เสียงร้องเรียกดังมาแต่ไกล “หยวนเก้อเอ๋อร์ หยวนเก้อเอ๋อร์ รีบกลับเร็ว!!!”
“วันนี้ท่านอาจารย์จะทดสอบพวกเรา!”
ิหยวนไม่ทันได้ตอบ สหายร่วมสำนักทั้งสองก็ลากเขากลับสำนักศึกษาด้วยความรวดเร็วราวกับเหาะ
สำนักศึกษาตระกูลิตั้งอยู่ด้านหลังศาลบรรพชน ซึ่งห่างจากจวนตระกูลิสองลี้ สำนักศึกษาสร้างตามรูปแบบเรือนสี่ประสาน โดยที่เรือนด้านหน้าสุดใช้เป็โถงศึกษา สวนด้านหลังเป็ลานฝึกวรยุทธ์ ส่วนโหวอิง[RS1] และครอบครัวอาศัยอยู่ที่เรือนด้านในสุด สร้างด้วยอิฐเทากระเบื้องครามงดงามประณีต เนื่องจากระบบบ่อนา ที่มีมาั้แ่สมัยบรรพบุรุษ จึงมีทุ่งนาล้อมรอบสำนักศึกษา ซึ่งสองสิ่งอยู่ควบคู่กันนั้นแสดงให้เห็นว่าการศึกษาสอนให้คนมีความรู้ คุณธรรม ศีลธรรม และมารยาท ส่วนเกษตรกรรมนั้นสอนให้คนรู้จักการเพาะปลูก ทำไร่ไถนาหาปลาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เอาตัวรอดในยามยาก
ิหยวนพยายามหดตัวให้เล็กที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ ย่องเบาเข้ามาจากทางประตูหลัง ด้านผู้เป็อาจารย์ที่นั่งอยู่บนตั่งสูงด้านหน้าของห้องโถงทำได้เพียงก้มหน้ามองต่ำแสร้งทำเป็ไม่เห็นการกระทำเ่าั้ เด็กหนุ่มในชุดผ้าแพรที่นั่งเรียงรายในห้องโถง เห็นเช่นนั้นก็ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
โหวอิงเน้นการเรียนรู้แบบเข้าใจลึกซึ้ง อธิบายและวิเคราะห์บทเรียนอย่างทะลุปรุโปร่ง ทว่าหน้าที่ของเขามีเพียงสั่งสอนศิษย์เท่านั้น จากนั้นเขาจะปล่อยให้ศิษย์เรียนรู้ด้วยตนเอง ไม่ได้กะเกณฑ์ศิษย์จนเกินไป เพียงแต่ต้องมีการทดสอบสองครั้งต่อเดือน คือทุกวันที่หนึ่งและวันที่สิบห้า เพราะหากจะไม่มีการทดสอบเลยมันก็ไม่ต่างอันใดกับการปล่อยแกะเล็มหญ้าบนเนินเขา แต่ทว่าวันนี้จู่ๆ ก็ประกาศว่าจะมีการทดสอบ ทำให้ศิษย์ทั้งหลายตื่นตระหนกกันยกใหญ่
“เพียงท่องบทกวี ไม่ต้องเคร่งเครียดนัก” โหวอิงเอ่ยพลางโบกพัดขนนกเบาๆ “ข้าเพียงเห็นว่าใกล้ถึงเทศกาลซ่างซื่อ แล้ว ฉะนั้นอีกครึ่งชั่วยามมาพบกันที่ธารน้ำโค้งตวัด ร่ายกวีร่ำสุรา ดูสิว่าผู้ใดจะไขปริศนาได้เก่งกว่ากัน”
ในบรรดาชนชั้นสูง ตระกูลิให้ความสำคัญกับการศึกษาที่สุด สำนักศึกษาจึงตั้งอยู่ทางใต้ของูเา ทางเหนือของแม่น้ำ มีแสงแดดสาดส่อง ผืนดินที่ชุ่มชื้น พืชพรรณเจริญงอกงาม สายลมพริ้วไหว สายธารไหลผ่านต้นไม้ใหญ่ น้ำเย็นหวานฉ่ำจับใจ ธาราใสงดงามอร่ามตา บรรยากาศเช่นนี้มีหรือโหวอิงจะหักห้ามใจไม่พาศิษย์ทั้งหลายออกไปรับลมชมทิวทัศน์ บรรยากาศนี้มันช่าง… ผ่อนคลายยิ่งนัก ทว่าศิษย์ทั้งหลายกลับไม่คิดเช่นนั้น
