ตูม!
พลังแล่นผ่านหมัดจากการพุ่งชกไปในอากาศและวิ่งไปกระแทกกับต้นไม้ใหญ่ ใบไม้ไหม้เปลี่ยนเป็สีเหลืองเกรียมจากการถูกเผาไหม้ลมหายใจัช่างเป็วิชาที่ล้ำเลิศสมคำร่ำลือจริงๆ!
ข้ากำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความสุขเมื่อรู้ว่าตัวเองได้บรรลุขั้นที่หนึ่งจนสำเร็จอีกทั้งพลังที่เพิ่มขึ้นจากเดิมห้าสิบชั่งสมแล้วที่ผู้คนต่างสนใจฝึกฝนวิชาลมหายใจักันนัก
พอบรรลุขั้นที่หนึ่งข้าจึงฉวยโอกาสตีเหล็กในตอนที่ยังร้อนโดยการเริ่มฝึกฝนขั้นที่สองต่อทันที
กระบวนท่าที่จะใช้ในการฝึกต่อไปเป็รูปภาพที่พี่เสวียนยินวาดไว้บนตำราโดยคนในภาพต่างก็ยืนด้วยอิริยาบถที่แปลกประหลาดมีการลากเส้นของพลังไหลเวียนไปตามจุดต่างๆ บนร่างกายไว้อย่างชัดเจน จะว่าไปแล้วต่อให้ข้าได้ฝึกฝนกับอาจารย์ระดับสูงของสำนักหมื่นิญญาก็คงละเอียดได้ไม่ถึงครึ่งของตำราที่พี่เสวียนยินมอบให้
ตอนนี้ข้าอยู่ในท่าที่น่าขันยิ่งนักขาข้างหนึ่งเหยียบลงบนพื้น ส่วนอีกข้างก็ยกลอยในอากาศมือทั้งสองข้างกางออกอย่างเป็ธรรมชาติเหมือนท่ายืนกระต่ายขาเดียวแต่ก็ยังแตกต่างอยู่มาก เพราะเมื่อจัดท่าดีๆกลับดูกรีดกรายคล้ายัใหญ่มากกว่ากระต่ายขาเดียวยิ่งขณะที่พลังิญญาไหลเวียนจนครบรอบก็ยิ่งเผยให้เห็นลมปราณอันน่าเกรงขามและคมชัดขึ้นเรื่อยๆเทียบไม่ได้เลยกับท่วงท่ากระต่ายขาเดียว
นี่คือกระบวนท่าการฝึกวรยุทธ์ด้วยท่าทางอันแปลกประหลาดที่เหล่าผู้ฝึกฝนิญญาต่างใฝ่ฝันอยากจะฝึกฝนกันมานานอย่างท่าัพันศิลา
มีคำพูดที่ว่า‘ัพันศิลาแตกฉาน ดั่งพบพานของล้ำค่า’ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเมื่อฝึกฝนวิชาจนชำนาญถึงขั้นเซียนก็จะกลายเป็หนึ่งในจอมยุทธฝีมือล้ำเลิศที่น้อยคนนักจะทำได้ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับผู้ฝึกฝนพลังิญญาขั้นสองที่มีมากนับพันคน
ความอบอุ่นไหลเวียนไปยังกล้ามเนื้อทั่วร่างโสมโลหิตเพียงคำเดียวแต่สามารถให้พลังลมปราณที่เพียงพอต่อการฝึกฝนได้นานขึ้นอีกทั้งลมปราณและพลังิญญาก็ผสานเข้ากันจนพละกำลังสามารถไหลเวียนในร่างกายอยู่ตลอดพลังเดิมถูกซ้อนทับด้วยขุมพลังที่แข็งแกร่งผู้ฝึกฝนต่างก็เลือกวิธีการกินยาเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งและทรหดในการฝึกฝนยิ่งขึ้น
เพียงไม่นานร่างกายก็ตกอยู่ในอาการมึนงงภาพตรงหน้าค่อยๆ เลือนรางแม้จะยืนบนพื้นดินแต่กลับรู้สึกเหมือนล่องลอยอยู่เหนือสรรพสิ่งดุจัที่ขดตัวในเวหา ดวงตาเบิกกว้างจ้องมองเบื้องล่างด้วยสายตาที่แข็งกร้าวและหยามเหยียด
เหมือนข้าจะมองเห็นเค้าลางของัแล้ว!
