หนิงมู่ฉือได้ฟังดังนั้น กระพริบตาสองทีเพื่อไล่น้ำตา นางรู้ว่าเ้าซีเหอยังโกรธนางอยู่ นางยิ้มอ่อนพลางเอ่ย “ได้เ้าค่ะ เช่นนั้นข้าจะทำอาหารตามรสชาติที่ท่านชอบ”ตอนที่ 37 งานเลี้ยงชมดอกเบญจมาศ
หนิงมู่ฉือได้ฟังก็กระพริบตาสองทีเพื่อไล่น้ำตา นางรู้ว่าจ้าวซีเหอยังโกรธนางอยู่ นางยิ้มอย่างอ่อนใจพลางเอ่ย “ได้เ้าค่ะ เช่นนั้นข้าจะทำอาหารตามรสชาติที่ท่านชอบ”
จ้าวซีเหอรับคำอืมในลำคอ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป หนิงมู่ฉือเห็นเยี่ยงนั้นในใจยิ่งทรมานจนแทบจะรับไม่ไหว
ใกล้ถึงฤดูใบไม้ร่วงเข้าไปทุกขณะ ครั้นทุกคนได้ยินว่าตำหนักอ๋องจะจัดงานเลี้ยงสังสรรค์เพื่อชื่นชมดอกเบญจมาศที่กำลังบานสะพรั่ง คนไม่น้อยรู้สึกดีใจเป็อย่างมาก ต่างรอคอยที่จะได้ชิมอาหารฝีมือหนิงมู่ฉือ
งานเลี้ยงใกล้เข้ามา คนในตำหนักอ๋องต่างมีงานต้องทำมือเป็ระวิง ทั้งกว้านซื้อดอกเบญจมาศมาจากทุกที่เพื่อเตรียมพร้อมเอาไว้ ในบรรดาดอกเบญจมาศเหล่านี้ ที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็ดอกเบญจมาศสีเหลืองทองดอกใหญ่ที่กำลังเบ่งบาน
ดอกเบจมาศสีเหลืองทองหมายถึงฐานะสูงส่ง ดอกเบญจมาศสีเหลืองทองเหล่านี้คือของที่ฮ่องเต้องค์ก่อนพระราชทานมาให้ ด้วยเหตุนี้ท่านอ๋องจึงรักต้นดอกเบญจมาศสีเหลืองทองเหล่านี้มาก
ทั้งยังมีคนกล่าวอีกว่า ดอกเบญจมาศสีเหลืองทองมีสรรพคุณช่วยขับพิษและแก้ร้อนในร่างกาย สามารถนำมาทำเป็ชาดื่มได้ ท่านอ๋องต้องทำใจอยู่นานกว่าจะทำใจสั่งให้หนิงมู่ฉือตัดดอกเบญจมาศสีเหลืองทองที่กำลังบานได้ที่เหล่านี้ตากแห้งเพื่อนำมาทำเป็ชา
ท่านอ๋อง้าใช้งานเลี้ยงชมดอกเบญจมาศในครั้งนี้หาชายาเอกให้จ้าวซีเหอ จึงส่งเทียบเชิญสตรีจากหลายสกุลให้มาร่วมงาน ทว่าแท้ที่จริงแล้ว ท่านอ๋องคิดจะใช้งานเลี้ยงในครั้งนี้เป็ตัวกระตุ้นหนิงมู่ฉือ ในเมื่อจ้าวซีเหอมีความรู้สึกพิเศษต่อหนิงมู่ฉือ เมื่อทั้งสองผิดใจกันมากขึ้น ก็จะทำให้รู้ใจตัวเองมากขึ้นด้วยเช่นกัน
หนิงมู่ฉือได้ยินทุกคนกล่าวกันว่า งานเลี้ยงที่จะจัดขึ้นในครานี้จัดเพื่อหาชายาเอกให้จ้าวซีเหอ ในใจรู้สึกหนักอึ้งเหมือนบางสิ่งมาถ่วงอยู่ข้างใน ่นี้นางและเขาต่างทำตัวเหมือนมีกำแพงกั้นระหว่างกัน
