ตามบทสรุปที่ดูเหมือนเป็การหารือกันแต่ความจริงแล้วคือความเผด็จการของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว ในที่สุดเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วและเยวี่ยเจาหรานก็ค่อยๆ เดินทีละก้าวจนถึงวัดจินติ่ง เมื่อมองไปยังประตูวัดที่ไม่ได้สูงตระหง่านอะไรนัก ในใจของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วและเยวี่ยเจาหรานก็พลันเกิดความเศร้าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก อาจเป็เพราะความเ็ปรวดร้าว และความเสียดายต่อวันหยุดขี่ม้าอันแสนงดงามของตนที่สลายหายไปอย่างกะทันหัน
“เ้ารู้กฎของที่นี่หรือไม่? เครื่องรางนั่นต้องขออย่างไร มีเคล็ดอะไรบ้าง?”
ขณะที่ทั้งสองคุกเข่าเคียงไหล่กันอยู่เบื้องหน้าพระพุทธรูป เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วสองมือสิบนิ้วประนม ถามไถ่อย่างจริงใจกับ ‘พระพุทธรูปเจาหราน’ ที่อยู่ข้างกายด้วยความเลื่อมใส ไม่สิ ไต่ถามอย่างจริงใจต่างหาก
นี่ไม่ใช่คำโป้ปด ถึงอย่างไรเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ใช้ชีวิตอยู่ในสนามฝึกั้แ่เด็ก พบเจอแต่กลิ่นคาวเือยู่เสมอ ถึงแม้ว่านางจะไปฝึกวิชายุทธ์ในูเา แต่ไม่ได้เชื่อคำพูดที่เลื่อนลอยอย่างเมตตาธรรมค้ำจุนโลกอะไรนั่นสักเท่าไรนัก ดังนั้นนางจึงไม่รู้จริงๆ ว่าเครื่องรางเ่าั้ต้องขออย่างไร ในความคิดของนาง จ่ายเงินมากมายตีเกราะป้องอกอันใหม่ให้บิดาน่าจะคุ้มค่าและดูใช้ได้จริงกว่าเสียอีก
ถึงแม้เยวี่ยเจาหรานจะหลับตาอยู่ แต่ความจริงกำลังกลอกตา หลังจากคำนับสามครั้ง เขาถึงกดเสียงเบาเอ่ยกับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่อยู่ข้างๆ “กฎข้อแรกก็คือ ขณะนั่งคุกเข่าอยู่บนเบาะสาน อย่าได้ชวนหญิงงามที่อยู่ข้างกายพูดคุย” พูดจบ เขาก็รวบกระโปรงลุกขึ้นยืนอย่างไม่สนใจรอบข้าง
เดิมทีนึกว่าคำพูดของตนจะสามารถเตือนสติเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วได้บ้าง กลายเป็ว่าได้คำถามที่จริงใจยิ่งขึ้นเสียอย่างนั้น “หญิงงาม? อยู่ไหน อยู่ไหน? ชี้ให้ข้าดูหน่อย...”
...
จนถึงตอนนี้ เยวี่ยเจาหรานถึงเพิ่งเข้าใจว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่ได้พูดโป้ปด เพียงแค่คำพูดของนางฟังดูปัญญาอ่อนจนเหมือนกับคำโกหกเท่านั้นเอง หากถึงยามที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วพูดโกหกขึ้นมาจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจจะประสบความสำเร็จอย่างคาดไม่ถึงในทางตรงกันข้ามก็ได้
เพื่อไม่ให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่ววิ่งออกไปตามหา ‘หญิงงาม’ ที่เดิมทีก็อยู่ใกล้แค่ตรงหน้านี้เข้าจริงๆ เยวี่ยเจาหรานจึงดึงแขนเสื้อของนางเอาไว้ แล้ว ‘มัด’ เ้าตัวไว้ข้างกายตนอย่างแ่า ทันใดนั้นเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็รู้สึกรังเกียจกับพฤติกรรมยกยอตนเองอย่างแปลกประหลาดเช่นนี้ของเยวี่ยเจาหรานขึ้นมาอย่างยิ่ง แล้วพลันเอ่ยขึ้นอย่างคุยโวโอ้อวด “สหาย พวกเราไม่ได้เป็สามีภรรยากันจริงๆ เสียหน่อย เ้าไม่จำเป็ต้องพยายามฉุดข้อมือเล็กๆ ของข้าขนาดนี้เพื่อไม่ให้ไปมีชู้ก็ได้น่า!”
ในขณะเดียวกับที่เยวี่ยเจาหรานแย้มยิ้มอย่างเสแสร้ง เขาก็ยกเท้าขึ้นมาเหยียบลงไปที่เท้าของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วด้วยความโเี้อย่างไร้เสียง...
“อมิตาพุทธ...”
