ในอดีต เมื่อตอนที่ฉินอวี่โดนพิษยมโลกคืนชีพ เขาเคยนึกคำถามได้คำถามหนึ่ง ว่าคนแบบไหนกันที่น่ากลัวที่สุด
ในฐานะของผู้ดูแลหอตำราสำนักเทียนฉี ฉินอวี่จึงได้ติดต่อกับศิษย์ในสำนักเทียนฉีมาแล้วเกือบทั้งสิ้น ทั้งยังได้พบปะกับผู้คนมามากมายหลายประเภท พร์หลากหลายรูปแบบ รวมไปถึงคนธรรมดาในแต่ละประเภท
แล้วคนแบบไหนกันที่น่ากลัวที่สุด?
สิ่งนี้ไม่ได้ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจนนัก ไม่อาจพูดได้ว่าผู้มีพร์น่ากลัว หรือคนธรรมดาสามัญคือผู้น่ากลัว
แต่คนที่น่ากลัวจะมีลักษณะอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน ในสายตาของพวกเขาไม่มีครอบครัว ไม่มีความรัก ไม่มีพี่น้อง มีเพียงผลประโยชน์เท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรก็สามารถสงบสติไว้ได้ตลอดเวลา ความสงบที่กล่าวถึงไม่ได้เป็เพียงสิ่งที่แสดงออกภายนอกเท่านั้น แต่ยังเยือกเย็นถึงในจิตใจ
คนประเภทนี้มักมีความเฉลียวฉลาดเป็พิเศษ มีความละเอียดลึกซึ้ง สามารถระงับอารมณ์ของตนเองไว้ได้อย่างดี เช่นเดียวกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา แต่หัวใจมิอาจเคลื่อนไหวดุจดั่งภูผา จอมอสูรหลินอวี่ก็เป็คนเช่นนี้ ถงอวิ๋นเฟยก็เป็คนเช่นนี้ แต่เขายังไม่ถึงระดับของจอมอสูรหลินอวี่
หากมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับคนประเภทนี้ จะต้องใช้วิธีอย่างหนึ่งเพื่อทำลายเหตุผลและความสงบของเขา สิ่งนั้นคือความโกรธ ความโกรธเป็หนทางที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้มนุษย์ไร้เหตุผลและหยาบคาย
ก่อนหน้านี้จื่อซวินเอ๋อได้บอกให้ตนเองระวังอี้จ้านเทียนเอาไว้ แต่อันที่จริงฉินอวี่อยากจะบอกนางว่า นางยิ่งต้องระวังถงอวิ๋นเฟย
นับั้แ่เริ่มต้น ฉินอวี่คิดว่าถงอวิ๋นเฟยนั้นมีอคติตั้งตัวเป็ศัตรูกับตนเอง เพราะสาเหตุเื่จื่อซวินเอ๋อ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ ทำให้ฉินอวี่สรุปได้ว่า สิ่งต่างๆ ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เขาคิด
เมื่อมองจากความหวาดกลัวที่ถงอวิ๋นเฟยมีต่อสยงท่าเทียน คาดว่าเขาคงจะรู้จักตัวตนของสยงท่าเทียนแล้ว และคงได้ฟังเื่ของตระกูลขวงสยงมา บางทีเขาอาจจะได้กลับไปถามตระกูลของเขาเกี่ยวกับเื่นี้มาแล้ว และข่าวที่ได้มาก็ทำให้เขาเกรงกลัวสยงท่าเทียนยิ่งนัก
ในส่วนนี้ ฉินอวี่ได้สังเกตเห็นจากตอนที่เขาต่อสู้กับสยงท่าเทียน ซึ่งเขาไม่แม้แต่จะพลาดสายตาเพื่อหาความแน่ใจในเื่นี้
ถงอวิ๋นเฟยเป็คนฉลาด หากพบเจอสถานการณ์เช่นนี้ เขาคงคิดว่าจะสามารถแก้ไขความขัดแย้งของตนเองที่เกิดขึ้นได้หรือไม่ อย่างน้อยๆ เขาก็น่าจะเห็นว่าสยงท่าเทียนยังคงไร้เดียงสา และคงจะเชื่อฟังคำพูดของตน เมื่อแก้ไขความขัดแย้งที่มีกับตนเอง จากนั้นก็ต้องแก้ไขความขัดแย้งกับสยงท่าเทียนอย่างแน่นอน และด้วยเหตุผลนี้ ถงอวิ๋นเฟยย่อมรู้ดีเช่นกัน
ไม่เพียงแต่จะไม่พยายามแก้ไข แต่ในทางกลับกันเขากลับทำให้รุนแรงขึ้น แม้ว่าเขาจะแสดงท่าทีสงบ แต่ลึกๆ แล้วกลับพยายามเสี้ยมให้เกิดเื่มากขึ้น เขามีเจตนาที่จะให้ตนเองมีความขัดแย้งกับสำนักโบราณเทียนหลง แต่ฉินอวี่ก็มั่นใจว่าเป้าหมายของเขาก็คือตนเอง
ฉินอวี่รู้ดีว่าเหตุผลที่ถงอวิ๋นเฟย้าให้สำนักโบราณเทียนหลงจัดการตนเองและสยงท่าเทียน นั่นเพราะหมายจะยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ซึ่งหากสังหารตนเองได้ก็จะไม่มีการล่วงเกินสยงท่าเทียน แต่เพราะตนเองกับเขามีความแค้นกันมา เขาจึงยืนกรานที่จะต้องสังหารตนเองให้ได้ เขาไม่กล้าที่จะล่วงเกินตระกูลขวงสยง? แต่ล่วงเกินอี้จ้านเทียน?