ในที่สุดนางก็ยอมรับใจตัวเองได้ ความรู้สึกที่นางมีต่อจ้าวซีเหอใช่เพียงซาบซึ้งที่เขาช่วยชีวิตนางเอาไว้ไม่ ทว่าหัวใจของนางไปอยู่ที่เขานานแล้ว เพียงแต่ด้วยฐานะของนางในตอนนี้ จึงไม่กล้าจะยอมรับมัน
เพื่อไม่ให้ตำหนักอ๋องต้องเดือดร้อน นางพยายามรักษาระยะห่างกับจ้าวซีเหอ คิดว่าถ้าครบหนึ่งปีเมื่อไหร่ก็จะจากไปทันที ซึ่งตอนนี้ก็ดูท่าว่าจะอีกไม่นานแล้ว
ดอกเบญจมาศบานแข่งกันอวดโฉมอยู่ในสวน ในเมื่อเป็งานเลี้ยงชมดอกเบญจมาศ หนิงมู่ฉือจึงคิดจะทำอาหารที่ทำมาจากดอกเบญจมาศ
ตำหนักอ๋องประดับประดาด้วยผ้าไหมสีแดง ทำให้บรรยากาศดูรื่นเริง ครั้นหลายสกุลรู้ว่าท่านอ๋องกำลังจะเลือกชายาเอกให้บุตรชายก็ต่างพากันส่งบุตรสาวมาร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ มีทั้งคุณหนูรองแห่งจวนมหาเสนาบดี เฉินซูเจิน บุตรสาวซึ่งเกิดจากฮูหยินเอกแห่งจวนแม่ทัพ หลี่อี้ชิว และบุตรสาวซึ่งเกิดจากฮูหยินเอกแห่งจวนแม่ทัพประจำภาค เจิ้งฉีเหมย
สตรีทั้งสามนางนี้แอบชื่นชอบจ้าวซีเหอมานานมากแล้ว เมื่อได้ยินว่าจ้าวซีเหอกำลังจะเลือกชายาเอก จึงห้ามใจตัวเองไว้ไม่อยู่ รบเร้าบิดามารดาให้พามางานเลี้ยงในครั้งนี้ด้วย
หลี่อี้ชิวมีอายุน้อยที่สุดในบรรดาทั้งสามนาง อายุเพียงสิบสี่สิบห้าเท่านั้น ทว่ากลับมีรูปร่างไม่ด้อยไปกว่าเฉินซูเจินและเจิ้งฉีเหมยเลย เพียงแต่มีนิสัยใจร้อนหุนหันพลันแล่น แม้แต่จ้าวซีเหอยังต้องพยายามหลบให้ไกล
บรรดาหญิงสาวทั้งหลายที่นั่งอยู่ในงานเลี้ยงจัดแต่งองค์ทรงเครื่องให้ดูสวยงามโดดเด่นที่สุด เมื่อเห็นจ้าวซีเหอเดินเข้ามา ทั้งสามนางรีบลุกขึ้นยืนพร้อมกันในทันใด
จ้าวซีเหอมองสตรีทั้งสามผู้ซึ่งผู้ใดก็มิอาจต่อกรด้วยได้พลางขมวดคิ้ว สะกดความไม่พอใจที่อยู่ในใจลงไป แย้มยิ้มและทักทายเยี่ยงหนุ่มเ้าเสน่ห์ “สาวงามทั้งสามก็มากับเขาด้วยหรือ”
หลี่อี้ชิวได้ฟังใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างดีใจ “ข้าขอถามท่าน ในบรรดาพวกเราทั้งสามคน ใครคือผู้ที่งามที่สุดเ้าคะ”
สีหน้าจ้าวซีเหอเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มกล่าวตอบ “ก็ต้องเป็เ้าสิ คุณหนูใหญ่”
เฉินซูเจินและเจิ้งฉีเหมยซึ่งยืนอยู่ด้านข้างสีหน้าเปลี่ยนไปทันที หันไปจ้องหลี่อี้ชิวเขม็ง
