อาจิ่วที่เห็นท่านปู่ของตนถูกทำให้โกรธจนอยู่ในสภาพเช่นนั้นถึงอย่างไรเสียก็รู้สึกผิดอยู่บ้างจึงผละออกจากอ้อมกอดของอวี๋เคอไปอย่างอาลัยอาวรณ์แล้วกระพือปีกบินกลับไปที่ข้างกายของหลิงกวงทว่าก็ยังไม่วายอ้าปากบ่นพึมพำเสียงเบาอยู่ดี “หากไม่ใช่เพราะท่านปู่สร้างม่านพลังที่แตกร้าวนี้ขึ้นมาเพื่อสร้างความลำบากให้นายท่านของข้าเขาก็จะไม่ทำให้ท่านเป็เช่นนี้หรอกขอรับ” อาจิ่วหันหน้าไปมองอวี๋เคออย่างศรัทธาก่อนจะพูดเสริมว่า “อีกอย่างแต่ไรมานายท่านของข้าก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล ความจริงแล้วท่านเองนั่นแหละที่เป็คนผิดก่อน...”
หลิงกวงมองอาจิ่วน้อยที่พูดเจื้อยแจ้วอยู่ตรงหน้าคำพูดเ่าั้ทำให้ใจของเขาสลายจนไม่มีชิ้นดี มันปวดใจเสียจนรู้สึกจุกในอกจึงชี้นิ้วด่าอาจิ่วไปว่า “เ้าเด็กเหลือขอ เหตุใดถึงได้เห็นคนอื่นดีกว่าคนในสายเื? เสียแรงที่หลายร้อยปีมานี้ข้าทั้งรักและเอ็นดูเ้า! ”
อาจิ่วเบ้ปากนก แล้วะโว่า “ในเมื่อรักข้าท่านก็ไม่ควรใช้ม่านพลังขังข้าเอาไว้ตั้งหนึ่งปีเต็มๆ นี่!หากไม่ใช่เพราะวันนี้ท่านหนีออกมาสู้กับนายท่านของข้า แล้วค่ายกลม่านพลังอ่อนแอข้าก็ไม่แน่ใจว่าจะได้เจอนายท่านของข้าอีกหรือไม่! ”
อวี๋เคอที่กำลังฟังสองคนนี้ต่อปากต่อคำกันอย่างออกรสออกชาติอยู่ด้านข้างก็อดทอดถอนใจให้กับเ้าตัวเล็กที่น่ารักอย่างอาจิ่วไม่ได้กลับกันกับหลิงกวงที่อายุก็มากขนาดนี้แล้วแต่กลับมาทะเลาะกับอาจิ่วเสียอย่างนั้นช่างต่างจาก “าาเทพหลิงกวง” ผู้ที่มีกิริยาสุขุมและฝีมือโเี้เมื่อครู่อย่างสิ้นเชิงเขาถึงขั้นกลายมาเป็ “คนแก่” เอาแต่ใจ
อวี๋เคอรอทั้งสองคนทะเลาะกันอยู่นานพอสมควรในที่สุดก็ถึงตาตัวเองพูดบ้าง จึงกระแอมไอเบาๆ สองครั้ง และะโว่า “าาเทพหลิงกวง”
เมื่อหลิงกวงได้ยินชื่อนี้ก็อึ้งไปแล้วมองไปที่อวี๋เคอด้วยความสงสัย เพราะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรว่าทำไมคนที่ต่อสู้ห้ำหั่นกับเขาเมื่อครู่ตอนนี้ถึงได้เรียกตนด้วยชื่อที่ยกย่องสรรเสริญเช่นนี้ จากนั้นจึงแสยะยิ้มพร้อมกับถามกลับว่า “เมื่อครู่ผู้เยาว์เช่นเ้าด่าข้าว่าอะไรจำไม่ได้หรือ แล้วทำไมตอนนี้ถึงได้เปลี่ยนมาดูสุภาพเช่นนี้? ”
