อวิ๋นจื่อตกอยู่ในภวังค์ชั่วขณะ
นางกำลังพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ทันใดนั้นลูกธนูก็พุ่งมาที่นางพร้อมกับเสียงลมหวีดหวิว
นางหลบโดยสัญชาตญาณ
“ในที่สุดเ้าก็ตื่นแล้ว” เสียงของซูเจินแ่เบา ปราศจากอารมณ์ใดๆ เจือปน
ปรากฏว่าทุกอย่างเป็เพียงความฝัน
ช่างเป็ความฝันที่เหมือนจริงเหลือเกิน กลิ่นหอมสดชื่นของทุ่งหญ้าเขียวขจีดูเหมือนจะยังอบอวลอยู่ในรูจมูก แล้ววิหารในูเาจิ่วอี๋มาอยู่ในความฝันของนางได้อย่างไร?
ความฝันนี้ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย
“ซูเจิน ข้าอยากรู้ว่าเคยมีาเกิดขึ้นใกล้ๆ ูเาจิ่วอี๋หรือไม่?”
“าหรือ?” ซูเจินถามย้ำด้วยความประหลาดใจ “ดูเหมือนจะไม่มีนะ”
“ถ้าอย่างนั้นเสด็จอาเคยไปทีู่เาจิ่วอี๋หรือไม่?” นางจงใจไม่พูดถึงวิหาร
‘แน่นอนว่าเขาย่อมเคยไปทีู่เาจิ่วอี๋ เพราะมันเป็สถานที่ที่เทพธิดาอวี้เหอสอนวิชากระบี่ให้เขา’ ซูเจินคิด แต่เขาไม่กล่าวอะไร
ซูเจินสงสัยว่าดูเหมือนอวิ๋นจื่อจะมีบางอย่างอยู่ในใจ
ซูเจินตัดสินใจกล่าวว่า “ข้าไม่รู้เลย เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
อวิ๋นจื่อส่ายหน้าเบาๆ “ไม่มีอะไร แค่จู่ๆ ข้าก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ แต่มันเป็เื่เล็กน้อย ดังนั้นอย่าใส่ใจเลย” หลังจากกล่าวจบนางก็เปลี่ยนเื่ “ข้าหลับไปนานแค่ไหน?”
ซูเจินตอบว่า “ดูเหมือนจะเกือบชั่วยามแล้ว เหตุใดเราไม่เริ่มออกเดินทางล่ะ?”
อวิ๋นจื่อมองไปรอบๆ และเห็นว่าดวงจันทร์ยังคงส่องแสงอยู่บนท้องฟ้า นางจึงกล่าวว่า “พักก่อนเถิด ฟ้ายังไม่สว่างและเ้ายังไม่ได้พักผ่อนมากนัก อีกอย่างเราอยู่ในป่าลึก เ้าน่าจะรู้ดีกว่าข้าว่าข้างหน้ามีอันตรายมากมายเพียงใด”
“แต่เ้ารู้วิชากระบี่” ซูเจินกล่าว “เ้ารู้หรือไม่ว่านั่นหมายถึงอะไร?”
“อย่างไรหรือ?” อวิ๋นจื่อถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“มันหมายถึงความไม่เกรงกลัว” ซูเจินกล่าวอย่างเคร่งขรึม
อวิ๋นจื่อเม้มปากแล้วกล่าวว่า “นั่นเป็เพียงสิ่งที่เ้าคิด ต่อให้รู้วิชากระบี่ก็เป็เพียงมนุษย์เท่านั้น และแน่นอนว่ามนุษย์ย่อมมีเืเนื้อและรักชีวิตของตนเอง”
ซูเจินยิ้มบางๆ “อันที่จริงนี่เป็คำกล่าวของท่านลุงอวิ๋นเซียว ข้าเพียงหยิบยืมคำกล่าวของเขามาเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรเราต้องเริ่มออกเดินทางั้แ่ตอนนี้”
อวิ๋นจื่อกล่าวว่า “ข้ายังไม่อยากตายนะ”
“แต่เราต้องเริ่มออกเดินทางได้แล้ว” ซูเจินกล่าวอย่างเ็า
“เหตุใดถึงได้เร่งรีบขนาดนั้น?” หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
ซูเจินถามกลับว่า “เ้าไม่ได้ยินจริงๆ หรือ?”