เมื่องานเลี้ยงเริ่ม เด็กรับใช้ของตำหนักอ๋องยกอาหารมาให้แขก อาหารเหล่านี้เป็อาหารที่หนิงมู่ฉือตั้งใจทำสุดฝีมือ ชื่อเสียงของหนิงมู่ฉือ บรรดาสตรีเหล่านี้ก็เคยได้ยินมาบ้าง ทั้งยังได้ยินอีกว่า จ้าวซีเหอให้ความสำคัญกับแม่ครัวผู้นี้เป็อย่างมาก
หญิงสาวทั้งหลายจึงอยากมาเห็นแม่ครัวที่ทุกคนกล่าวขานถึงว่ามีหน้าตาอย่างไร
อาหารที่หนิงมู่ฉือทำส่งกลิ่นหอมไปไกลสิบลี้ ทำให้กระเพาะของทุกคนในงานส่งเสียงร้องโครกคราก ทุกคนไม่สนใจที่จะชื่นชมดอกไม้อีกต่อไป ต่างใช้ตะเกียบคีบอาหารเข้าปากคำใหญ่
ท่านอ๋องเห็นท่าทางของทุกคนให้รู้สึกปลื้มปิติยิ่ง ผงกศีรษะให้เด็กรับใช้ไปนำดอกเบญจมาศสีเหลืองทองที่หนิงมู่ฉือตากแห้งเอาไว้เมื่อหลายวันก่อนออกมา พอทุกคนได้เห็นตาโตด้วยความตะลึง
“ท่านอ๋อง ดอกเบญจมาศสีเหลืองทองเหล่านี้เป็ของที่ฮ่องเต้องค์ก่อนพระราชทานให้ ปกติท่านทำใจเด็ดมันไม่ลง เหตุใดครานี้ถึงทำใจเด็ดมันมาทำเป็ชาได้หรือขอรับ”
ท่านอ๋องมองดอกเบญจมาศสีเหลืองทองในมืออย่างชอบใจ ยิ้มแล้วกล่าวกับทุกคน “ดอกเบญจมาศสีเหลืองทองนี้มีสรรพคุณในการขับพิษและแก้ร้อนใน ปล่อยให้มันออกดอกอยู่กับต้นก็ได้แต่มองมันเหี่ยวเฉาไป ไม่สู้นำมาทำเป็ชาเพิ่มคุณค่าให้มันไม่ดีกว่าหรือ”
ทุกคนได้ฟังพากันปรบมือยกย่องชมเชยท่านอ๋อง เมื่อของหวานจานสุดท้ายถูกยกเข้ามา ทุกคนตาโตมองของหวานที่อยู่บนโต๊ะตรงหน้า ส่งเสียงเซ็งแซ่
แม้แต่หลี่อี้ชิวที่มีนิสัยหยิ่งผยองและชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ เมื่อได้ทานอาหารฝีมือหนิงมู่ฉือเข้าไป อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเลื่อมใส
ทุกคนต่างกล่าวชื่นชมไม่ขาดปาก พร้อมกับเอ่ยถามอย่างสงสัยออกมา “ท่านอ๋อง ได้ยินมาว่าในตำหนักของท่านมีแม่ครัวที่ฝ่าาทรงพระราชทานฉายาให้ว่าเทพแม่ครัว ทั้งยังเป็แม่ครัวที่ชนะการแข่งขันกับพ่อครัวจากต่างแคว้น เหตุใดท่านจึงไม่นำนางออกมาให้พวกเรายลโฉมในงานเลี้ยงครานี้ด้วยขอรับ”
ใบหน้าท่านอ๋องประดับไปด้วยรอยยิ้ม ขณะที่สายตาหันไปเห็นว่าใบหน้าของจ้าวซีเหอในตอนนี้ล้ำลึกยากจะคาดเดา
เฉินซูเจินได้ยินทุกคนเอ่ยไปในทิศทางเดียวกัน ยิ้มหวานพลางเอ่ยอย่างเห็นด้วย “ซื่อจื่อ ท่านได้ทานอาหารฝีมือแม่ครัวผู้นี้ทุกวัน นับว่าโชคดีเหลือเกิน ข้าเองก็อยากจะเห็นหน้าตาผู้เยี่ยมยอดคนนี้เช่นกันเ้าค่ะ”