ในตอนนั้นข้าเองก็ดีใจเป็อย่างมากเพราะพี่เสวียนยินได้เขียนไว้ในตำราอย่างชัดเจนว่าเมื่อฝึกขั้นที่สองจนสามารถเห็นัพันศิลาได้แล้วหมายความว่าได้เข้าสู่การฝึกฝนระดับต้นของขั้นที่สองแล้วและเมื่อใดที่ัปรากฏให้เห็นผ่านตาเนื้อจึงจะยืนยันได้ว่าถึงขั้นสมบูรณ์และบรรลุอย่างแท้จริง
แต่ว่ามันยังเร็วเกินไปสำหรับข้าเพราะยังไงข้าก็แค่เห็นมันในสมาธิและลำแสงที่ลอยวนอยู่บริเวณรอบๆก็เป็แค่พลังิญญาเท่านั้น ไม่ใช่เค้าลางของภาพัพันศิลานั้นจริงๆ
...
ไม่นานเสียงนาฬิกาก็ดังขึ้นบ่งบอกว่าข้าต้องไปกินข้าวเย็นที่โรงอาหารแล้วพอกินเสร็จก็กลับมาฝึกฝนต่อที่โรงเกลากระบี่ส่วนเ้าเด็กซ้งเชียนนั่นก็ไม่รู้หายหัวไปไหน
แล้วข้าก็เข้าสู้การฝึกฝนวิชาลมหายใจัขั้นที่สองอย่างไม่รู้ตัว
ไม่รู้ว่าฝึกไปนานเท่าไรแต่อยู่ๆเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นตามด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะเสนาะหูของศิษย์ผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นมา“เสี่ยวเชวียน เ้าอยู่หรือเปล่า?”
เ้าของน้ำเสียงที่คุ้นหูเมื่อครู่นี้ก็คือตั้นไถเหยานั่นเองพอนึกได้แบบนี้สมองก็ประมวลภาพท่าทางที่น่ารักของนางขึ้นมาเป็เพราะนางได้ช่วยเอาไว้ครั้งนั้นก็เลยมีภาพความทรงจำต่อกันที่ไม่เลวเลยทีเดียว
พอประตูถูกเปิดออกก็เห็นตั้นไถเหยากับซูเหยียนยืนอยู่ข้างนอกเพราะนางทั้งสองเป็เพื่อนสนิทกันอยู่แล้ว การมาหาข้าพร้อมๆกันแบบนี้จึงไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมาย นึกดูแล้วซูเหยียนก็น่าจะบอกเื่ที่มาฝึกเคล็ดวิชาปลายพู่กันกับข้าให้นางฟังแล้วล่ะ
สาวงามทั้งสองเดินเข้ามาในลานกว้างของโรงเกลากระบี่พร้อมกับกลิ่นน้ำหอมจางๆ
ซูเหยียนเองก็ชินแล้วพอเข้ามาก็ยื่นกล่องข้าวให้ข้าด้วยรอยยิ้มก่อนจะพูดขึ้น“วันนี้ข้าบอกให้พ่อครัวย่างตะพาบน้ำกับเนื้อไก่ป่ามาให้ หวังว่าเ้าจะชอบ”
ข้าที่อดทนกับกลิ่นหอมนั่นไม่ไหวรับกล่องข้าวมาแล้วนั่งลงข้างๆก่อนจะยิ้มขึ้นมา “พวกเ้าหาที่นั่งได้ตามสบายเลย ไม่ต้องเกรงใจ”
จริงๆแล้วในนี้นอกจากม้านั่งกับขอนไม้นั่นก็แทบจะไม่มีที่นั่งอื่นเลยนางทั้งสองจัดชายกระโปรงให้เรียบร้อยก่อนจะนั่งเฉียงขาไปด้านข้างช่างดูเป็ภาพที่สง่างามตามแบบฉบับหญิงสาวผู้มีชาติตระกูล
ซูเหยียนพูดขึ้นอย่างครุ่นคิด“ดูเหมือนว่าเ้าจะแปลกๆ ไป...แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าเปลี่ยนไปตรงไหน...”
น่าจะเป็เพราะข้าบรรลุขั้นที่สองของวิชาลมหายใจัแล้วทำให้จังหวะการหายใจช้าลงส่งผลให้สภาพร่างกายดูเปลี่ยนแปลงไปถือว่าการสังเกตของซูเหยียนนั้นไม่เลวเหมือนกันเพราะถ้าเป็คนอื่นคงจะแยกแยะไม่ออกในที่ที่แสงไฟสลัวๆ แบบนี้แน่
“งั้นเหรอ?”