เื่นี้ จะต้องมีการไตร่ตรองมาก่อนแล้วอย่างแน่นอน!
หลังจากครุ่นคิดดูได้เช่นนี้ ฉินอวี่จึงสั่งให้สยงท่าเทียนหยุดโจมตี เพื่อสร้างความโกรธให้กับถงอวิ๋นเฟย ด้วยเหตุนี้ เขาจึงจะเผยความคิดกับเป้าหมายที่แท้จริงออกมา
ถึงอย่างนั้น ฉินอวี่ก็ตกอยู่ในอันตรายอย่างมากเช่นกัน ในสองสามวันนี้ถงอวิ๋นเฟยที่กำลังหงุดหงิดคงเตรียมความพร้อมในการสังหารตนเองเอาไว้แล้ว ดังนั้น ระยะเวลาสองสามวันนี้ก็สำคัญกับเขาเป็อย่างมากเช่นเดียวกัน
หลังจากกลับมาถึงจวนตระกูลฉิน ฉินอวี่ก็เริ่มการเก็บตัวฝึกฝนทันที เมื่อมีสยงท่าเทียนอยู่ด้วย ฉินอวี่จึงไม่ต้องกังวลเื่ความปลอดภัยของฉินเสวี่ย
ในเวลาเดียวกัน
ณ ตระกูลชุย
หลังจากเกิดปัญหาระหว่างสยงท่าเทียนและถงอวิ๋นเฟย ผู้นำศิษย์รุ่นหนุ่มสาวของสำนักเทียนหั่วจะเอาจิตใจที่ไหนไปร่วมงานเลี้ยง? พวกเขาต่างกลับไปยังตระกูลชุยพร้อมกับชุยซั่วที่ได้รับาเ็
หลังจากที่ศิษย์น้องที่เหลือออกไปจนหมด หวังผิงก็หยิบยาเม็ดหนึ่งออกมาจากวงแหวนมิติ และใส่เข้าไปในปากของชุยซั่ว พร้อมพูดช้าๆ “รักษาแผลให้หายดีก่อน จะได้ฆ่ามันได้ในอีกหกวันข้างหน้า”
“ศิษย์... ศิษย์พี่ใหญ่... อีกหกวัน ยังต้องสู้กันอีกหรือ? ข้า... ข้าคิดจะถอนตัวจากการต่อสู้” ชุยซั่วที่นอนอยู่บนเตียงพูดด้วยหน้าซีดเผือดและโรยแรง ม่านตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว หลังจากได้พบกับฉินอวี่ และยังได้เห็นความแข็งแกร่งของสยงท่าเทียน ชุยซั่วจะกล้าสู้กับพวกเขาได้อย่างไร? ยังไม่ต้องพูดถึงเื่ที่ว่าจะชนะหรือไม่ แม้ว่าจะชนะ... ก็เกรงว่า เ้าคนป่าเถื่อนคนนั้นก็คงไม่มีวันปล่อยตนเองไปแน่นอน
ประกายแสงที่แหลมคมปรากฏขึ้นในดวงตาของหวังผิง เขาจ้องมองชุยซั่วอย่างเ็าและพูดขึ้น “ถอนตัว? เช่นนั้นวันนี้ข้าก็โดนดูถูกเปล่าๆ เลยสินะ? สำนักเทียนหั่วจะต้องเสียหน้าเปล่าเลยสินะ? เ้าเป็ต้นเหตุของเื่ที่เกิดขึ้น ฉะนั้น เ้าจะต้องนำหน้าตาแห่งชัยชนะของสำนักเทียนหั่วกลับคืนมา!”
