หลิวอวิ๋นชูพูดด้วยเสียงกะล่อน “สมดั่งคำที่ว่าบิดาเป็เช่นใด ลูกชายก็เป็เช่นนั้น พวกเขาจะเทียบกับข้าได้อย่างไร”
ท่านโหวอันกั๋วเบิกตาเขม็ง “เ้าหมายความว่าอย่างไร พูดประชดประชัน หวังจะสั่งสอนบิดาของตัวเองหรือไง?” พูดจบก็ใช้ตะเกียบตีหัวหลิวอวิ๋นชู
หลิวอวิ๋นชูยกมือกุมหัว “ดูท่านสิ มีอะไรพูดกันดีๆ ก็ได้ ทำไมต้องลงไม้ลงมือกันด้วย?”
ฮูหยินท่านโหวพูดสอนด้วยเสียงกลัดกลุ้ม “อวิ๋นชู จะว่าไปแล้ว เ้ากับท่านอ๋องน้อยก็มีอายุเท่ากัน แต่เ้ากลับไม่มีแม้แต่สาวใช้ห้องข้างเลยด้วยซ้ำ ความจริง ข้าเลือกให้เ้าไว้บ้างแล้ว...”
หลิวอวิ๋นชูรีบพูดหยุด “ข้ายังเป็นักศึกษาอยู่นะ ยังไม่สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยหลวงเลย จะคิดเื่พวกนั้นได้อย่างไร ท่านแม่ ท่านเก็บสาวใช้พวกนั้นเอาไว้เองเถอะ”
เช้าวันต่อมา ระหว่างเรียน เฟิ่งสือจิ่นไม่หาว หรือสัปหงกเหมือนอย่างเคย นางนั่งตัวตรงและจับพู่กันเอาไว้ในมือ กำลังเขียนบางสิ่งอย่างตั้งใจ หลิวอวิ๋นชูที่นั่งอยู่ข้างๆ ทนสงสัยไม่ได้ จึงชะเง้อคอเข้าไปมอง เฟิ่งสือจิ่นรีบใช้มือปิดกระดาษบนโต๊ะอย่างระแวดระวังพลางปรายตามองเขา “แอบดูจดหมายของคนอื่นงั้นหรือ เ้าไม่เคยเรียนเื่มารยาทหรือไง?”
หลิวอวิ๋นชูเกามุมปากเบาๆ “ที่แท้เ้าก็เขียนจดหมายอยู่นี่เอง เขียนอะไรหรือ เขียนให้ใคร?”
เฟิ่งสือจิ่นพูด “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเ้า?”
หลิวอวิ๋นชูกลอกตาไปมา “หรือว่า... หรือว่าเ้ากำลังเขียนจดหมายรักอยู่?” เฟิ่งสือจิ่นเก็บพู่กันอย่างใจเย็นราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่หลิวอวิ๋นชูกลับเหลียวซ้ายแลขวา มองนักศึกษาในห้องไปพลาง พลางก็รู้สึกรำคาญใจเป็อย่างมาก “เ้าเขียนให้ใครกันแน่ ในวิทยาลัยหลวงแห่งนี้ มีคนที่หล่อเหลามากกว่าข้าด้วยหรือ?”
เฟิ่งสือจิ่นปรายตามองซูกู้เหยียนที่ยืนอยู่หน้าห้องแวบหนึ่ง ก่อนจะเชิดคางไปด้านหน้าเป็เชิงให้หลิวอวิ๋นชูมองตาม “นั่นไง อาจารย์ที่กำลังสอนอยู่หล่อกว่าเ้าหลายเท่าเลยไม่ใช่หรือ?”
คิดไม่ถึงว่าการกระทำของนางจะถูกซูกู้เหยียนจับได้ ดวงตาเ็าปรายมาทางนี้แวบหนึ่ง มันเป็เหมือนกลิ่นหอมอ่อนๆ ในสายลมที่ทำให้ผู้มองเคลิบเคลิ้มตามได้อย่างง่ายดาย เฟิ่งสือจิ่นรีบก้มหน้าลงทันที
หลิวอวิ๋นชูโกรธจนแทบคลั่ง เขาโพล่งขึ้น “อย่าบอกนะว่าเ้าแอบชอบอาจารย์อยู่?”