จ้าวซีเหอส่งยิ้มตอบกลับไป “ผู้เยี่ยมยอดอันใดกัน นางก็แค่แม่ครัวธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น”
เจิ้งฉีเหมยได้ฟังก็เริ่มรู้สึกไม่พอใจ “นางต้องไม่ใช่แม่ครัวธรรมดาแน่ คนข้างนอกล้วนลือกันว่า ท่านโปรดปรานแม่ครัวผู้นี้มาก นำตัวนางออกมาให้ข้ายลโฉมหน่อยไม่ได้หรือเ้าคะ”
จ้าวซีเหอมีสีหน้ากระอักกระอ่วน หลี่อี้ชิวไม่เข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในประโยค กล่าวตามอย่างเห็นด้วย “ใช่ นำนางออกมาให้พวกเราดูหน้าตาหน่อยเถิดเ้าค่ะ”
จ้าวซีเหอโบกมือปฏิเสธ ก่อนจะลุกหนีไปด้วยสีหน้าไม่ชอบใจ
ครั้นงานเลี้ยงจบลง บรรดาสตรีทั้งหลายมารวมตัวกันยังสถานที่ร่มรื่นและเงียบสงบแห่งหนึ่งภายในตำหนักอ๋อง ในเมื่อจ้าวซีเหอจะเลือกชายาเอก ทุกคนจึงต้องแข่งกันสักหน่อย
หญิงสาวเหล่านี้ต่างเตรียมตัวมาด้วยกันทั้งนั้น ทว่าเมื่อมาถึงที่แห่งนี้ กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของจ้าวซีเหอ ฝ่ายท่านอ๋องเองก็อดไม่ได้ที่จะร้อนใจขึ้นมา
หนิงมู่ฉือเห็นจ้าวซีเหอยืนอยู่ในศาลาเป่าขลุ่ยด้วยสีหน้าเปลี่ยวเหงาตามลำพัง ก็ถอนหายใจออกมา
เ้าซีเหอรับคำอืมในลำคอ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป หนิงมู่ฉือเห็นดังนั้นในใจยิ่งเ็ปทรมานจนแทบจะรับไม่ไหว
ใกล้ถึงฤดูใบไม้ร่วงเข้าไปทุกขณะ ครั้นทุกคนได้ยินว่าตำหนักอ๋องจะจัดงานเลี้ยงสังสรรค์เพื่อชื่นชมดอกเบญจมาศที่กำลังเบ่งบาน คนไม่น้อยรู้สึกดีใจเป็อย่างมาก ในใจทุกคนต่างรอคอยที่จะได้ชิมอาหารฝีมือหนิงมู่ฉือ
งานเลี้ยงใกล้เข้ามา คนในตำหนักอ๋องต่างมีงานต้องทำจนมือยุ่งเป็ระวิง ทั้งไปกว่านซื้อดอกเบญจมาศมาจากทุกที่เพื่อเตรียมพร้อมเอาไว้ ในบรรดาดอกเบญจมาศเหล่านี้ ที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็ดอกเบญจมาศสีเหลืองทองดอกใหญ่ที่กำลังเบ่งบาน
ดอกเบจมาศสีเหลืองทองหมายถึงฐานะสูงส่ง ดอกเบญจมาศสีเหลืองทองหลายต้นเหล่านี้เป็ฮ่องเต้องค์ก่อนที่พระราชทานมาให้ ด้วยเหตุนี้ท่านอ๋องจึงรักต้นดอกเบญจมาศสีเหลืองทองเหล่านี้มาก