ชุยซั่วจ้องมองไปยังหวังผิงอย่างหวาดกลัวอย่างไม่สามารถระงับความกลัวในหัวใจของเขาไว้ได้
เมื่อเห็นท่าทางของชุยซั่ว หวังผิงก็หรี่ตาทั้งสองลงทันที พลางเปลี่ยนน้ำเสียงคำพูด “มีเพลิงแอ่งธรณีอยู่กับเ้า เ้ายังจะกลัวอะไร? อีกอย่าง ข้าจะให้เกราะยุทธ์ป้องกันระดับสูงชั้นที่สามกับเ้า ต่อให้ฉินอวี่จะแข็งแกร่งแต่เขาทำลายเกราะยุทธ์ป้องกันระดับสูงชั้นที่สามได้หรือ? ส่วนเื่คนป่าเถื่อนอย่างสยงท่าเทียน เ้ายิ่งไม่ต้องเป็กังวล แม้ข้าจะอยากเอาชนะเขา แต่เ้าคงยังไม่ลืมว่าผู้าุโสำนักเทียนหั่วของเรายังคงอยู่ในแดนสุสานอสูร”
“แต่เ้าจะฆ่าเขาไม่ได้ ขอเพียงให้เพลิงแอ่งธรณีเข้าสู่ร่างกายของเขา ขอเพียงแค่ทำได้สำเร็จ เมื่อเสร็จเื่ รับรองได้เลยว่าเ้าจะต้องกลายเป็ศิษย์สำนักในที่แท้จริงของสำนักเทียนหั่ว”
เมื่อได้ยินคำพูดของหวังผิง ดวงตาของชุยซั่วก็ดูมีประกาย ศิษย์สำนักในที่แท้จริง? หลังจากชั่งความคิดเป็เวลานาน ชุยซั่วก็พยักหน้าทันที
“ในตอนนี้ เ้าทำความคุ้นเคยกับเพลิงแอ่งธรณีเสียก่อนเถอะ” พูดจบหวังผิงก็ยกมือขวาขึ้น เปลวไฟอันดูมืดมนก็โผล่ออกมาจากมือด้านขวาของเขา...
อีกด้านหนึ่งของจวนตระกูลชุย
ชุยซั่วกำลังเล่นแก้วน้ำชาที่อยู่ในมือ จ้องตรงไปทางด้านหน้า ใบหน้าอันแก่ชราของเขาแสดงถึงความลังเลและดิ้นรนยิ่งนัก หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พูดขึ้นทันที “พาตัวแทนของข้ามาที่นี่”
“รับทราบ!” อุณหภูมิในห้องลดลงอย่างรวดเร็ว และมีคำพูดที่ดูมืดมนดังขึ้น
ณ วังหลวงแคว้นอู่
“ตระกูลขวงสยง? นี่มันกลยุทธ์ยืมดาบฆ่าคน เ้ากล้าดีนักนะถงอวิ๋นเฟย คนอย่างข้าอี้จ้านเทียนเป็คนที่เ้าจะมาทำเยี่ยงนี้ได้หรือ?!” อี้จ้านเทียนพึมพำกับตนเอง
ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
ชายหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ในห้อง มีผ้าไหมสีขาวผืนหนึ่งวางไว้อยู่ตรงหน้าเขา บนผ้าขาวผืนนั้นมีลวดลายที่แปลกประหลาดเรียงตัวกันอย่างหนาแน่น ดวงตาของชายหนุ่มเปล่งประกายราวกับจะสาดส่องปกคลุมไปทั้งผืนผ้า ผ่านไปเป็เวลานาน ชายหนุ่มชุดขาวก็ใและส่งเสียงพูดพึมพำ “เป็ไปได้อย่างไร? ถ้าเช่นนั้น ถงอวิ๋นเฟย... มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่?”