เมื่อฝ่าเท้าเหยียบลง ดั่งยาถึงโรคก็หาย พลันรู้สึกกระชุ่มกระชวย หากยังไม่สบายก็เหยียบลงไปอีก เยวี่ยเจาหรานยกมือลูบหน้าอกผ่อนคลายอารมณ์ ปากก็เอ่ยออกมาว่าอมิตาพุทธ แล้วจึงลากเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเดินไปหาพระเกจิอาจารย์ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเจ็บแต่ไม่อาจร้องออกมา ทุกข์ทรมานแต่ยากจะเอ่ย ทำได้เพียงกล้ำกลืนฝืนทนไว้ มากเสียจนในขณะที่เดินตามไปขอพรพระอยู่ข้างหลัง เยวี่ยเจาหรานก็ราวกับกลายเป็พระพุทธรูปสีทององค์นั้นในสายตาและดวงจิตของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไปแล้ว ทั้งความรวดร้าวและการภาวนาทั้งหมดในดวงตาทั้งสองข้างล้วนส่งไปยังเขาทั้งสิ้น
ทั้งสองคนขอเครื่องรางคุ้มภัยคู่หนึ่งสำหรับฮูหยินเยี่ยนและแม่ทัพเยี่ยนมาได้สำเร็จด้วยการนำของเยวี่ยเจาหราน และก็นับว่าบรรลุภารกิจของการออกมาธุระในวันนี้ หลังจากกล่าวลาเ้าอาวาสแล้ว ก็สามารถลงเขากลับจวนได้ เยวี่ยเจาหรานเดินเคียงไหล่กับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว พร้อมกับถือเครื่องรางคุ้มภัยในมือ พลางเอ่ยถาม “เ้าไม่จริงใจนอบน้อมเช่นนี้ ไม่กลัวเครื่องรางจะปัดเป่าอันตรายแม่ทัพเยี่ยนไม่ไหวหรือ?”
“เฮ้ยๆ พูดจาเหลวไหลอะไรของเ้า?” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วขมวดคิ้ว สองมือฉวยเครื่องรางในมือของเยวี่ยเจาหรานมาอย่างรวดเร็ว พร้อมเอาไว้ที่หน้าอกและเอ่ยว่า “เครื่องรางน้อยเครื่องรางน้อย อย่าได้ไปฟังหญิงผู้นั้นพูดจาเพ้อเจ้อ จิตอธิษฐานของข้า จริง ใจ ที่ สุด... ไม่ได้คิดว่อกแว่กเลยนะ!”
เมื่อเอ่ยจบ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็สอดเครื่องรางเก็บไว้ในอกเสื้อ แล้วจึงลูบที่เรือนผมสลวยของตน เอ่ยไปทางเยวี่ยเจาหราน “จ่ายเงินตีเกราะป้องอกอันใหม่ขึ้นมาให้ท่านพ่อข้าอีกสักอันก็ไม่เห็นจะเป็ไรนี่ ข้าไม่มีประสบการณ์ออกรบฆ่าฟันศัตรู หรือเ้ามี? เฮอะ!”
เยวี่ยเจาหรานไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาไม่ได้เอ่ยอะไรอีก แล้วเดินไปด้วยกันกับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว
ตอนที่กลับมาถึงบริเวณที่รถม้าหยุดรอ ท้องฟ้าก็ถูกย้อมเป็สีเหลืองนวลของยามเย็นหน่อยๆ แล้ว ทว่าไม่เห็นเงาสวี่ชิวเยวี่ย ได้ยินว่านางทนหนาวไม่ไหวเลยกลับเข้าไปเคลิ้มหลับอยู่ในรถแล้ว เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจึงสั่งไม่ให้ไปรบกวน แล้วเรียกให้เยวี่ยเจาหรานมาขึ้นรถม้าคันเดียวกับตน ไม่ต้องไปเสียอารมณ์กับสวี่ชิวเยวี่ยอีก
อบอวลอยู่กับเขม่าเถ้าธูปมาทั้งวัน เยวี่ยเจาหรานเองก็อยากจะให้สายลมยามเย็นพัดกลิ่นอายความเป็ชาวพุทธที่ไม่ค่อยจะบริสุทธิ์นักบนร่างของตนปลิวไปด้วยเช่นกัน เขาจึงเห็นดีเห็นงามโดยไม่คิดเอ่ยขัด
การเดินทางนับว่าราบรื่น กระทั่งมาถึงทางแยกที่ไปยังจวนเยี่ยนและเยวี่ย เยวี่ยเจาหรานจึงเผยสีหน้าลำบากใจ “เ้าจะให้กลุ่มคนอึกทึกกลุ่มนี้ติดตามข้ากลับไปหรือ? ข้าคิดว่า ข้าเรียกรถม้าสักคันกลับไปจวนเยวี่ยเองดีกว่า...” เยวี่ยเจาหรานพูดจบก็กำลังจะหมุนตัวลงรถม้าไป แต่กลับถูกเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วรั้งเอาไว้