ข้ายิ้มขึ้นน้อยๆก่อนจะพูดต่อ “วันนี้จะมาเรียนกระบวนท่าการฉกชิงของวิชาปลายพู่กันเป็กระบวนท่าที่สามารถเพิ่มอานุภาพของกระบี่เ้าให้มากขึ้นวิชาหนึ่ง”
“ตกลง!” ซูเหยียนตอบมาอย่างพอใจ
จับกระบี่ขึ้นมาได้ก็เริ่มสอนทั้งแบบกระบวนท่าและสอนแบบทีละขั้นตอนอยู่หลายครั้ง จึงกลับมากินข้าวต่อข้าวที่นางเอามาให้วันนี้มีปริมาณเยอะถึงสามชามใหญ่ๆ เลยทีเดียวคงเพราะน้ำหนักที่มากเกินไปก็เลยให้ตั้นไถเหยามาช่วยถืออีกแรง
ตั้นไถเหยาที่อยู่ในอาการเบื่อหน่ายนั่งมองข้าแสดงกระบวนท่าจนเสร็จ ก่อนจะพูดขึ้นขณะที่ข้ากำลังจะลงมือกินข้าว“ปู้อี้เชวียน เ้ารู้หรือเปล่าว่าตอนที่เ้ากำลังร่ายรำเพลงกระบี่ภายในของข้าก็มีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้น” ”
“ฮะ ความรู้สึกอะไร?” ข้าเงยหน้าขึ้นและถามอย่างสงสัยใบหน้าใต้แสงจันทร์ของตั้นไถเหยาช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน นางมีบุคลิกที่เข้ากับผู้อื่นได้ง่ายเมื่อเทียบกับซูเหยียนที่มีความหยิ่งทะนง นางกลับมีสง่าราศีมากกว่าเสียอีก
“ความรู้สึกที่เหมือนกับเ้าเป็จอมยุทธมือดียังไงล่ะ”นางตอบและจ้องมองด้วยสายที่จริงจัง “ข้าถามอะไรเ้าสักอย่างได้หรือเปล่า?”
“ถามมาสิ”
“เ้าเป็ใครกันแน่?”
ข้าชะงักและตอบคำถามด้วยท่าทีกระอึกกระอัก“ข้าก็เป็ข้าไง จะเป็ใครซะอีกล่ะ”
“งั้นเหรอ?”
นางยิ้มออกมาอย่างมีลับลมคมในก่อนจะหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋า“ข่าวที่สามารถปลุกปราณิญญาระดับ์ได้ั้แ่อายุเพียงหกขวบเหมือนจะดังไปทั่วเมืองในเขตเหนือการบำเพ็ญเพียรจนบรรลุขั้นเบิกิญญาตอนอายุได้เพียงแปดขวบและปลุกอาวุธิญญาอย่างกระบี่คมจันทราได้ตอนอายุเก้าขวบสามารถบำเพ็ญจนบรรลุสองขั้นได้ในเวลาเพียงสองปีบรรลุขั้นประกายจิตตอนอายุสิบเอ็ดปีและถัดมาอีกสองปีก็สามารถฝึกฝนจนเกิดเป็ชุดรบคมจันทราได้ มีการบำเพ็ญจนบรรลุขั้น์ได้ตอนอายุเพียงสิบสี่ปีแถมยังเร็วกว่าข้ากับซูเหยียนถึงสองปีอายุสิบเจ็ดก็ได้รับคัดเลือกให้เข้าไปฝึกฝนที่ถนนแห่งความตายในเมืองเขตเหนือแต่เพราะการปกป้องของถนนแห่งความตายหลุดการควบคุมทำให้ผู้ฝึกฝนในตอนนั้นตายเกือบหมด แต่เมื่อผ่านไปสามปีเ้ากลับมีชีวิตรอดและกลับมาที่บ้านเกิดในเมืองหยินเย่เฉิงได้อย่างปลอดภัย...ที่ข้าพูดมานี่ถูกหรือเปล่า?”
ข้าชะงักกับสิ่งที่นางพูดออกมาขนาดซูเหยียนเองก็หยุดการฝึกเพลงกระบี่แล้วยืนมองข้าด้วยสายตาที่เหมือนกำลังรอคำตอบอยู่เหมือนกัน
“ใช่...แล้วนี่เ้ามีประวัติส่วนตัวของข้างั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่แค่นี้นะ...” นางยิ้มบางๆ ก่อนจะพูดต่อ “ข้ากับซูเหยียนรวมถึงศิษย์ระดับสูงสุดส่วนหนึ่งต่างก็มีเพียงพร์ชั้นหนึ่งเท่านั้นแต่เ้ากลับมีพร์ขั้นสูงที่แท้จริงข้าอยากรู้ว่าเวลาสามปีนั่นเ้าไปอยู่ที่ไหน และผ่านอะไรมาบ้างกันแน่ทำไมพอเ้ากลับไปยังบ้านเกิดถึงได้เปลี่ยนไปเป็คนละคน”
ข้าวางตะเกียบในมือลงแล้วเงียบไป
ซูเหยียนยิ้มแล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เหมือนจะเข้าใจ“ปู้อี้เชวียน ถ้าเ้าไม่อยากตอบก็ไม่จำเป็ต้องฝืนก็ได้ เพราะจริงๆ แล้วข้ากับ
อาเหยาก็แค่อยากรู้เท่านั้น...”