บางคนหน้านิ่วคิ้วขมวด บางคนก็จริงจังอยู่กับการเลือกตำแหน่งที่นั่ง แต่ไม่รู้เหตุใดคนทั้งหลายถึงเอาแต่กระจุกตัวเหมือนนกคุ่มข้างลำธาร
“พวกเ้าเข้าไปล้อมิหยวนไว้ด้วยเหตุใด ขยับออกห่างกันหน่อย”
จะว่าไปศิษย์พวกนี้ก็เปรียบได้กับแตงกวน ต้องคอยเคี่ยวเข็ญไม่ให้ขาดถึงจะได้ลิ้มรสชาติอันหอมหวาน
โหวอิงยังคงขยับพัดในมือเบาๆ พลางวางจอกสุราใบเล็กลงในลำธารที่มีลักษณะคดเคี้ยวไปมา ก่อนจะยกกาสุราเทลงไป
นี่เป็ชุดน้ำชาสีบุปผาที่ตระกูลิทำขึ้นเอง ตัวชุดน้ำชาเป็สีฟ้าอ่อน วาดลวดลายสี่บุรุษแห่งมวลบุปผา อันได้แก่ ดอกเหมย กล้วยไม้ ไผ่ และดอกเบญจมาศ จอกแต่ละใบยังแต่งแต้มไปด้วยจุดสีขาว จุดเล็กๆ แตกต่างกันไป ดูน่ารักดีไม่น้อย “ิหลาน” ประมุขตระกูลิสั่งทำชุดน้ำชานี้เพียงสี่ชุดเท่านั้น เก็บไว้ใช้เองหนึ่งชุด มอบให้ฮูหยินผู้เฒ่าหนึ่งชุด เก็บไว้ที่ห้องตำราหนึ่งชุด และอีกหนึ่งชุดถูกส่งมาที่สำนักศึกษาให้โหวอิงไว้ใช้เล่นสนุก ไม่เคยมีคนธรรมดาคนใดได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ลูกหลานตระกูลิต่างใ เมื่อเห็นชุดน้ำชาที่ผู้เป็อาจารย์นำมาใช้เล่น จนพวกเขาแทบไม่กล้าขยับตัว
ไม่รู้ใช้วิธีการพิเศษอันใดถึงทำให้จอกนี้ลอยบนน้ำได้ จอกสุราล่องลอยไปตามลำธารเหมือนเรือลำน้อยกระทบคลื่น บ้างก็ขยับไปทางซ้ายทีขวาที เหล่าบรรดาศิษย์ที่นั่งอยู่ริมฝั่งต่างเฝ้าอธิษฐานในใจ ภาวนาไม่ให้จอกหยุดตรงหน้าตน จอกบางใบหมุนวนอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะไหลไปหาคนที่ใจปรารถนา บ้างก็ดูเหมือนจะไหลต่อ แต่จู่ๆ ก็หยุดตรงหน้าใครสักคนดื้อๆ ช่างดูเหมือนจอกสุราพวกนั้นกำลังเล่นสนุกก็ไม่ปาน ด้านผู้ถูกเลือกทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับชะตากรรม รวบแขนเสื้อเพื่อยื่นมือออกไปหยิบจอกสุรา
“หมั่นทบทวนบทเรียน”
“หมั่นทบทวนบทเรียน มิใช่สิ่งที่พึงกระทำหรือ? สหายแดนไกลมาเยี่ยมเยือน มิใช่เื่ควรยินดีหรือ? แม้ผู้อื่นมิเข้าใจตัวเรา ก็มิได้โกรธเคือง มิใช่สิ่งที่ปัญญาชนพึงกระทำหรอกหรือ?” หลังท่องจบศิษย์คนนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เรียกว่าโชคดีไม่น้อยที่ได้บทนี้ เขายกจอกสุราดื่มจนหมดในอึกเดียว
รอบแรกไม่ยาก คำถามส่วนใหญ่เป็การท่องจำและวิเคราะห์บทกวีของขงจื๊อ ผู้ใดตอบได้ถือว่าอ่านหนังสือ จึงผ่านบททดสอบไปได้ด้วยดี