“ท่านปู่! ”
“เ้าอย่าพูดแทรกให้ข้าดูหน่อยว่าคนที่ถูกเ้าเรียกว่า “นายท่าน” ที่แสนดีเลิศเลอจะแสดงเล่ห์เหลี่ยมอะไรต่อหน้าข้าได้อีก! ” หลิงกวงตัดบทอาจิ่วที่เง้างอนใส่ด้วยสีหน้าเ็า และหรี่ตารอดูว่าอวี๋เคอจะพูดว่าอย่างไรต่อ
ในเนื้อเื่เดิมอวี๋เคอมักจะเป็คนที่แข็งกระด้างไปหมดทุกเื่แต่เมื่อตนเองข้ามมิติมาแล้วกลับไม่อยากเป็คนแข็งกระด้างเหมือนคนผู้นั้นเลย ยามพูดจาก็ควรต้องพูดแต่สิ่งดีไม่ใช่หรือ? ถอยไปหนึ่งก้าวสู่ความเป็อิสระที่ไร้ขอบเขตหากไม่ลองเปลี่ยนมุมมอง ไม่ว่าจะมีความสามารถที่แข็งแกร่งเพียงใดสุดท้ายก็อาจจะต้องจบเห่ได้ เขาดูออกว่าหลิงกวงผู้นี้รักอาจิ่วจริงๆต่อให้พ่ายแพ้ก็คาดว่าคงไม่ยอมเสียหน้าโดยการปล่อยคนของเขาไปเป็แน่อีกอย่างเมื่อครู่ตนเองยังไร้มารยาทไม่ยอมอ่อนข้อให้เขาั้แ่ทีแรก ถึงได้เป็เหตุให้เกิดสถานการณ์ที่ชะงักไปอย่างเช่นที่เป็อยู่ตอนนี้
ยามนี้สิ่งที่เขาต้องทำก็คือ “โอนอ่อน”
หลังจากที่ตั้งสติได้อวี๋เคอจึงก้าวไปด้านหน้าแล้วประสานมือคารวะ พร้อมกับกล่าวอย่างสุภาพว่า “ท่านเทพพูดถึงเื่อะไรหรือขอรับ? เมื่อครู่วาจาของผู้น้อยนั้นหยิ่งยโสมากเกินไป หากทำสิ่งใดให้ขุ่นเคือง ท่านเทพโปรดจงเมตตาให้อภัยผู้น้อยเถิดขอรับ”
เมื่อหลิงกวงได้ยินคำพูดเหล่านี้ถึงแม้จะรู้ว่าอวี๋เคอคงจะเสแสร้งอย่างแน่นอน แต่ในใจกลับรู้สึกสบายใจขึ้นมากจึงพยักหน้า และกล่าวว่า “ในเมื่อเ้าพูดเช่นนี้แล้ว ข้าในฐานะผู้าุโหากจะเอาความอีกก็คงจะไม่งามคิดเสียว่าเมื่อครู่เป็การประลองฝีมือระหว่างเ้ากับข้าก็แล้วกัน” เมื่อพูดจบก็โบกมือไปมาไม่สนใจการดิ้นรนของอาจิ่วที่ถูกกักเอาไว้ในอ้อมกอด แล้วหมุนตัวเตรียมจะจากไป “คิดเสียว่าเื่นี้ของเ้ากับข้าไม่เคยเกิดขึ้นเ้าก็กลับวังปีศาจของเ้า ส่วนอาจิ่วก็ตามข้ากลับเข้าไปในเผ่าและนับแต่นี้ไปเ้าก็ไม่ต้องกลับมาอีก”