ข้าหยิบตะเกียบขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะพูดขึ้น“จริงๆ แล้วมันก็ไม่มีอะไรน่าปิดบังหรอกนะระหว่างที่เดินทางไปถนนสีขาวข้าก็เกิดล้มป่วยกะทันหันเลยไปพักอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆริมทะเลแห่งหนึ่งในเขตทางเหนือกว่าครึ่งปีและพอจะไปที่ถนนสีขาวอีกครั้งก็พบว่ามีก้อนหินดินทรายทับถมตัดเส้นทางไปแล้ว และไม่กล้ากลับบ้านไปที่เมืองหยินเย่เฉิงเพราะประสบการณ์ยังน้อยก็เลยเป็ได้แค่นักกระบี่พเนจรอยู่ที่นั่นกว่าสองปีถึงจะกลับแต่ข้าก็นึกไม่ถึงว่าถนนสีขาวจะกลายเป็ถนนแห่งความตายและผู้ที่ถูกคัดเลือกก็ไม่เคยมีใครรอดกลับมา...”
“ไม่ใช่แบบนั้น...มีคนรอดกลับมา”
ซูเหยียนนั่งลงตรงหน้าอย่างเงียบๆดวงตาที่ใสแวววาวนั่นมองมาแล้วเริ่มพูดต่อ “ผ่านไปสามปีเต็มทางเขตเหนือก็ส่งทหารไปปรับพื้นที่ที่ถูกปิดออกทำให้ช่วยผู้ถูกคัดเลือกที่ดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากกองซากศพออกมาได้สองคนแต่ก็ไม่มีใครเห็นพวกเขาอย่างชัดๆ แค่ตั้งฉายาให้ว่า ‘จอมยุทธ์ดำขาว’ เ้า...”
พูดถึงตรงนี้ซูเหยียนเหมือนอยากจะพูดอะไรออกมาแต่ก็เงียบไป
ส่วนตั้นไถเหยาก็เบิกดวงตาใสกลมโตคู่นั้นมองมาที่ข้าแบบรอคำตอบ
ข้าสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะพูดขึ้น “จริงๆแล้วหลังจากที่กลับมาข้าก็ได้แต่บอกกับตัวเองว่าโชคดีที่ไม่ได้ไปที่นั่นเพราะไม่อย่างนั้นข้าเองก็คงจะไม่มีชีวิตรอดกลับมาพวกเ้าไม่ต้องมาสงสัยว่าข้าจะเป็จอมยุทธ์ดำขาวนั่นหรอกนะเพราะบางทีมันอาจจะไม่มีอยู่จริงบนโลก แต่คงเป็เื่ราวที่ถูกพูดต่อๆกันมาโดยไม่ได้ไตร่ตรองก็ได้และอีกอย่างตอนนี้ข้าก็เป็แค่...ศิษย์สำรองที่ทำงานอยู่ในโรงเกลากระบี่นี่เท่านั้น”
ซูเหยียนหัวเราะออกมาเล็กน้อย“แต่ฝีมือของเ้าจัดอยู่ในสิบดาวรุ่งของแผ่นดินหลงหลิงเลยนะถึงจะเป็ศิษย์สำรองก็ต้องเป็ศิษย์สำรองที่เก่งมากๆ เลยแหละ! เอาเถอะน่าข้ากับอาเหยาเชื่อมั่นพลังในตัวเ้า ว่ามันจะทำให้เ้าสามารถเก่งขึ้นได้เป็แน่!”
ตั้นไถเหยาเองก็รีบพยักหน้า“ใช่ๆๆ”
“ข้าก็ต้องขอบใจพวกเ้ามากเลยนะ”
ข้าว่าพลางขยี้จมูกตัวเองเบาๆก่อนจะพูดต่อ “ข้าจะกินต่อได้หรือยัง?”
“กินไปสิ เ้าคนกินจุ...”ถึงแม้ซูเหยียนจะพูดออกมาแบบนี้แต่น้ำเสียงก็แฝงไปด้วยความอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
ส่วนตั้นไถเหยาก็เพียงแค่ยิ้มบางๆออกมาแต่ไม่ได้พูดอะไร
...