เมื่อโหวอิงขยับพัด ิหยวนรีบหยัดกายขึ้นเพื่อเดินไปเก็บจอกรอบๆ ลำธาร แล้วส่งคืนให้โหวอิงอย่างระมัดระวัง ศิษย์ส่วนใหญ่ในสำนักศึกษาตระกูลิเป็ลูกหลานของตระกูลิ รองลงมาเป็นายน้อยจากตระกูลร่ำรวย มีเพียงสองสามคนเท่านั้นที่เป็ลูกหลานชาวบ้านฐานะยากจน อันที่จริงพวกเขาต้อยต่ำกว่านั้นด้วยซ้ำ เป็เพียงลูกคนงานในบ้านคนอื่น ที่ลูกหลานคนงานอย่างพวกเขาได้มีโอกาสได้เล่าเรียน เพราะนายท่านตระกูลิได้เมตตาอนุญาตให้พวกเขามาอยู่ที่นี่เป็กรณีพิเศษ ไม่จำเป็ต้องจ่ายค่าเล่าเรียน เพียงต้องขยัน ตั้งใจเก็บกวาดเช็ดถูสำนักศึกษา ยกน้ำชาให้ท่านอาจารย์ ทำกระดาษ ฝนหมึก และกวาดลานบ้าน
โหวอิงพยักหน้า “ต่อไป”
ิเยี่ย คุณชายสามตระกูลิจึงหยิบจอกขึ้นมา
“ลองอธิบายบทกวี ‘นกจีจิวขันคู’ มาสิ”
ศิษย์บางคนถึงกับหัวเราะคิกคัก คุณชายสามตระกูลิผู้นี้เป็หนุ่มเ้าสำราญ เพิ่งหมั้นหมายได้ไม่นาน แต่กลับไม่สำรวมกิริยา ประพฤติตัวไม่เหมาะสมต่อหน้าคุณหนูตระกูลผู้ดี ิเยี่ยกระแอมพลางขยิบตาให้ิหยวนที่นั่งถัดจากคนข้างๆ ิหยวนเอนหลังเล็กน้อยแล้วยื่นมือออกมา ิเยี่ยรีบพยักหน้าตกลง ิหยวนจึงโยนลูกบอลกระดาษอันเล็กๆ ไปให้เขา
ิเยี่ยถือจอกด้วยมือข้างหนึ่งพลางใช้แขนเสื้อบังมืออีกข้างที่กำลังคลี่กระดาษออกอ่าน “นกจีจิวขันหาคู่ บนเกาะกลางแม่น้ำ สาวงามแสนดี เป็ที่หมายปอง… หมายความว่านกจีจิวตัวผู้ตัวเมียขันร้องประสานเสียง เปรียบกับชายหญิงรักเดียวใจเดียว และยกย่องจักรพรรดิเหวินที่เลือกสนมดีมีคุณธรรม ประพฤติตนเหมาะสม อบรมสั่งสอนโอรสให้มีคุณธรรม ผู้เป็แบบอย่างแก่จักรพรรดิโจวอู่ผู้เป็โอรส”
“ไม่เลว เป็ปัญญาชนต้องรู้จักยับยั้งชั่งใจ ตัวเ้าเป็ถึงบุตรชายสายตรงตระกูลใหญ่ ควรจักปฏิบัติตัวตามทำนองคลองธรรม รู้ถูกรู้ควร”
“ศิษย์น้อมรับคำสอนของท่านอาจารย์” ิเยี่ยยกจอกสุราขึ้นดื่ม พร้อมแอบยัดลูกบอลกระดาษในมือใส่ปาก เคี้ยวจนละเอียดแล้วกลืนลงไป
ิจวิน หลานชายสายรองของตระกูลิ เป็หนุ่มเ้าสำอาง มักสวมกวานทองประดับไข่มุกหรูหรา บทกวีที่เขาได้รับก็คือ “ข้าวหนึ่งชาม น้ำหนึ่งจอก นอนในตรอกรูหนู ชีวิตเช่นนี้ผู้ใดจะทนได้ ทว่าความทุกข์ยากอันใดก็มิอาจพรากความสุขในใจได้”
สายน้ำยังคงไหลอย่างต่อเนื่อง จอกถัดไปไหลมาหยุดตรงหน้าคุณชายใหญ่ตระกูลเฉานามว่า “เฉาเหอ” โหวอิงปรายตามองเขาแวบหนึ่ง “ฉางตี้ชูช่อ”
“ฉางตี้ชูช่อ... ฉางตี้ชูช่อ เบ่งบานสุกใส… ฉางตี้ชูช่อ เบ่งบานสุกใส ผู้อื่นนั้นไซร้ เปรียบมิได้กับพี่น้อง… เอ่อ…”
“ต่อจากนั้นเล่า?”