หกวันต่อมา
สนามประลองทางทิศตะวันตกของเมืองหลักเทียนอู่
หากมีความคับข้องใจกับศิษย์ในแต่ละตระกูลของเมืองหลักเทียนอู่ ทุกคนล้วนต้องมาประลองยังลานทางทิศตะวันตกเพื่อตัดสินแพ้ชนะ เมื่อเวลาผ่านไป ที่แห่งนี้ก็กลายเป็สถานที่ที่ขึ้นชื่อเื่การใช้ตัดสินข้อข้องใจและข้อพิพาทของเมืองหลักเทียนอู่ เมื่อขึ้นไปยังลานประลองนั่นแล้ว ความเป็ความตายก็จะขึ้นอยู่กับโชคชะตา
สนามประลองมีรูปร่างเหมือนทรงกรวย มีความสูงเกือบสามสิบจ้าง สามารถรองรับผู้คนได้นับหมื่นเพื่อรับชมการต่อสู้
นับั้แ่ทำสร้างขึ้นมา มีน้อยครั้งอย่างยิ่งที่จะพบว่าที่นั่งเต็ม แต่ในวันนี้ ที่นั่งทั้งสนามประลองกลับเต็มทั้งหมด ผู้คนเกือบทุกคนที่มีหน้ามีตาในเมืองหลักเทียนอู่ต่างมารวมตัวกันที่นี่ รวมถึงเหล่าผู้นำที่มีความสามารถของแดนนภาชิงเหลียนทางตะวันออกต่างมาที่นี่ด้วยตนเองเช่นกัน
ฉินอวี่ท้าทายชุยซั่วและถงอวิ๋นเฟยอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นอย่างมากในเมืองหลักเทียนอู่ และเหตุผลที่ผู้คนจำนวนมากถูกดึงดูดให้มาร่วมชม ส่วนใหญ่น่าจะเป็เพราะถงอวิ๋นเฟย
หลายวันมานี้ เื่ของถงอวิ๋นเฟยได้สร้างกระแสคลื่นอันน่าใไปทั่วเมืองหลักเทียนอู่ ทำให้คนทั่วไปและผู้ฝึกฝนยุทธ์จำนวนนับไม่ถ้วนเข้ามายังที่แห่งนี้เพื่อได้พบกับเผ่ายุทธ์ทองคำในตำนาน!
ในเวลานี้ ถงอวิ๋นเฟยนั่งขัดสมาธิลงบนลานชั้นที่หนึ่งและหลับตารวบรวมพลัง ราวกับว่าไม่ได้สนใจต่อการประลองที่กำลังจะเกิดขึ้นเลย และตอนนี้ จื่อซวินเอ๋อ อี้จ้านเทียน หวังผิง และคนอื่นๆ ต่างนั่งอยู่กันพร้อมหน้าบนที่นั่งชั้นที่หนึ่งแล้ว ทุกคนต่างพูดคุยและมองไปยังฉินอวี่ที่อยู่ด้านล่าง
บนที่นั่งชั้นสาม ฉินเสวี่ยนั่งอยู่กับสยงท่าเทียน แต่สิ่งที่แตกต่างจากใบหน้าที่เฉยเมยของสยงท่าเทียนคือ ฉินเสวี่ยที่กำลังกำหมัดแน่น พร้อมสีหน้าที่วิตกกังวลอย่างยิ่ง ส่วนองค์ชายและองค์หญิงต่างนั่งกันอยู่ในที่นั่งชั้นที่สอง หนึ่งในนั้นคือหลงอวี่ที่กำลังมองไปเบื้องล่างด้วยความเป็กังวล
ขณะที่ฉินอวี่และชุยซั่วเดินเข้าไปในสนามประลอง เสียงทั่วทั้งสนามประลองก็เงียบลงทันที
ฉินอวี่จ้องไปที่ชุยซั่ว และพบว่ามีความตื่นเต้นที่ควบคุมไม่ได้อยู่ในการแสดงออกของเขา เขาสวมชุดเกราะสีดำสนิทไว้บนร่าง มองเพียงพริบตาเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าเป็ของที่ไม่ธรรมดา ซึ่งนั่นทำให้ฉินอวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
หลังจากที่ทุกอย่างพร้อมแล้ว อี้จ้านเทียนก็ค่อยๆ ยืนขึ้น และพูดว่า “เปิดค่ายกลเวท!”
“วึง!”
เสียงดังขึ้นวนเวียนไปทั่วสนามประลอง จากนั้นก็วนขึ้นไป้า ม่านแสงของค่ายกลเวทก็ปรากฏขึ้นล้อมลงไปถึงพื้นล่างของลานประลอง
“การประลองเริ่มได้!”