ทั้งยังมีคนกล่าวอีกว่า ดอกเบญจมาศสีเหลืองทองมีสรรพคุณช่วยขับพิษและขับร้อนในร่างกาย สามารถนำมาทำเป็ชาดื่มได้ ท่านอ๋องต้องทำใจอยู่นานกว่าจะทำใจสั่งให้หนิงมู่ฉือตัดดอกเบญจมาศสีเหลืองทองที่กำลังเบ่งบานได้ที่เหล่านี้นำไปตากแห้งเพื่อนำมาทำเป็ชา
ท่านอ๋อง้าใช้งานเลี้ยงชมดอกเบญจมาศในครั้งนี้หาชายาเอกให้แก่เ้าซีเหอ จึงส่งเทียบเชิญสตรีจากหลายสกุลให้มาร่วมงาน ทว่าแท้ที่จริงแล้ว ท่านอ๋องคิดจะใช้งานเลี้ยงในครั้งนี้เป็ตัวกระตุ้นหนิงมู่ฉือต่างหาก ในเมื่อเ้าซีเหอมีความรู้สึกพิเศษต่อหนิงมู่ฉือ เมื่อทั้งสองผิดใจกันมากขึ้น ก็จะทำให้รู้ใจตัวเองมากขึ้นด้วยเช่นกัน
หนิงมู่ฉือได้ยินทุกคนกล่าวกันว่า งานเลี้ยงที่จะจัดขึ้นในครานี้จัดเพื่อหาชายาเอกให้แก่เ้าซีเหอ ในใจรู้สึกหนักอึ้งเหมือนมีอะไรมาถ่วงอยู่ข้างใน ่นี้นางและเขาต่างทำตัวเหมือนมีกำแพงกั้นใส่กัน
ในที่สุดนางก็ยอมรับใจตัวเองได้ ความรู้สึกที่นางมีต่อเ้าซีเหอไม่ใช่แค่ซาบซึ้งที่เขาช่วยชีวิตนางเอาไว้ หัวใจของนางไปอยู่ที่เขานานแล้ว เพียงแต่ด้วยฐานะของนางในตอนนี้ นางจึงไม่กล้าจะยอมรับมัน
เพื่อไม่ทำให้ตำหนักอ๋องต้องเดือดร้อนไปด้วย นางพยายามรักษาระยะห่างกับเ้าซีเหอ คิดว่าถ้าครบหนึ่งปีเมื่อไหร่ นางก็จะจากไปทันที ซึ่งตอนนี้ก็ดูท่าว่าจะอีกไม่นานแล้ว
ดอกเบญจมาศเบ่งบานแข่งกันอวดโฉมอยู่ในสวน ในเมื่อเป็งานเลี้ยงชมดอกเบญจมาศ หนิงมู่ฉือจึงคิดจะทำอาหารที่ทำมาจากดอกเบญจมาศ
ตำหนักอ๋องตกแต่งประดับประดาด้วยผ้าไหมสีแดง ทำให้บรรยากาศดูชื่นมื่นรื่นเริง ครั้นหลายสกุลรู้ว่าท่านอ๋องกำลังจะเลือกชายาเอกให้บุตรชายจึงต่างพากันส่งบุตรสาวมาร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ มีทั้งคุณหนูรองแห่งจวนมหาเสนาบดี เฉินซูเจิน บุตรสาวซึ่งเกิดจากฮูหยินเอกแห่งจวนแม่ทัพ หลี่อี้ชิว และบุตรสาวซึ่งเกิดจากฮูหยินเอกแห่งจวนแม่ทัพประจำภาค เจิ่งฉีเหมย
สตรีทั้งสามนางนี้แอบชื่นชอบเ้าซีเหอมานานมากแล้ว เมื่อได้ยินว่าเ้าซีเหอกำลังจะเลือกชายาเอก ห้ามใจตัวเองไว้ไม่อยู่ รบเร้าบิดามารดาให้พามางานเลี้ยงในครั้งนี้ด้วย
หลี่อี้ชิวมีอายุน้อยที่สุดในบรรดาทั้งสามนาง อายุแค่สิบสี่สิบห้าเท่านั้น ทว่ากลับมีรูปร่างไม่ด้อยไปกว่าเฉินซูเจินและเจิ้งฉีเหมยเลย เพียงแต่มีนิสัยใจร้อนหุนหันพลันแล่น แม้แต่เ้าซีเหอยังต้องพยายามหลบให้ไกล
