“ฟู่...”
เยี่ยเฉินเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ฝ่ามือสองข้างประสานกันเป็ท่าต่างๆ ควบคุมพลังิญญาในร่างกายและสลักลวดลายลงไปตามรูปแบบอักขระโจมตีของยันต์เข็มทอง
ยันต์เข็มทองถือเป็ยันต์โจมตีระดับต่ำสุด ที่สร้างจากอักขระโจมตีสองสายประกอบกัน
เนื่องจากระดับการบ่มเพาะและพลังิญญาของเยี่ยเฉินเฟิงยังอ่อนด้อย การประสานอักขระแต่ละครั้งจึงเปลืองแรงเป็อย่างมาก หากมิใช่เพราะเขาบ่มเพาะด้วยทักษะกลืนิญญาอันแสนร้ายกาจที่ฟื้นฟูพลังได้ไวกว่าทักษะิญญาทั่วไปและอาศัยเพียงพลังที่แท้จริงของเขาอย่างเดียวล่ะก็ คงไม่อาจทนรับอัตราการผลาญพลังจากการประสานยันต์ได้
ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง อักขระโจมตีทั้งสองสายก็ถูกสลักลงในแผ่นยันต์หวงอวี้ ปรากฏเป็เข็มทองเล็กแหลมที่รูปร่างยังไม่ชัดเจนนัก
การสลักลวดลายลงไปเป็เพียงขั้นตอนแรกเท่านั้น การจะทำให้ยันต์มีพลังโจมตีอันร้ายกาจได้ต้องใช้ส่วนผสมจำพวกเืสัตว์อสูร ผงดารา์และชาดระดับสูงสลักทับลงไปบนอักขระด้วย เพื่อใช้ในการปลุกพลังอำนาจที่แข็งแกร่งของอักขระ
“หลอมรวมเือสูร”
เยี่ยเฉินเฟิงหลับตาลงเพื่อฟื้นฟูพลังิญญาที่สูญเสียไปสักพัก ก่อนจะใส่พลังิญญาเข้าไปในเืสัตว์อสูร ใช้มันผสานลวดลายลงไปในอักขระตามรูปแบบของยันต์เข็มทอง
เืสัตว์อสูรเคลื่อนไหวไปรวมตัวกันกลางอากาศตามความเร็วจากการประสานท่ามือทั้งสองข้างของเขาที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะพรั่งพรูเข้าไปอยู่ในลวดลายอักขระ
แม้อักขระเข็มทองจะมีขนาดเล็กจิ๋ว แต่เมื่อผสานรวมกับเืสัตว์อสูรมันกลับแฝงไว้ด้วยพลังที่ชวนหวาดหวั่น เยี่ยเฉินเฟิงไม่รู้สึกแปลกใจเลยสักนิด หากอักขระเข็มทองที่เสร็จสมบูรณ์จะสามารถสังหารเขตแดนปรมาจารย์อสูรมายาได้ในชั่วพริบตา
สิบกว่านาทีถัดมา เยี่ยเฉินเฟิงรอจนรู้สึกว่าเืสัตว์อสูรในยันต์อักขระเริ่มจะมั่นคงแล้ว จึงนำส่วนผสมอื่นๆ ผสานตามเข้าไปในลวดลายอีกครั้ง
ขั้นตอนการผสานที่ต่อเนื่องไม่หยุดพักคือสิ่งที่ยากที่สุดในการสร้างยันต์อักขระ และเป็หัวใจสำคัญที่ไม่อาจผิดพลาดได้แม้แต่น้อย มิฉะนั้นสิ่งที่ทำมาทั้งหมดจะสูญเปล่าทันที
่แรกที่เยี่ยเฉินเฟิงยังควบคุมพลังิญญาได้ดี การผสานยันต์ค่อนข้างที่จะราบรื่นไร้อุปสรรค แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ พลังิญญาที่ถูกเผาผลาญอย่างรวดเร็วทำให้เขามีใจแต่ไร้เรี่ยวแรง จิติญญาเกิดการผันผวนขึ้นชั่ววูบ
ทว่าการผัวผวนเพียงน้อยนิด กลับส่งผลให้การผสานยันต์ล้มเหลวไม่เป็ท่า แผ่นยันต์สลายกลายเป็ขี้เถ้าปลิวว่อน
“ล้มเหลวจนได้”
เยี่ยเฉินเฟิงมองแผ่นยันต์หวงอวี้ที่กลายเป็เถ้าถ่านลอยเคว้งพลางถอนหายใจอย่างหมดแรง สามพันตำลึงของเขาละลายหายไปกับอากาศเสียแล้ว ในยามปกติเงินจำนวนเยอะขนาดนี้เขาใช้จ่ายทั้งปียังไม่หมดเลยด้วยซ้ำ
“การสร้างยันต์ช่างสิ้นเปลืองเงินโดยแท้ คนทั่วไปคงแบกรับภาระไม่ไหวหรอก” เยี่ยเฉินเฟิงส่ายศีรษะ บ่นกับตัวเองด้วยความเสียดาย