อวี๋เคอคิดไม่ถึงว่าหลิงกวงจะแสดงออกเช่นนี้ จึงรู้สึกสับสนเล็กน้อยไปชั่วขณะก่อนจะกัดฟันทำความเคารพอีกครั้ง และกล่าวด้วยท่าทางที่จริงใจว่า “ท่านเทพโปรดช้าก่อนขอรับ!ผู้น้อย้าอาจิ่วมากจริงๆ! หวังว่าท่านเทพจะให้อาจิ่วกลับไปกับข้า ข้าสัญญาว่าจะดูแลเขาเป็อย่างดีแน่นอนขอรับ!” เมื่อพูดจบก็เงยหน้าจ้องหลิงกวงด้วยสายตาที่มุ่งมั่นก่อนจะพูดเน้นย้ำว่า “อีกอย่าง “การประลอง” เมื่อครู่นั้นผู้น้อยก็ชนะด้วยนะขอรับ”
จากนั้นคิ้วของหลิงกวงก็ขมวดเข้าหากันแน่นยิ่งขึ้นเขายอมรับว่าตนเองคิดจะเล่นตุกติก แต่การกระทำเช่นนี้ก็ดูไร้ยางอายไม่น้อยเลยจริงๆเขาคิดในใจว่าอวี๋เคอน่าจะยอมเลิกราไปแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าคนผู้นี้จะดื้อรั้นเช่นนี้ทั้งยังพูดเองกับปากเสียด้วยว่าจะไม่ไป อาจิ่วที่อยู่ในอ้อมกอดซึ่งกำลังถูกตนเองควบคุมเอาไว้ด้วยพลังมืดแต่ก็ยังคงกระพือปีกไม่หยุด ดูท่าคงจะโปรดปรานอวี๋เคอมากจริงๆ
เมื่อคิดไปคิดมา ใจของเขาก็เริ่มลังเลขึ้นมาแล้ว ตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะปล่อยอาจิ่วไปหรือไม่
อวี๋เคอเห็นเขาลังเลก็รู้สึกดีใจจึงอาศัยจังหวะนี้เติมเชื้อไฟเข้าไปอีก “หากท่านเทพสัญญาว่าจะปล่อยอาจิ่วให้ตามข้ากลับไปอย่าว่าแต่เงื่อนไขข้อเดียวเลยขอรับ ต่อให้เป็สิบเงื่อนไข ตราบใดที่ข้าสามารถทำได้ข้าจะทำสุดกำลังอย่างแน่นอนขอรับ”
หวังตัวจวี๋ยืนมองอยู่ข้างๆจนเหงื่อเย็นซึมขึ้นมาเต็มไปหมด เขาไม่เคยเห็นท่าทีขอร้องใครของอวี๋เคอแบบนี้มาก่อนเลยวันนี้จึงนับว่าได้เปิดตาแล้ว!
หลิงกวงมองไปที่อวี๋เคออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเหลือบมองมาที่อาจิ่วซึ่งกำลังถลึงตาจ้องตนอย่างโกรธเคือง จากนั้นจึงยกมือขึ้นลูบหน้าผากที่เกิดอาการปวดไปมาแล้วพูดอย่างจนใจว่า “สุดท้ายข้าก็ต้องยอมพวกเ้าอยู่ดี! อวี๋เคอ ก่อนที่ข้าจะสู้กับเ้าข้าบอกแล้วว่าหากเ้าแพ้ จะต้องยอมรับเงื่อนไขของข้าอย่างหนึ่งเงื่อนไขนั้นไม่ใช่อื่นใด แต่คือเื่ที่เกี่ยวกับการแปลงกายของอาจิ่วนั่นแหละ”
อวี๋เคอเงยหน้าขึ้นในทันที สีหน้าของเขาที่แสดงออกมานั้นเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อเพราะเขาคิดไม่ถึงเลยว่าอาจิ่วในชาตินี้จะสามารถแปลงกายได้!ในหนังสือของเขาไม่เคยพูดถึงเนื้อหาใดๆ ที่เกี่ยวกับการแปลงกายของอาจิ่วเลยแล้วตอนนี้มันเื่อะไรกัน?