หลังจากกล่าวจบซูเจินก็บอกให้อวิ๋นจื่อเอาหูแนบไปที่พื้นดินบริเวณข้างกองไฟ
เมื่อใบหูของหญิงสาวแนบกับพื้นดินที่ปกคลุมด้วยหญ้า นางก็ได้ยินเสียงดังกึกก้องจนทำให้แก้วหูของนางสั่น
เสียงเกือกม้า!
ดูเหมือนว่าผู้คนจำนวนมากกำลังตรงมาทางนี้
ใครกันที่้าสังหารนางและซูเจิน?
หรือจะเป็เย่เหยียน?
หัวใจของอวิ๋นจื่อเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
บางทีเส้นทางที่นาง้าเดินหน้าไปซึ่งเป็เส้นทางที่นางเลือกแล้วอาจมีขวากหนามมากกว่าที่คิด
ไม่มีใครล่วงรู้อนาคต และอวิ๋นจื่อก็ไม่มีทางเลือก
ได้เวลาต้องไปแล้ว
อวิ๋นจื่อไม่กล่าวอะไรสักคำ นางรีบลุกขึ้นยืนและดับไฟทันที จากนั้นนางก็ใช้ประโยชน์จากแสงสลัวๆ ของดวงจันทร์ในการเด็ดหญ้ามาโปรยไว้บนกองไฟที่ถูกดับไปแล้ว พื้นที่โดยรอบถูกกลบเกลื่อนร่องรอยราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
จากนั้นนางก็กล่าวว่า “ไปกันเถอะ!”
อวิ๋นจื่อปล่อยให้ซูเจินเดินนำโดยไม่กล่าวอะไร ทั้งคู่เดินลึกเข้าไปในป่า เท้าเหยียบลงบนพื้นหญ้าเขียวขจี ส่วนเสื้อผ้าก็ปกคลุมไปด้วยน้ำค้าง
...
ณ จวนอ๋องอวิ๋นเมิ่ง
อารมณ์ของเย่เช่อย่ำแย่มาก
ฮั่วฉีอวี่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ดูไม่ต่างกันนัก
พวกเขาเพิ่งได้รับข่าวจากชายแดนฮ่วยซัว
ข่าวที่ว่าก็คือแม่ทัพเจิ้นหนานได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน
ข่าวนี้ย่อมไม่ใช่เื่แปลก เพราะการเกิด แก่ เจ็บ ตายถือเป็ธรรมชาติของมนุษย์
แต่ที่น่ากังวลคือ มันเกิดขึ้นเร็วเกินไป
เร็วจนพวกเขาตั้งตัวไม่ทัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเย่เช่อ เขาไม่พร้อมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้
อย่างน้อยถ้าท่านตาอยู่ เขาก็ยังพอเอาตัวรอดไปได้อีกสักระยะ
มันเกิดขึ้นเร็วจริงๆ
ตอนนี้แม้แต่ซูเจินก็ยังเดินทางมาไม่ถึงเมืองอวิ๋นเมิ่ง
เย่เช่อรู้สึกกระวนกระวายมาก
“เย่เช่อ ข้าเดาว่าใครบางคนเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว” จู่ๆ ฮั่วฉีอวี่ก็วางถ้วยชาลงและกล่าวเสียงดัง
“อย่างไร?” เย่เช่อขมวดคิ้วและชำเลืองมองอีกฝ่าย
ความสามารถในการเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่าย้าจะสื่อโดยไม่ต้องอธิบายดูเหมือนจะหายไปในความสัมพันธ์ระหว่างเย่เช่อกับฮั่วฉีอวี่
แต่ทั้งคู่กลับไม่ทันสังเกตเื่นี้
“เมื่อสองวันก่อนท่านปู่ส่งจดหมายมาให้ข้า” ฮั่วฉีอวี่หยิบจดหมายออกจากแขนเสื้อขณะกล่าว
“เ้าลองดูสิ” ฮั่วฉีอวี่ยื่นจดหมายให้เย่เช่อ
เย่เช่อเปิดออกอย่างรวดเร็ว ไม่มีตราประทับบนจดหมาย มีเพียงตัวอักษรที่เขียนเนื้อเพลงเมฆหมอกเหนือลำน้ำเซียวเซียงเอาไว้
เย่เช่อรู้สึกงุนงง เขาถามว่า “นี่คือจดหมายจากท่านตาจริงหรือ? มีบางอย่างที่เรามองข้ามไปหรือไม่?”