“ต่อจากนั้น... ถึงคราวทุกข์ยาก พี่น้องห่วงหา บุกป่าฝ่าดง พุ่งตรงช่วยเหลือ” เมื่อไม่กี่วันก่อนเฉาเหอกับน้องชายทะเลาะกันใหญ่โตเพราะม้าที่บิดามอบให้ เมื่อได้หัวข้อเป็กวีบทนี้ ใบหน้าของเขาก็พลันแดงก่ำ ทันใดนั้นน้องชายของเขานามว่า “เฉาผิง” ก็เดินมานั่งลงตรงข้ามเขา
“ฉางตี้ชูช่อ เบ่งบานสุกใส ผู้อื่นนั้นไซร้ เปรียบมิได้กับพี่น้อง ถึงคราวทุกข์ยาก พี่น้องห่วงหา บุกป่าฝ่าดง พุ่งตรงช่วยเหลือ พี่น้องรักใคร่ ช่วยเหลือยามยาก ดุจมีสหายคู่ใจ เบาใจทุกครา แม้พี่น้องอิจฉา เมื่อมีภัยร่วมใจกันต้าน มีสหายคู่คิด มิตรดีย่อมไม่มีศัตรู ความวุ่นวายสงบลง ความสงบจึงบังเกิด แม้เป็พี่น้อง ก็มิสู้เป็พี่น้องดุจสหายคู่ใจ ข้าวน้ำโอชา ร่วมกันดื่มกิน พี่น้องพร้อมหน้า เฮฮาสุขสันต์ สามีภรรยารักใคร่กลมเกลียว ดั่งเสียงฉินเส้อสอดประสาน พี่น้องสามัคคี ชีวีตสงบสุข อยู่อย่างปรองดอง ครอบครัวเป็สุข ใคร่ครวญให้ดี เป็จริงดังนั้น... วันก่อนศิษย์ประพฤติตัวไม่เหมาะสม ทะเลาะกับพี่ชายเพราะเื่เล็กน้อย โปรดลงโทษศิษย์ด้วยขอรับ”
เฉาเหอรีบหมอบลง พร้อมเอ่ยเสียงหนักแน่น “ท่านอาจารย์โปรดลงโทษศิษย์ด้วยขอรับ”
“หากรู้ผิดแล้ว ก็จงแก้ไข จากนี้ไปพี่น้องดูแลช่วยเหลือกัน พี่น้องร่วมใจ แม้ทองก้อนใหญ่ก็ผ่าได้”
“ศิษย์จะตั้งใจปฏิบัติตามคำสอนของท่านอาจารย์” ทั้งสองคำนับผู้เป็อาจารย์ ก่อนจะคำนับกันและกันข้ามลำธาร เฉาผิงโล่งใจ ไม่ลืมก้มหัวน้อยๆ ให้ิหยวนเพื่อขอบคุณอีกฝ่าย
ผ่านไปอีกสองสามรอบ ในที่สุดจอกก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าหลิวเปียว หลิวเปียวเป็ลูกชายคนโตของตระกูลหลิว ตัวสูงใหญ่ เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ แล้วเขาดูเหมือนผู้ใหญ่ แต่มักสร้างปัญหาก่อความวุ่นวายในสำนักศึกษา เขาเข้ามาศึกษาเล่าเรียนที่สำนักศึกษาตระกูลิ แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน เอาแต่พาน้องชายทั้งสอง แล้วก็นายน้อยอีกสองสามตระกูลออกล่าสัตว์ตามทุ่งนา มีนิสัยใจคอโหดร้ายหยิ่งผยอง ชอบดูถูกและกดขี่ผู้อื่น
“ลองอธิบายคำกล่าวที่ว่า ‘ปัญญาชนสามัคคีแต่ไม่สมรู้ร่วมคิด คนทรามสมรู้ร่วมคิดกันแต่ไม่สามัคคี’ มาสิ”
หลิวเปียวจ้องิหยวนตาแทบถลนอยู่นานจนอีกฝ่ายต้องโยนลูกบอลกระดาษมาให้ “ปัญญาชนสามัคคีแต่ไม่สมรู้ร่วมคิด คนทรามสมรู้ร่วมคิดกันแต่ไม่สามัคคี หมายความว่าปัญญาชนจะปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างซื่อตรงและยุติธรรม ในขณะที่คนทรามเห็นแก่ตัว เลือกปฏิบัติ และไม่ซื่อสัตย์”
โหวอิงเลิกคิ้ว “เช่นนั้นเ้าคิดเห็นอย่างไรกับคำกล่าวนี้?”