หลังจากล้มเหลวไปแล้วหนึ่งครั้ง เยี่ยเฉินเฟิงก็รีบวิเคราะห์ปัญหาในการสร้างยันต์ของตนและจุดที่ยังทำได้ไม่ดีพอ จากประสบการณ์ที่ทำพลาดไปเมื่อครู่
เขาไม่มีวิธีเพิ่มพูนพลังิญญาในระยะเวลาสั้นๆ หากคิดจะสร้างยันต์ให้สำเร็จ เขาต้องลดข้อผิดพลาดให้เหลือน้อยที่สุดและไม่ใช้พลังิญญาพร่ำเพรื่อ ถึงจะมีโอกาสประสบความสำเร็จได้
เกือบๆ หนึ่งชั่วโมง พลังิญญาของเยี่ยเฉินเฟิงก็ฟื้นคืนสภาพเดิม เขาปรับสภาพร่างกายให้สมบูรณ์พร้อมมากที่สุด และเมื่อถึงเวลาอันสมควรเขาก็เริ่มสร้างยันต์เข็มทองขึ้นอีกครั้ง
แม้ว่าเขาจะมีบทเรียนจากความผิดพลาดในครั้งก่อนหน้า ทว่าพอถึง่สุดท้าย พลังิญญาของเขาก็อ่อนแรงลงทำให้ลวดลายที่สลักบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย เป็เหตุให้เกิดข้อผิดพลาดในการผสานยันต์และต้องคว้าน้ำเหลวไปอีกครา
“ล้มเหลวอีกแล้ว สามพันตำลึงหายวับไปกับตา” เห็นอักขระเข็มทองที่กลายเป็ขี้เถ้าลอยฟุ้ง เยี่ยเฉินเฟิงก็อยากจะร่ำไห้แต่ก็ไร้น้ำตา
“ปัง...ล้มเหลวอีกแล้ว”
“ล้มเหลวอีกแล้ว...”
“ล้มเหลวอีกจนได้โว้ย!”
เยี่ยเฉินเฟิงเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปพร้อมๆ กับการสร้างยันต์เข็มทอง แต่โชคช่างไม่เข้าข้างเขาบ้างเลย การสร้างยันต์ถึงได้ล้มเหลวติดต่อกันถึงแปดครั้ง วัตถุดิบในการสร้างถูกใช้งานไปเกือบหมดเกลี้ยง
แต่ประสบการณ์ที่เขาล้มเหลวถึงแปดครั้งมันทำให้เยี่ยเฉินเฟิงคุ้นชินกับท่าประสานมือที่ใช้ในการสลักอักขระ ความเร็วจึงเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่า
เขาสามารถใช้พลังิญญาหลอมรวมเป็อักขระ และสลักลงไปบนแผ่นยันต์หวงอวี้ได้ในเวลาเพียงยี่สิบนาทีเท่านั้น ก่อนจะควบคุมส่วนผสมอื่นๆ เช่น เืสัตว์อสูรและผงดารา์ผสานตามลงไป
ในระหว่างการผสานยันต์ เยี่ยเฉินเฟิงที่สูญเสียพลังิญญาไปมากก็เริ่มเกิดอาการหน้ามืดตาลาย ทำให้ยันต์อักขระมีจุดที่ลายเส้นยุ่งเหยิงอยู่เล็กน้อย และใกล้จะคว้าน้ำเหลวอยู่รอมร่อ
ภายใต้สถานการณ์เร่งรีบกดดัน เขาจึงกัดลิ้นตัวเองแรงๆ พยายามเรียกสติให้กลับมา ยอมแลกทุกอย่างที่มีเพื่อควบคุมพลังิญญาให้ลายเส้นเ่าั้เข้าที่เข้าทาง
“เฮ้อ เกือบไป เกือบจะล้มเหลวอยู่แล้วเชียว”
หลังจากอักขระมั่นคงแล้ว เยี่ยเฉินเฟิงที่มีเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นเต็มหน้าก็เป่าลมอย่างโล่งอกพลางบ่นพึมพำกับตัวเอง
ถ้าทำพลาดอีกรอบต้องขาดทุนย่อยยับเป็แน่ แม้แต่โอกาสจะแก้ตัวใหม่ก็ยังไม่มี
เวลาล่วงเลยไปอีกประมาณห้านาที ในตอนที่พลังิญญาของเยี่ยเฉินเฟิงแทบจะไม่มีเหลือ ลำแสงสีทองก็สว่างวาบออกมาจากแผ่นยันต์หวงอวี้ ในที่สุดยันต์เข็มทองก็เป็รูปเป็ร่างขึ้นมา
“สำเร็จ ในที่สุดก็สำเร็จจนได้”
เมื่อเห็นยันต์เข็มทองลอยอยู่ตรงหน้า เยี่ยเฉินเฟิงที่ใช้พลังไปจนหมดสิ้นและวิงเวียนศีรษะเป็อย่างมากก็ผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่และแสดงสีหน้าดีอกดีใจ