“หากเ้ารับปากว่าจะช่วยให้อาจิ่วแปลงกายได้ข้าก็จะยอมปล่อยให้เขากลับไปกับเ้า”
อวี๋เคอระงับความสงสัยในใจที่กำลังจะเอ่อล้นออกมาลงไปก่อนจะถามว่า “ข้าไม่เข้าใจความหมายของท่านเทพนัก เท่าที่ข้ารู้มา การแปลงกายของสัตว์เทพต้องฝึกฝนอย่างน้อยพันปีขึ้นไปหรือบรรลุถึงขั้นมหายานแล้วอาจิ่วที่เพิ่งจะอายุสามร้อยปีเต็มจะแปลงกายได้อย่างไร? ดังนั้นท่านเทพโปรดอธิบายให้ข้าเข้าใจด้วยขอรับ ว่าข้าจะช่วยให้อาจิ่วแปลงกายได้อย่างไร? ”
“เ้ารู้จักหญ้าแปลงกายหรือไม่? ”
“...” ให้ตายเถอะการตั้งชื่อนี้บอกจุดประสงค์ได้ชัดเจนมาก! เพราะมีสรรพคุณช่วยให้แปลงกายได้ก็เลยเรียกว่าหญ้าแปลงกาย!จากรูปแบบในการตั้งชื่อก็สามารถเดาได้เลยว่านี่คือสิ่งที่ตนเองเขียนขึ้นมาอย่างแน่นอน!หลังจากที่นึกขึ้นมาได้แบบนี้ ทำให้ตระหนักได้ว่าความทรงจำของเขายังคงเลือนรางอยู่บ้างจริงๆหญ้าแปลงกายนั่นเป็ของต้องห้ามบน์ แล้วที่มีอยู่ก็เหลือน้อยเต็มทนแต่เหมือนจะเคยกล่าวถึงต้นหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในห้องลับภายในพื้นที่โล่งที่ใช้ในการประลองรวมของโลกผู้ฝึกตนยุคปลาย
หลิงกวงมองอวี๋เคอที่กำลังจมอยู่ในความคิดและพูดต่อว่า “แต่ก่อนข้าก็เคยคิดว่าหญ้าแปลงกายได้สาบสูญไปแล้วแต่่ก่อนหน้านี้ข้ากลับััได้ว่ามีภูตอสูรกำลังข้ามผ่านทัณฑ์สายฟ้า์ในการแปลงกายและด้วยพลังการบำเพ็ญเพียรของภูตอสูรตนนั้นมันเป็ไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิงที่จะแปลงกายได้ด้วยตัวเองข้าจึงไปตรวจสอบด้วยตัวเองอยู่ครั้งหนึ่ง ทว่าระยะทางนั้นไกลมากและเมื่อไปถึงจริงๆ ภูตอสูรตนนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเหลือเพียงรากของหญ้าแปลงกายที่ถูกเด็ดไปเท่านั้น
และสถานที่ที่หญ้าแปลงกายเติบโตนั่นก็อยู่บริเวณใกล้เคียงกับวังปีศาจของเ้าพอดีดังนั้นข้าหวังว่าเ้าจะสามารถสืบเื่นี้ได้หากสืบเจอว่าคนที่เด็ดหญ้าแปลงกายไปเป็ใครคาดว่าน่าจะสามารถขอมาสักต้นหนึ่งเพื่อเอามาให้อาจิ่วใช้ได้”
เมื่ออวี๋เคอได้ยินคำพูดนี้ก็ยิ่งสับสนหญ้าแปลงกายเป็ของต้องห้ามแห่ง์ แล้วจะไม่มีิญญาอสูรบน์คอยคุ้มกันเอาไว้เลยหรือ? อีกอย่างในเมื่อหญ้าก็ได้หายไปจนเหลือแต่รากแล้วเช่นนั้นจะไปตามขอจากใครได้อีก?