“เอ่อ...” หลิวเปียวหันมองิหยวน ิหยวนจึงทำปากขมุบขมิบเหมือนพยายามพูดอะไรสักอย่าง ทว่าหลิวเปียวยังไม่ทันได้เข้าใจ อีกฝ่ายก็กลับไปนั่งตัวตรง และไม่หันมามองเขาอีกเลย หลิวเปียวได้แต่โมโหเป็ฟืนเป็ไฟอยู่ในใจ พยายามเค้นหาความรู้ในสมองด้วยความสิ้นหวัง “ขุนนางผู้มียศถาบรรดาศักดิ์สูงส่งล้วนเป็ปัญญาชน พวกชาวบ้านเห็นแก่ตัวคือคนทราม”
โหวอิงขมวดคิ้วพลางส่ายหัว “หาได้เป็เช่นนั้นไม่ ปัญญาชนคือผู้แสวงหาคุณธรรม ส่วนคนทรามคือพวกที่ขาดคุณธรรมต่างหาก ขึ้นอยู่กับคุณธรรม หาใช่ฐานะ แม้มาจากตระกูลร่ำรวย แต่ก็ควรหมั่นฝึกตนขัดเกลาจิตใจ หากขาดคุณธรรมที่พึงมีก็ไม่นับว่าเป็ปัญญาชน”
หลิวเปียวใบหน้าบึ้งตึง หายใจฮึดฮัด
“เข้าใจหรือไม่?”
“เข้าใจแล้วขอรับ”
ผ่านไปอีกสองสามรอบ ศิษย์ทุกคนล้วนได้รับการทดสอบแล้วทั้งสิ้น การทดสอบในวันนี้จึงสิ้นสุดลง
โหวอิงหยัดกายลุกขึ้น ก่อนจะเอ่ยสั่งิหยวนด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ิหยวน เ้าเก็บข้าวของและนำชุดน้ำชาตามข้ามา”
“น้อมส่งท่านอาจารย์” ศิษย์ทุกคนคำนับเขาก่อนจากไป
ทันทีที่โหวอิงเดินหายไปจากสายตา ศิษย์ทั้งหลายก็เริ่มส่งเสียงร้องดีใจ
“หยวนเก้อเอ๋อร์ เมื่อครู่ต้องขอบคุณเ้ามาก” ิเยี่ยผู้ไม่ตระหนี่ถี่เหนียวรักษาสัญญา รีบนำเหรียญทองแดงจำนวนหนึ่งมายัดใส่มืออีกฝ่าย
ิหยวนส่งยิ้มให้อีกฝ่ายพร้อมประสานมือขอบคุณ “ยินดีๆ “
เขารีบเก็บเงินสิบกว่าเหรียญไว้ในแขนเสื้อ พอรู้ว่าจะมีการทดสอบ เขาจึงใช้เวลาครึ่งชั่วยามนั้นเขียนโพยข้อสอบเอาไว้มากมาย เพราะบรรดาคุณชายในสำนักศึกษานี้มักขอให้เขาทำเช่นนี้ ทั้งยังมีการทำเครื่องหมายราคาไว้อย่างชัดเจนเสมอ ซึ่งแต่ละคนรู้กันเป็อย่างดี
ิหยวนกำลังจดจ่ออยู่กับการเก็บรวบรวมชุดน้ำชา แต่จู่ๆ ก็ถูกใครบางคนเตะลงไปกองอยู่ที่พื้น เขากอดชุดน้ำชาไว้แน่น ตรวจดูจนแน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดเสียหายก่อนถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาเงยหน้าขึ้นมองคนผู้นั้นจึงพบว่าไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็หลิวเปียวที่พึ่งถูกท่านอาจารย์สั่งสอนไปเมื่อครู่ อีกทั้งรอบกายยังมีน้องชายของคนผู้นั้นด้วย