“คราวที่แล้วเ้ากลับไปจวนเยวี่ยเอง ทั้งเมืองหลวงก็รู้กันหมดว่าเยี่ยนอวิ๋นเฟยใช้ความรุนแรง เ้าอยากจะทำให้ฮ่องเต้ต่อว่าอีกรอบหรืออย่างไร”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเอ่ยจบ ก็พลันเบี่ยงตัวเล็กน้อยบนหลังม้า สั่งให้บ่าวที่ติดตามมาด้วยพาสวี่ชิวเยวี่ยส่งกลับจวนเยี่ยนไปก่อน ส่วนตนเองเปลี่ยนเส้นทางไปส่งเยวี่ยเจาหราน เยวี่ยเจาหรานรู้ว่าไม่อาจเอาชนะเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว จึงไม่ได้โต้แย้งอะไรอีก แล้วปล่อยให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วขี่ม้าพาตนตรงไปยังประตูใหญ่ของจวนเยวี่ย
หน้าประตูจวนเยวี่ย เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจากไปอย่างไม่รีรอ เมื่อมองแผ่นหลังของนางที่นั่งอยู่บนม้า ในใจของเยวี่ยเจาหรานก็พลันเกิดความสับสนและเป็กังวลขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้ ถึงแม้จะบอกว่าทางที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วมุ่งไปนี้จะเป็บ้านของนาง หาใช่ถ้ำเสือรังัไม่ แต่ความกังวลที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจนี้ ก็ทำให้เยวี่ยเจาหรานทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาเล็กน้อย
หยุดม้าดึงบังเหียน ม้าตัวน้อยเบื้องใต้ของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วแหงนหน้าส่งเสียงร้อง แล้วพ่นลมหายใจทีหนึ่ง หญิงสาวพลิกตัวลงจากหลังม้า ฝีเท้าแ่เบาปราดเปรียว แต่อารมณ์ในสีหน้านั้นเคร่งขรึมองอาจไม่น้อย
“คุณชาย—— ฮูหยินเรียกท่านไปพบ พร้อมกับ… ฮูหยินน้อย...”
บ่าวรับใช้เข้ามาถ่ายทอดคำสั่ง เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจึงยกมือเล็กน้อย สื่อว่าไม่จำเป็ต้องพูดให้มากความ ก่อนจะโยนแส้ม้าในมือทิ้งไป แล้วพาตัวเองเดินไปหาฮูหยินเยี่ยน
ในเรือนปีกข้างยามนี้ไร้ซึ่งใครอื่น แม้กระทั่งหลิงหลงก็ยังหายหน้า มีเพียงฮูหยินเยี่ยนที่นั่งอยู่กลางห้องแต่เพียงผู้เดียว ในกระถางกำยานเล็กๆ สองสามอันที่วางอยู่ข้างกาย กลุ่มควันสีเทาขมวดตัวลอย ในอากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นกำยานเคล้ากลิ่นน้ำมันสะระแหน่
“ท่านแม่”
สีหน้าของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วสงบนิ่ง ทั้งน้ำเสียงก็ราบเรียบยิ่ง นางเพียงหลุบตาลง ไม่ได้มองไปยังฮูหยินตรงๆ ฮูหยินเยี่ยนในยามนี้นั่งตัวตรงอยู่ตำแหน่งที่นั่งประธาน ในมือประคองชาเข็มเงินจวินซาน [1] ถ้วยหนึ่ง นางค่อยๆ ดื่มไปครึ่งถ้วย แล้วจึงเหลือบสายตาเย็นะเืขึ้นมอง “เยวี่ยเยียนหรานล่ะ?”
“จวนเยวี่ยเกิดเื่ ระหว่างทางข้าให้คนส่งนางกลับไปจึงกลับมาล่าช้า ขอท่านแม่อย่าถือโทษเลย”
ในจวนเยี่ยนน้อยนักจะมีฉาก ‘มารดาเมตตาบุตรกตัญญู’ เช่นนี้ ทว่าสถานการณ์เช่นนี้ก็ไม่ได้คงอยู่นานอย่างที่คาด ได้ยินเพียงฮูหยินเยี่ยนแค่นเสียงเฮอะในลำคอทีหนึ่ง ก่อนจะวางถ้วยชาในมือกลับลงไปเสียงดังปึง เอ่ยกับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอย่างเ็า “เ้า คุกเข่า!”
เชิงอรรถ
[1] ชาเข็มเงินจวินซาน (君山银针) เป็ชาเหลืองที่มีชื่อเสียงโด่งดัง พันธุ์ชาที่เพาะปลูกเป็ชาดั้งเดิมที่มีในพื้นที่ ใบชามีขนแน่นยอดยาวเรียวแหลมเล็ก มองแล้วคล้ายเข็มเงินแทงยอดออกจากใบเขียว ตามมาตรฐานมีกลิ่นหอมดอกไม้ ชงออกแล้วรสอ่อนละมุน ดื่มแล้วชุ่มคอ รู้สึกได้ถึงความเย็นซ่านในปากและลำคอ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้