เฟิ่งสือจิ่นพูด “ถุย... จะเป็ไปได้อย่างไร”
เฟิ่งสือจิ่นยัดจดหมายที่เขียนเสร็จลงไปในซองกระดาษสีเหลืองขุ่น หลังเลิกเรียน หลิวอวิ๋นชูไม่ยอมขึ้นเกี้ยวที่มารับ เอาแต่เดินตามเฟิ่งสือจิ่นต้อยๆ อย่างหน้าด้าน ขอให้เฟิ่งสือจิ่นพาเขาไปกินอาหารเย็นที่จวนราชครูอีกครั้ง ทว่าสายตาของเขากลับเลื่อนลอยออกไปไกล สีหน้าแสดงความในใจออกมาอย่างชัดเจน ดูก็รู้ว่าหลิวอวิ๋นชูกำลังหาทางเอาจดหมายมาจากเฟิ่งสือจิ่นนั่นเอง
เฟิ่งสือจิ่นยืนอยู่หน้าจวนราชครู นางอมยิ้ม “เ้าอยากรู้จริงๆ หรือว่าข้าเขียนอะไรในจดหมาย?”
หลิวอวิ๋นชูพยักหน้าหนักๆ
“เช่นนั้นก็เอาหูเข้ามาใกล้ๆ สิ”
หลิวอวิ๋นชูขยับเข้าไปใกล้ เฟิ่งสือจิ่นกระซิบบางอย่างที่ข้างหูเขา เสียงนั้นทั้งอ่อนโยนแถมยังไพเราะ ลมหายใจพ่นลงที่ข้างใบหูของหลิวอวิ๋นชูอย่างแ่เบา เขาตระหนักขึ้นมาได้ว่าตนยังไม่เคยใกล้ชิดกับใครขนาดนี้มาก่อนเลย เมื่อคิดได้ดังนั้น ใบหูก็แดงขึ้นมาทันที หัวใจเขาล่องลอยออกไปไกล เมื่อฟังสิ่งที่เฟิ่งสือจิ่นบอกจนเข้าใจแล้วก็รีบถอยห่างออกมา เพราะััได้ว่าในซองจดหมายมีเม็ดกลมๆ ขนาดเล็กใส่อยู่ด้วย จึงรีบพูดเบี่ยงเบนความสนใจ “เม็ดกลมๆ ในนี้คืออะไรหรือ?”
“เมล็ดพันธุ์” เฟิ่งสือจิ่นมองใบหูสีแดงของอีกฝ่าย “ข้าแค่ขอให้เอาจดหมายไปส่งให้ เ้าเป็อะไรไปหรือ?”
หลิวอวิ๋นชูแย่งซองจดหมายมาจากเฟิ่งสือจิ่น แล้วยัดมันเข้าไปในหน้าอกของตนเอง “แค่เอาจดหมายไปส่งให้เท่านั้น ทำไมต้องใกล้ชิดกันขนาดนี้ด้วย หากมีคนที่ไม่รู้ อาจคิดว่าพวกเรากำลังทำอย่างอื่นอยู่ก็ได้...” เฟิ่งสือจิ่นกลอกตามองบนอย่างอดไม่ได้ “วางใจเถอะ ข้าไม่แอบอ่านจดหมายหรอก”
“ใครอ่านขอให้กลายเป็เต่าคอสั้น” หลิวอวิ๋นชูรีบหมุนตัวจากไปพร้อมกับจดหมาย เฟิ่งสือจิ่นถามไล่หลัง “นี่ ไหนบอกว่าจะกินอาหารเย็นด้วยกันไง ไม่กินแล้วหรือ?”
“เอาไว้วันหลังก็แล้วกัน!” หลิวอวิ๋นชูเดินกลับออกมาโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ใบหน้าร้อนผ่าวไปหมดแล้ว เมื่อเดินออกมาไกลเขาจึงค่อยๆ สงบลงอย่างช้าๆ เขายืนอยู่กลางถนน พลางตบหน้าผากตัวเองคล้ายเพิ่งนึกบางสิ่งขึ้นมาได้ “ให้ตายเถอะ นางจงใจทำให้ข้าสงสัยจนต้องตามมา เพราะอยากให้ข้าไปส่งจดหมายให้ั้แ่แรกแล้วสินะ! ประมาทเกินไปแล้ว!”