“เ้าคนชั้นต่ำ ไม่รู้จักเจียมตัว กล้าดีอย่างไรมาทำให้ข้าขายหน้า” หลิวเปียวแสยะยิ้ม เขาเก็บเอาความอับอายที่โดนโหวอิงตำหนิมาระบายลงที่ิหยวน แต่ก็ไม่มีผู้ใดคิดจะเข้ามาห้าม แม้ิหยวนจะเรียนเก่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็แค่คนงานคนหนึ่ง อีกทั้งพวกเขาไม่คิดจะยื่นมือเข้าไปยุ่งเื่ของคนอื่นอยู่แล้ว
“คุณชายใหญ่หลิว เงินสักตำลึงท่านยังไม่คิดจะควัก ข้าพยายามช่วยท่านเต็มที่แล้ว และข้าไม่จำเป็ต้องช่วยท่านตอบทุกคำถาม” ิหยวนลุกขึ้นยืน ปัดเศษฝุ่นบนเสื้อผ้า พร้อมอธิบายด้วยรอยยิ้ม
“ข้าว่าเ้ากำลังรนหาที่ตาย” หลิวเปียวตัวสูงใหญ่สาวเท้าเข้าหาอีกฝ่ายราวกับอสูรร้าย
“ชุดน้ำชาของท่านอาจารย์!” ิหยวนอุทานเสียงดังพร้อมรีบเบี่ยงตัวหลบ หลิวเปียวที่พุ่งเข้ามาหาิหยวนจึงไม่ทันระวังสะดุดขาจนพุ่งไปชนิหยวน แต่อีกฝ่ายกลับหลบได้ หลิวเปียวจึงเสียการทรงตัวจนสุดท้ายก็ตกลงไปในลำธาร
เสียงนั้นทำให้ทุกคนใ โชคดีที่เป็เพียงลำธารเล็กๆ น้ำไม่ถึงต้นขา จึงไม่เป็อันตราย แต่เพราะเขาล้มลงไป ตัวจึงเปียกโชกเหมือนหนูจมน้ำ บ่าวรับใช้ตระกูลหลิวรีบดึงเขาขึ้นมาจากน้ำ ยามนี้เป็่ปลายฤดูวสันต์ อากาศหนาวเย็น น้ำในลำธารก็เย็นไม่ต่างกัน หลิวเปียวถึงกับใบหน้าซีดเซียว ตัวสั่นเป็เ้าเข้า ศิษย์ในสำนักที่รู้จักมักคุ้นกับเขา เห็นสภาพเขาในยามนี้ก็อดหัวเราะเยาะไม่ได้
“เ้า! เ้ากล้ามากนะ ไอ้ขี้ครอก ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
หลิวเปียวตัวสั่นเทา บ่าวรับใช้จึงรีบพยุงออกไป ิหยวนคำนับส่ง “คุณชายใหญ่หลิวเดินระวังๆ นะขอรับ”
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] เรือนสี่ประสาน (四合院) หมายถึง รูปแบบของบ้านที่มีอาคารล้อมลานกลางบ้านทั้งสี่ทิศ ตัวบ้านจะประกอบด้วย ประตูหน้า เรือนคนใช้ ประตูชั้นใน ลานหรือสวนกลางบ้าน เรือนหลัก เรือนตะวันออก เรือนตะวันตก และเรือนหลังบ้าน
[2] ระบบบ่อนา (井田制) หมายถึง จักรพรรดิจะพระราชทานที่ดินให้แก่ เ้าเมืองและขุนนางขั้นสูง จากนั้นแบ่งที่ดินออกเป็ 9 แปลง 8 แปลงให้ครอบครัวชาวนาเพาะปลูก แต่ต้องตอบแทนเ้าของที่ดินด้วยการช่วยกันเพาะปลูกที่ดินกลาง ผลผลิตจากแปลงกลางเป็ของเ้าของที่ดิน
[3] ปล่อยแกะเล็มหญ้าบนเนินเขา (放羊) หมายถึง ปล่อยปละละเลย ให้อิสระจนเกินไป อาจจะทำให้ขาดความรับผิดชอบ หรือไม่รู้หน้าที่ของตนเอง
[4] เทศกาลซ่างซื่อ (上巳节) หมายถึง การนัดบอด เป็เทศกาลจัดงานเลี้ยงให้หนุ่มสาวได้มาชมทิวทัศน์ มาพบหน้ากันเพื่อหาคู่
[RS1]ควรมีเชิงอรรถไหมคะ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้