หลิงกวงมองสีหน้าของอวี๋เคอก็รับรู้ได้ว่าเขากำลังสงสัยอะไรอยู่ก่อนจะปล่อยอาจิ่วออกมาจากอ้อมกอด แล้วปล่อยให้เขาบินไปขดตัวบนไหล่ของอวี๋เคออย่างน้อยเนื้อต่ำใจจากนั้นจึงกล่าวต่อว่า “เดิมทีแล้วหญ้าแปลงกายนั้นไม่ได้ดูสะดุดตาเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งไม่มีปราณิญญาแผ่ซ่านออกมาเลยเพราะมีไว้เพื่อให้คนที่มีวาสนาเท่านั้น และเหตุผลที่บอกว่าสามารถขอมาได้ ก็เพราะหญ้าแปลงกายนั้นมีสองต้นหากกินเข้าไปทั้งสองต้นร่างกายก็จะรับไม่ไหวแล้วสิ้นใจไปในทันทีซึ่งตอนที่ข้าไปถึงที่นั่นไม่เห็นศพอยู่แถวนั้นเลยแสดงว่าภูตอสูรตนนั้นยังมีชีวิตอยู่ และยิ่งไปกว่านั้นเขายังนำหญ้าแปลงกายที่เหลือไปได้อย่างง่ายดายอีกด้วย”
หลิงกวงถอนหายใจ และมองไปที่อวี๋เคออย่างจริงจัง “แม้ว่าโอกาสที่จะตามหาภูตอสูรตนนั้นพบจะน้อยนิดมากแต่ข้าหวังว่าอาจิ่วจะสามารถได้รับโอกาสอันดีนี้มาแปลงกายให้เร็วที่สุดได้เพราะหลังจากแปลงกายแล้วมันจะเป็ประโยชน์ให้กับการเพิ่มพลังบำเพ็ญเพียรของเขาอย่างที่สุดและยังสามารถตบหน้าพวกตาแก่เ่าั้ในการชุมนุมในอีกห้าปีข้างหน้าได้สำเร็จอีกด้วย!”
อวี๋เคอรู้สึกละอายใจพูดราวกับว่าตัวเ้าเองไม่แก่อย่างนั้นแหละ แม้จะคิดเช่นนี้ แต่เขาก็ยังทำความเคารพด้วยความสุภาพอย่างที่สุดแล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “ท่านเทพได้โปรดวางใจเถิดขอรับ ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยให้อาจิ่วแปลงกายได้อย่างแน่นอน!”
หลิงกวงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ และอยากจะพูดต่ออีกสักสองสามประโยคแต่ไม่คาดคิดว่าจู่ๆ จะมีเสียงะโดังกึกก้องมาจากบริเวณที่ห่างไกล ทำให้เขาหน้าเปลี่ยนสีไปในพริบตา “หลิงกวง!เ้าจะไปตายที่ไหนอีกก็ไป!!! ”
“เช่นนั้นข้าจะมอบอาจิ่วให้เ้าเ้าก็ดูแลเขาให้ดีแล้วกัน ข้ายังมีเื่ที่ต้องทำ ขอตัวก่อน”
หลิงกวงยังพูดไม่ทันจบ แต่ตอนนี้ตัวของเขาก็อยู่ห่างออกไปพันเมตรแล้วอวี๋เคอที่มองอยู่ก็รู้สึกแปลกใจ จึงอดถามอาจิ่วที่อยู่ข้างๆ ไม่ได้ว่า “อาจิ่วเ้ารู้หรือไม่ว่าใครกันที่ทำให้ท่านปู่ที่หยิ่งยโสผู้นี้ของเ้าใกลัวเช่นนี้? ”
เ้าตัวเล็กเห็นหลิงกวงเดินจากไปไกลแล้วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วตอบกลับไปว่า “คนที่สามารถทำให้เขาเป็แบบนี้ได้ย่อมเป็ท่านย่าของข้าอย่างแน่นอน! ”
“ท่านย่าของเ้า? ”
อวี๋เคอทำหน้างุนงง และอดที่จะตัวหนาวสั่นไม่ได้หากหูของเขาไม่ได้หนวก เสียงที่ได้ยินเมื่อครู่น่าจะเป็เสียงของผู้ชายใช่ไหม...