หลังจากกินทุกอย่างแบบไม่ลืมหูลืมตาแล้วข้าก็ปัดมือเบาๆโดยตั้นไถเหยาลุกมาเก็บพวกชามกับตะเกียบแทนแบบไม่ให้ข้าต้องลงมือหลังจากเก็บเสร็จนางก็กลับมานั่งอย่างใจจดใจจ่อก่อนจะพูดขึ้น “ปู้อี้เชวียนหลังจากที่เ้าปลุกพลังล้มเหลวแล้วกลับมาฝึกฝนยังไงเหรอ?”
นางหรี่ตามองเหมือนรู้ความจริงว่าข้าฟื้นฟูพลังมาได้ส่วนหนึ่งแล้ว
“ลมปราณ์” ข้าตอบไปง่ายๆ
“แบบนี้นี่เอง...” นางที่เพิ่งจะรู้วิธีนี้พูดขึ้นมาเสียงดัง“ทำไมข้าถึงนึกไม่ถึงเลยนะ เ้านี่เก่งจริงๆ ...”
“จริงด้วย ตอนที่ช่วยข้าไว้ครั้งก่อนยังไม่ได้ขอบคุณเ้าเลยพลังที่เ้าให้มาเป็พลังพร์ของเ้าอย่างนั้นเหรอ?”
“ใช่แล้วล่ะ”
ตั้นไถเหยาพูดอย่างไม่ปิดบัง“พลังพร์ของข้าคือการเพิ่มพลังที่แข็งแกร่งขึ้นแก่ผู้อื่นและดึงพลังสูงสุดของคนคนนั้นออกมาเ้าเองก็ได้เห็นแล้วนี่ ไม่เลวเลยใช่ไหม?”
“อืม มันสุดยอดมากเลยจริงๆ”
ถึงข้าจะพูดชมออกไปแต่นางก็ยังพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยอยู่ดี“แต่ข้าอิจฉาพวกนักกระบี่อย่างพวกเ้ามากกว่า...การที่ไม่ได้เผชิญกับการต่อสู้ที่ดุเดือดและความท้าทายสุดเหวี่ยงแบบนี้มันไม่ดีเอาซะเลยอาวุธิญญาของข้าก็คือไม้เท้าเวทน้ำแข็งที่รับบทเป็ตัวสนับสนุนเท่านั้น...ถ้าเกิดเจอคู่ต่อสู้เป็นักกระบี่ที่มีพลังในระดับเดียวกันล่ะก็ข้าได้ตายั้แ่ยังไม่ทันได้ใช้พลังด้วยซ้ำ...”
“แต่ละอย่างมันก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไปเป็ธรรมดา” ข้ายิ้มเชิงปลอบก่อนจะละสายตากลับไปมองซูเหยียนที่กำลังร่ายรำเพลงกระบี่แล้วเกิดความรู้สึกอยากรู้ขึ้นมาก่อนจะถามขึ้น“แล้วพลังพร์ของศิษย์ที่เก่งอันดับหนึ่งอย่างซูเหยียนล่ะ?”
“ของเสี่ยวเหยียนเหรอ...”
ตั้นไถเหยายิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดบอก“พลัง์ของนางค่อนข้างสุดยอดเลยละ ถ้าวัดตามมาตรฐานของแผ่นดินใหญ่หลงหลิงแล้วพลัง์ของข้าอยู่ในระดับ A ส่วนพลังของนางอยู่ในระดับS เลยล่ะ”
“ว้าว แล้วมันคือพลังอะไร? ทำไมถึงได้สุดยอดขนาดนั้น”
“พลังการควบคุมเวลา...”
ตั้นไถเหยามองอย่างมีนัยก่อนจะยิ้มแล้วพูดต่อ“เมื่ออยู่ภายใต้ขอบเขตพลังสามารถเร่งเวลาให้เร็วและช้าลงได้ในพริบตาถึงขั้นสามารถย้อนเวลาทำให้คู่ต่อสู้ไม่ทันได้ตั้งตัวและถ้า...ถ้าเกิดว่าซูเหยียนใช้พลังพร์กับเ้าในตอนนั้น เ้าคงไม่มีทางชนะและตายั้แ่เริ่มประลองแน่ๆ”
ข้า...
ให้ตายเถอะสุดยอดจริงจริงๆ! ทำไมศิษย์ที่มีใบหน้าสะสวย เหล่านี้ถึงได้เก่งนักนะเมื่อเทียบกับข้าแล้วดูเป็พวกกระจอกไปเลยก็ได้!
ไม่ได้ข้า...ข้า้าพลัง!!!