ทุกๆ ห้าวันวิทยาลัยหลวงจะมีวันหยุดหนึ่งวัน วันนี้เป็วันหยุด พอดีกับสวนดอกไม้ในวังบานสะพรั่งเต็มที่ ดอกไม้นานาชนิดเบ่งบานอย่างงดงาม ฮองเฮาจึงเชิญฮูหยินที่มีตำแหน่งเป็ท่านหญิง[1]จากจวนของขุนนางต่างๆ ไปร่วมชมบุปผาในพระราชวัง และฮูหยินของท่านโหวอันกั๋วเองก็เป็หนึ่งในนั้น
หลิวอวิ๋นชูไม่เคยสนใจเื่เหล่านี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ฮูหยินแห่งท่านโหวอันกั๋วจึงตกตะลึงเป็อย่างมากเมื่อเขาบอกว่าจะไปด้วย
ท่านผู้หญิงทั้งหลายล้วนพาคุณหนูวัยสาวผู้มีรูปโฉมงดงาม หรือคุณชายที่มีรูปร่างงามสง่าจากจวนของตนไปด้วย เมื่อเข้าไปในพระราชวัง หลิวอวิ๋นชูพบว่าคนไม่น้อยมีใบหน้าที่เขารู้สึกคุ้นเคย ซึ่งเคยเจอในวิทยาลัยหลวงบ่อยๆ บางที ฮองเฮาอาจเป็ผู้ที่ใส่ใจเื่ข่าวลือและความเคลื่อนไหวของคนทั้งหลายมาแต่เดิมแล้วก็ได้ นางเชิญฮูหยินทั้งหลายมาร่วมงาน จากนั้นก็ถามไถ่ว่าคุณหนูคุณชายทั้งหลายเป็คนของบ้านไหน หากเจอคนที่ถูกชะตาก็มักจะจับคู่ให้อยู่บ่อยครั้ง
หลิวอวิ๋นชูเจอกับซูเหลียนหรูอย่างเลี่ยงไม่ได้ ซูเหลียนหรูเป็องค์หญิงที่พระสนมเต๋อรักและโปรดปรานมากที่สุด วันนี้พระสนมเต๋อเกริ่นเื่ที่เกิดขึ้นในวิทยาลัยหลวงต่อหน้าฮองเฮาหลายครั้ง ฮูหยินแห่งท่านโหวอันกั๋วเป็ผู้ที่มีไหวพริบดีเยี่ยม เมื่อเห็นดังนั้นก็รีบให้หลิวอวิ๋นชูพูดขอโทษซูเหลียนหรู
ซูเหลียนหรูเชิดคางขึ้นสูงจนคางแทบจะชี้ฟ้าแล้ว
หลิวอวิ๋นชูบอก “มีแค่คนที่ทำผิดเท่านั้นที่ต้องขอโทษ เรียนถามองค์หญิง ข้าทำอะไรผิดหรือ?”
ซูเหลียนหรูกล่าว “เ้าใส่ร้ายว่าข้าขโมยสมบัติประจำตระกูลของเ้าไป”
หลิวอวิ๋นชูพูด “ข้าไม่ได้ใส่ร้าย แต่เื่นี้ถูกจับได้คาหนังคาเขา ตอนที่องค์หญิงยืนยันว่าเฟิ่งสือจิ่นขโมยสร้อยมุกไป เหตุการณ์ก็เป็เช่นเดียวกันไม่ใช่หรือ? วันนั้น หากข้าไม่จับมือขององค์หญิงเอาไว้อย่างเสียมารยาทเช่นนั้น คาดว่าองค์หญิงคงจะซ่อนหยกของข้าให้ลึกกว่าเดิมไปแล้ว ที่ทำเช่นนี้ ก็เพราะกลัวว่าข้าจะจับได้ไม่ใช่หรือ หากไม่ได้ร้อนตัวเพราะทำความผิด ทำไมไม่หยิบมันออกมาอย่างผ่าเผยล่ะ?”