บรรดาหญิงสาวทั้งหลายที่นั่งอยู่ในงานเลี้ยงจัดเสื้อผ้าหน้าผมให้ดูสวยงามโดดเด่นที่สุด เมื่อเห็นเ้าซีเหอเดินเข้ามา ทั้งสามนางรีบลุกขึ้นยืนพร้อมกันในทันใด
เ้าซีเหอมองสตรีทั้งสามนางผู้ซึ่งใครก็ไม่อาจต่อกรด้วยได้พลางขมวดคิ้ว สะกดความไม่พอใจที่อยู่ในใจลงไป แย้มยิ้มและทักทายอย่างชายเ้าเสน่ห์ “สาวงามทั้งสามก็มากับเขาด้วยหรือ”
หลี่อี้ชิวได้ฟังใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างดีใจ “ข้าขอถามท่าน ในบรรดาพวกเราทั้งสามคน ใครคือผู้ที่งามที่สุดเ้าคะ”
สีหน้าเ้าซีเหอเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มกล่าวตอบ “ก็ต้องเป็เ้าสิ คุณหนูใหญ่”
เฉินซูเจินและเจิ้งฉีเหมยซึ่งยืนอยู่ด้านข้างสีหน้าเปลี่ยนไปทันที หันไปจ้องหลี่อี้ชิวเขม็ง
เมื่องานเลี้ยงเริ่ม เด็กรับใช้ของตำหนักอ๋องยกอาหารนำออกมาให้แขก อาหารเหล่านี้เป็อาหารที่หนิงมู่ฉือตั้งใจทำออกมาสุดฝีมือ ชื่อเสียงของหนิงมู่ฉือ บรรดาสตรีเหล่านี้ก็เคยได้ยินมาบ้าง ทั้งยังได้ยินอีกว่า เ้าซีเหอให้ความสำคัญกับแม่ครัวผู้นี้เป็อย่างมาก
หญิงสาวทั้งหลายจึงอยากมาเห็นหน้าตาของแม่ครัวที่ทุกคนกล่าวขานถึงว่ามีหน้าตาอย่างไร
อาหารที่หนิงมู่ฉือทำส่งกลิ่นหอมไปไกลสิบลี้ ทำเอากระเพาะของทุกคนในงานส่งเสียงร้องโครกคราก ทุกคนไม่สนใจที่จะชื่นชมดอกไม้อีกต่อไป ใช้ตะเกียบคีบอาหารเข้าปากคำใหญ่
ท่านอ๋องเห็นท่าทางของทุกคนให้รู้สึกปลื้มปิติยิ่ง ผงกหัวให้เด็กรับใช้ไปนำดอกเก๊กฮวยสีเหลืองทองที่หนิงมู่ฉือตากแห้งเอาไว้เมื่อหลายวันก่อนออกมา พอทุกคนได้เห็นตาโตด้วยความตะลึง
“ท่านอ๋อง ดอกเบญจมาศสีเหลืองทองเหล่านี้เป็ของที่ฮ่องเต้องค์ก่อนพระราชทานให้ ปกติท่านทำใจเด็ดมันไม่ลง เหตุใดครานี้ถึงทำใจเด็ดมันมาทำเป็ชาได้ล่ะขอรับ”
ท่านอ๋องมองดอกเบญจมาศสีเหลืองทองในมืออย่างชอบใจ ยิ้มแล้วกล่าวกับทุกคน “ดอกเบญจมาศสีเหลืองทองนี้มีสรรพคุณในการถอนพิษและขับร้อน ปล่อยให้มันออกดอกอยู่กับต้นก็ได้แต่มองมันเหี่ยวเฉาไป ไม่สู้นำมาทำเป็ชาเพิ่มคุณค่าให้มันไม่ดีกว่าหรือ”