ขอแค่มียันต์เข็มทองชิ้นนี้อยู่ ความพยายามที่ผ่านมาของเขาก็ไม่นับว่าสูญเปล่าแล้ว อีกทั้งระดับความยากของการสร้างยันต์ยังช่วยให้เขาควบคุมพลังิญญาได้ดีขึ้น ปริมาณพลังิญญายังเข้มข้นและหนาแน่นขึ้นอีกด้วย
“ไม่รู้ว่ายันต์เข็มทองจะขายได้สักกี่ตำลึง ข้าคิดว่าอย่างน้อยก็น่าจะสักห้าหมื่นตำลึงแหละน่า”
เขาเติบโตมาในตระกูลเยี่ยจึงพอจะรู้อยู่ว่ายันต์ระดับทั่วไปขายได้ประมาณหนึ่งแสนตำลึง และหากยิ่งสร้างจากผู้ใช้อักขระที่มีชื่อเสียงราคาจะยิ่งพุ่งสูง
นอกจากนี้ยันต์อักขระที่เยี่ยเฉินเฟิงได้รับสืบทอดมาก็เหนือชั้นกว่ายันต์ของแคว้นจื่อจินมาก เขาเชื่อว่ายันต์ที่ตนสร้างขึ้นมานั้นไม่ว่าจะด้านราคาหรือคุณภาพ ย่อมต้องดีกว่ายันต์ที่มีขายตามท้องตลาดชนิดเทียบไม่ติดเลยทีเดียว
แต่เพราะเขายังไม่มีชื่อเสียงและยังเป็เพียงผู้ฝึกหัดเท่านั้น ราคาของยันต์ที่คิดเอาไว้ในใจจึงถูกมากๆ ขอแค่สินค้าเป็ที่รู้จักและยอมรับของคนทั่วไป รวมทั้งขายได้เงินต้นทุนคืนกลับมาบ้างก็พอใจแล้ว
“หวังว่าในเมืองไป๋ตี้จะมีคนตาแหลมอยู่บ้างนะ ไม่อย่างนั้นข้าคงต้องตกที่นั่งลำบากอีกแน่” เยี่ยเฉินเฟิงบ่นงึมงำกับตัวเอง
แสงสีแดงระเรื่อค่อยๆ โพล่พ้นขึ้นมาจากทิศตะวันออกยามรุ่งอรุณ เยี่ยเฉินเฟิงที่สวมหน้ากากหนังมนุษย์เหยียบย่ำลงไปบนแสงอันอบอุ่น ก้าวเดินเข้าไปในร้านไป๋หยุนซึ่งเป็อาคารสามชั้นทรงสถูป หน้าประตูทางเข้ามีรูปปั้นสิงโตทรงพลังอำนาจสองตัวนั่งขนาบข้างอยู่
“คุณชายท่านนี้ ไม่ทราบว่า้าซื้ออะไรหรือ?”
แม้ว่าเยี่ยเฉินเฟิงจะแต่งตัวได้ธรรมดามาก อีกทั้งรูปร่างยังเตี้ยกว่าผู้ใหญ่วัยฉกรรจ์อยู่ครึ่งศีรษะ แต่ร้านไป๋หยุนยังคงต้อนรับเขาเป็อย่างดี สาวสวยวัยละอ่อนที่แต่งแต้มใบหน้าเพียงเล็กน้อย สวมชุดกี่เพ้าสีขาวลายรากบัวที่ขับเน้นทรวดทรงอวบอัดแสนเย้ายวนใจ เอวบางทรงเสน่ห์ขยับพลิ้วไหวขณะที่นางก้าวเดินเข้ามาใกล้พร้อมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไพเราะ
“ข้า้าขายยันต์อักขระ ไม่ทราบว่าร้านไป๋หยุนของเ้ารับซื้อหรือไม่?”
เยี่ยเฉินเฟิงเหลือบมองสาวร่างสูงเพรียวผู้มีใบหน้างดงาม พลางพูดเปิดฉากอย่างตรงไปตรงมา
“ยันต์อักขระ!”
เด็กสาวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองเยี่ยเฉินเฟิงที่แต่งกายด้วยเสื้อคลุมยาวตัวหลวมและไม่คุ้นหน้าคุ้นตา เมื่อััได้ว่าอีกฝ่ายไม่มีท่าทีหลอกลวงจึงเอ่ยถาม “มิทราบคุณชายได้ยันต์อักขระมาจากที่ไหน เป็ผลงานของผู้ใช้อักขระท่านใดหรือ?”
“ขออภัยที่ข้ามิอาจบอกที่มาที่ไปของยันต์อักขระชิ้นนี้ได้ ไม่ทราบว่าร้านของท่านจะยินดีรับไว้หรือไม่?” เยี่ยเฉินเฟิงส่ายหน้าปฏิเสธและถามกลับ
“ได้ เชิญคุณชายตามข้าไปที่โถงด้านหลังก่อน ข้าจะไปเชิญนักประเมินยันต์อักขระของร้านไป๋หยุนมาให้ ส่วนเื่จะรับซื้อหรือไม่ ข้ามิอาจตัดสินใจได้” เด็กสาวแสดงท่าทีลังเล แต่ก็ยังยอมพาเขาเข้าไปที่โถงหลังร้านไป๋หยุน