หลังจากสิ้นเสียงของอี้จ้านเทียน ฉินอวี่และชุยซั่วจึงเริ่มเคลื่อนไหวในเวลาเดียวกัน
ฉินอวี่มีท่าทีเฉยเมย โผเข้าหาชุยซั่วราวกับเสือดาวที่ดุร้าย ชุยซั่วเรียกกระบี่ิญญาระดับสูงชั้นที่สองซึ่งเขาได้มาจากแดนสุสานอสูรออกมา และเริ่มโจมตีด้วยใบหน้าที่แสยะยิ้ม
ครั้งนี้ ร่างกายของเขาได้ถูกปกป้องด้วยอาวุธิญญาป้องกันที่ไม่ธรรมดาถึงสองชิ้น ชิ้นหนึ่งคือเกราะอ่อนเทียนฉานซึ่งเป็อาวุธิญญาป้องกันระดับล่างชั้นที่สามที่ชุยหงผู้เป็ปู่ได้มอบไว้ให้ และบนร่างยังมีเกราะยุทธ์ป้องกันระดับสูงชั้นที่สามที่ยืมมาจากหวังผิง เพียงแค่สองสิ่งนี้ หัวใจของเขาก็ไร้ซึ่งความกลัว ด้วยพละกำลังของฉินอวี่ไม่มีทางทำลายมันลงได้ แม้ว่าจะทำได้ ถึงตอนนั้นเขาก็ยังมีเวลามากพอที่จะถ่ายทอดเพลิงแอ่งธรณีสู่ร่างกายของฉินอวี่
ขอเพียงเพลิงแอ่งธรณีแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายของฉินอวี่ ฉินอวี่ก็จะสูญเสียพลังการต่อสู้ของเขาไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเมื่อถึงตอนนั้น...
เมื่อนึกถึงคำสัญญาของหวังผิงเื่ของศิษย์สำนักใน ชุยซั่วก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นจนอดทนรอไม่ไหวที่จะสังหารฉินอวี่!
“ปัง!” เสียงวัตถุกระทบโลหะดังขึ้น ฉินอวี่คว้ากระบี่ิญญาของชุยซั่วไว้ได้ด้วยมือเปล่า จากนั้นก็ต่อยออกไปทันทีห้าหมัด
หมัดะเิฟ้า!
พลังที่รุนแรงเหมือนดั่งน้ำป่าไหลหลากถูกปล่อยออกมา เดิมทีชุยซั่วคิดว่าจะได้หยอกล้อกับฉินอวี่มากกว่านี้ เขาที่กำลังระบายความแค้นที่มีภายในใจมาเป็เวลานานออกมารู้สึกได้เพียงหัวใจที่เต้นรัวของตนเอง เขาเกือบจะเห็นว่าหมัดะเิฟ้าที่ฉินอวี่ปล่อยออกมา แฝงไปด้วยภาพมายาของเงาร่างจำนวนมากมาย
“นี่คือการโจมตีแบบไหนกัน?”
ชุยซั่วสะพรึงกลัวอย่างมากอยู่ในใจ มือขวาของเขาเริ่มคลายกระบี่ออก ไฟสีดำอันมืดมนได้ปรากฏขึ้นบนมือขวาของเขา จากนั้นจึงคว้ามือซ้ายของฉินอวี่เอาไว้ด้วยพลังของสายฟ้าที่รุนแรง
“ปัง ปัง ปัง!”
เกิดแรงกระแทกอย่างต่อเนื่องขึ้นหลายครั้ง และในขณะนี้เองม่านแสงป้องกันของชุยซั่วก็ปรากฏขึ้น พลันแตกแยกออกจากกัน เกิดเป็เสียงฟ้าร้องขึ้นสองครั้งดังก้องไปทั่วท้องฟ้า
ร่างกายของชุยซั่วเริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง ดวงตาของเขาเบิกโพลง และเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกอย่างไม่รู้จบสิ้น จนสุดท้ายก็ล้มลงไปกับพื้น...
จบในคราเดียว!
ลานประลองทั้งหมดเงียบสนิท ทุกคนมองไปที่ชุยซั่วที่ล้มลงกับพื้นอย่างน่าเหลือเชื่อ
ขณะที่ทุกคนกำลังใ จู่ๆ เสียงแหลมเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “ท่านแม่ทัพ!”