จะเข้าถึงขั้นที่สูงขึ้นได้ วิชาเก็บซ่อนลมปราณที่สมบูรณ์ เมื่อใช้แล้ว ถึงแม้อีกฝ่ายจะอยู่ตรงหน้า ก็ไม่รู้สึกถึงพลังใดๆ ของอีกฝ่ายเลย ราวกับเป็ต้นไม้ที่แห้งแล้งหรือก้อนหินอย่างแท้จริง!
เมื่อเข้าสู่สถานะเก็บซ่อนลมปราณแล้ว เซียวหลิงอวิ๋นก็เริ่มเคลื่อนไหว ราวกับปุยฝ้ายที่ไร้น้ำหนัก หรือเงาที่เคลื่อนผ่านในหมอกหนาโดยไร้ซึ่งสุ้มเสียงใด!