ซูเหลียนหรูโกรธจนหน้าดำหน้าแดง โชคยังดีที่ฮูหยินกับคุณหนูทั้งหลายที่มางานชมบุปผาแยกกันชมดอกไม้เป็หลายกลุ่ม แถมที่นี่ก็ไม่ได้มีผู้คนมากมายอะไร อย่างไรเสียนี่ก็เป็เื่ที่ไม่งามและส่งผลเสียต่อชื่อเสียงได้โดยตรง จึงไม่ควรปล่อยให้เผยแพร่ออกไป แต่ถึงกระนั้น สีหน้าของพระสนมเต๋อก็ยังดูไม่ดีเลยสักนิด
ฮูหยินแห่งท่านโหวอันกั๋วเขกหัวของหลิวอวิ๋นชูแล้วแสร้งทำเป็โกรธ “ไร้สาระสิ้นดี หยกแขวนชิ้นนั้นก็เป็แค่ของที่ต้องมอบให้ภรรยาของเ้าในอนาคต หากองค์หญิงเจ็ดอยากได้ เ้าก็ต้องมอบให้องค์หญิงอย่างเต็มใจ! หาว่าองค์หญิงเจ็ดเป็ขโมยเพราะเื่แค่นี้ เ้าไม่มีสมองหรือไง?”
ฮองเฮาพูดระคนหัวเราะเพื่อคลายสถานการณ์ “ที่แท้สมบัติที่ว่าก็เป็ของที่ต้องส่งต่อให้ว่าที่ฮูหยินของท่านชายนี่เอง ไม่แน่ ที่ท่านชายพูดเช่นนี้ อาจเพราะมีความหมายอื่นแอบแฝงอยู่ก็ได้”
ซูเหลียนหรูพูดด้วยท่าทางดูถูกดูแคลน “ก็บอกไปแล้วไง ว่าต่อให้เ้าเอามาให้ข้า ข้าก็ไม่รับอยู่ดี!”
พระสนมเต๋อตำหนิ “หรูเอ๋อร์ อย่าเสียมารยาท”
เสียงหนึ่งพูดแทรกขึ้นมา “เื่ที่เกิดขึ้นในวิทยาลัยหลวง หม่อมชั้นก็ได้ยินมาบ้างเช่นกัน ได้ยินว่าั้แ่ที่ศิษย์เอกของท่านราชครูเข้าไปศึกษาในวิทยาลัย ที่นั่นก็เกิดเื่วุ่นวายขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
หลิวอวิ๋นชูมองไปตามเสียง พบว่าเ้าของเสียงเป็สตรีที่งดงามทว่าสำรวมคนหนึ่ง นางสวมชุดคลุมลายดอกโบตั๋นซึ่งปักด้วยด้ายทองคำ ประดับร่างกายด้วยของหรูหรา มีเครื่องสำอางประโคมจนเต็มใบหน้า ดูสูงส่งและเปี่ยมไปด้วยบารมี ที่ข้างกายนางมีหญิงสาวรูปโฉมงดงาม ซึ่งหน้าตาละม้ายคล้ายกับหญิงคนดังกล่าวเจ็ดถึงแปดส่วนเลยทีเดียว หญิงสาวคนนี้สวมชุดกระโปรงยาวสีม่วง ตกแต่งใบหน้าด้วยสีจัดจ้าน เล็บมือที่มีสีทาฉาบช่างดูโดดเด่นเหลือเกิน
หลิวอวิ๋นชูไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับเื่ในแวดวงชนชั้นสูง แต่ก็ยังรู้จักสองแม่ลูกตรงหน้าดี พวกนางก็คือฮูหยินแห่งท่านโหวหรงกั๋วกับคุณหนูคนโตของตระกูลเฟิ่ง เฟิ่งสือจาวนั่นเอง
เฟิ่งสือจาวพูดขึ้นอย่างใจเย็น ใบหน้าแต้มไปด้วยรอยยิ้มที่ดูเหมาะเจาะเข้ากัน “ย่อมเป็เช่นนั้นอยู่แล้ว เดิมทีนางก็เป็แค่เด็กบ้านนอกคนหนึ่ง จึงไร้มารยาท แถมยังไร้ยางอาย ไม่แน่ นางอาจหมายตาสร้อยมุกขององค์หญิงจึงแอบขโมยไป คิดไม่ถึงว่าเื่จะแดงขึ้นมา กิริยาและชื่อเสียงด่างพร้อยของนางหรือจะเทียบกับองค์หญิงเจ็ดได้ และก็ไม่ใช่เื่แปลกที่องค์หญิงเจ็ดจะไม่เห็นสมบัติประจำตระกูลของท่านชายหลิวอยู่ในสายตา”
.............................
[1] ท่านหญิง เป็ตำแหน่งที่พระราชสำนักแต่งตั้งให้ฮูหยินของขุนนางหรือผู้ที่มีผลงานบางคน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้