ฮั่วฉีอวี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่น่ามี โดยปกติแล้วข้าจะได้รับจดหมายจากท่านปู่ทุกเดือน แต่จดหมายนี้มาถึงเร็วกว่ากำหนดถึงสามวัน และข้าก็ได้รับข่าวร้ายในคืนนี้ พรุ่งนี้เช้าวังหลวงก็คงจะได้รับข่าว”
เย่เช่อครุ่นคิดก่อนจะกล่าวว่า “เ้ายังจำได้หรือไม่ว่าท่านอ๋องไม่มีนิสัยชอบดื่มสุรา?”
ฮั่วฉีอวี่พยักหน้า “แน่นอน ข้าย่อมจำได้ แล้วเพลงนี้เกี่ยวข้องกับนิสัยของเขาอย่างไร?”
เย่เช่อยิ้มและกล่าวว่า “ลองใช้สุราของเ้าตรวจสอบดูก่อน”
ฮั่วฉีอวี่รู้สึกงุนงง แต่เขาก็หยิบขวดสุราขนาดเล็กที่พกมาด้วยออกมาและโยนมันให้เย่เช่อ
เย่เช่อเทสุราลงบนจดหมาย
ทันใดนั้นตัวอักษรทั้งหมดก็เลือนหายไป
จดหมายในมือของเย่เช่อกลายเป็กระดาษเปล่า
กระดาษสีขาวดุจผีเสื้อแสงดูเหมือนจะร่วงหล่นหรือแตกสลายได้ทุกเมื่อ
เย่เช่อรีบนำมันไปจ่อใกล้ตะเกียง มันค่อยๆ แห้งลงเมื่อโดนความร้อน
จู่ๆ ก็มีเส้นสีน้ำเงินเลื้อยไปมาอยู่บนกระดาษ
ไม่นานเส้นสีน้ำเงินก็แปรเปลี่ยนเป็ตัวอักษรเล็กๆ สีน้ำเงินที่มีใจความดังนี้
“องค์ชายเย่เหยียนส่งคนมาจับตาดูข้า ข้าเกรงว่าจะมีเื่ไม่ดีเกิดขึ้น ดังนั้นระวังตัวด้วย”
ประโยคดังกล่าวทำให้พวกเขาใ
“เหตุใดเขาถึงทำเช่นนี้?” เป็ฮั่วฉีอวี่ที่กล่าวออกมาก่อน
ใบหน้าของเย่เช่อสงบนิ่ง เขาจ่อจดหมายไปที่เปลวไฟและเผามันทิ้ง
เขาไม่กล่าวอะไรสักคำ ฮั่วฉีอวี่ก็เช่นกัน
ในห้องมีเพียงความเงียบ
หลังจากเงียบไปนานเย่เช่อก็กล่าวขึ้นว่า “ข้าได้กลิ่นไม่ดี เ้าเด็กเย่เหยียนนั่นต้องเลี้ยงมือสังหารฝีมือดีเอาไว้แน่”
จะมีเื่ใดเกิดขึ้นกับปี้เหยียนหรือไม่?
ตอนนี้นางกำลังเดินทางมายังเมืองอวิ๋นเมิ่งใช่หรือไม่?
จู่ๆ เขาก็รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา
เย่เช่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ฟังนะ เ้าหาวิธีจัดการกับสนมซู ข้าจะให้นางชดใช้ในสิ่งที่บุตรชายของนางก่อไว้”
ฮั่วฉีอวี่พยักหน้า “ข้าจะจัดการเอง แต่เ้ามีเื่อยากบอกข้าหรือไม่?”
เย่เช่อมองไปยังตะเกียงที่วางอยู่ในห้องก่อนจะกล่าวว่า “จากนี้เ้าจะกลายเป็แม่ทัพเจิ้นหนานแล้ว ิเจี๋ยเ้าต้องเด็ดขาดและมั่นคงกว่านี้”
ความสามารถในการเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่าย้าจะสื่อโดยไม่ต้องอธิบายดูเหมือนว่าจะกลับมาแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้