ทุกคนได้ฟังพากันปรบมือยกย่องชมเชยท่านอ๋อง เมื่อของหวานจานสุดท้ายถูกยกเข้ามา ทุกคนตาโตมองของหวานที่อยู่บนโต๊ะตรงหน้า ส่งเสียงฮือฮาเซ่งแซ่
แม้แต่หลี่อี้ชิวที่มีนิสัยหยิ่งผยองและชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ เมื่อได้ทานอาหารฝีมือหนิงมู่ฉือเข้าไป อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเลื่อมใส
ทุกคนต่างกล่าวชื่นชมไม่ขาดปาก พร้อมกับเอ่ยถามอย่างสงสัยออกมา “ท่านอ๋อง ได้ยินมาว่าในตำหนักของท่านมีแม่ครัวที่ฝ่าาทรงพระราชทานฉายาให้ว่าเทพแม่ครัว ทั้งยังเป็แม่ครัวที่แข่งชนะพ่อครัวจากต่างแคว้น เหตุใดท่านจึงไม่นำนางออกมาให้พวกเรายลโฉมในงานเลี้ยงครานี้ด้วยล่ะขอรับ”
ใบหน้าท่านอ๋องประดับไปด้วยรอยยิ้ม ขณะที่สายตาหันไปเห็นว่าใบหน้าของเ้าซีเหอในตอนนี้ล้ำลึกยากจะคาดเดา
เฉินซูเจินได้ยินทุกคนเอ่ยไปในทิศทางเดียวกัน ยิ้มหวานพลางเอ่ยอย่างเห็นด้วย “ซื่อจื่อ ท่านได้ทานอาหารฝีมือแม่ครัวผู้นี้ทุกวัน นับว่าโชคดีเหลือเกิน ข้าเองก็อยากจะเห็นหน้าตาผู้เยี่ยมยอดคนนี้เช่นกันเ้าค่ะ”
เ้าซีเหอส่งยิ้มตอบกลับไป “ผู้เยี่ยมยอดอันใดกัน นางก็แค่แม่ครัวธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น”
เจิ้งฉีเหมยได้ฟัง เริ่มรู้สึกไม่พอใจ “นางต้องไม่ใช่แม่ครัวธรรมดาแน่ คนข้างนอกล้วนลือกันว่า ท่านโปรดปรานแม่ครัวผู้นี้มาก นำตัวนางออกมาให้ข้ายลโฉมหน่อยไม่ได้หรือเ้าคะ”
เ้าซีเหอมีสีหน้ากระอักกระอ่วน หลีอี้ชิวไม่เข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในประโยค กล่าวตามอย่างเห็นด้วย “ใช่ นำนางออกมาให้พวกเราดูหน้าตาหน่อยเถิดเ้าค่ะ”
เ้าซีเหอโบกมือปฏิเสธ ก่อนจะลุกหนีไปด้วยสีหน้าไม่ชอบใจ
ครั้นงานเลี้ยงจบลง บรรดาสตรีทั้งหลายมารวมตัวกันยังสถานที่ร่มรื่นและเงียบสงบแห่งหนึ่งภายในตำหนักอ๋อง ในเมื่อเ้าซีเหอจะเลือกชายาเอก ทุกคนจึงต้องแข่งกันสักหน่อย
หญิงสาวเหล่านี้ต่างเตรียมตัวมาด้วยกันทั้งนั้น ทว่าเมื่อมาถึงที่แห่งนี้ กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของเ้าซีเหอ ฝ่ายท่านอ๋องเองอดไม่ได้ที่จะร้อนใจขึ้นมา
หนิงมู่ฉือเห็นเ้าซีเหอยืนอยู่ในศาลาคนเดียว เป่าขลุ่ยด้วยสีหน้าเปลี่ยวเหงา ก็ถอนหายใจออกมา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้