พอกลับเมืองหลวง หนีเจียเอ๋อร์ก็ไปที่จวนสกุลโจวทุกวัน เพื่อคัดลอกภาพวาดต่อ
หลังผ่านการแก้ไขไปหลายรอบ ในที่สุด ภาพวาดที่เหมือนต้นฉบับจริงก็เสร็จสมบูรณ์ โจวชิงหวาลากนิ้วไปบนรูป จากนั้นก็หันมามองหน้าหญิงสาว สายตาคมเข้มของเขาเปล่งประกายกว่าปกติ “ภาพวาดชิ้นนี้ บอกได้เลยว่าเป็ผลงานที่เกิดจากพร์”
ใบหน้าของหญิงสาวเห่อร้อน “พร์หรือ? หากอาจารย์ที่สอนเ้ามาเห็นเข้า เ้าคงไม่พ้นโดนเขกหัวสักทีสองที”
หลังปล่อยให้หมึกบนภาพแห้งสนิท ชายหนุ่มก็ค่อยๆ ม้วนกระดาษอย่างระมัดระวัง และใส่ลงไปในกล่องเก็บภาพโดยเฉพาะ จากนั้นก็หยิบกล่องผ้าออกมาจากลิ้นชัก แล้วเดินไปตรงหน้าอีกฝ่าย
ยามที่แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในห้องหนังสือ ตกกระทบกล่องใบนั้น ช่างดูงดงามระยิบระยับยิ่งนัก จนหนีเจียเอ๋อร์อดหลุบตาลงไปมองมิได้
โจวชิงหวาจึงเอ่ย “เปิดดูสิ!”
หนีเจียเอ๋อร์เหลือบมองด้วยความสงสัย ค่อยๆ เปิดกล่องออก แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ภายใน สายตาของนางไล่ไปตามไข่มุกและหยกอันแวววาว
ปิ่นปักผมในกล่อง ดูงดงามและหรูหรายิ่งกว่าที่สวีเพ่ยหรานเคยมอบให้ในวันนั้น ด้วยพู่ประดับมุกอันสุกใสแวววาว และวิหคซึ่งสลักเสลาได้สมจริง ราวกับกำลังกางปีกเตรียมโผบิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่ฝังอยู่ในลูกตา ที่ไม่รู้ว่าเป็ไข่มุกหรือหยกดำนั้น ช่างเปล่งประกายดั่งมีชีวิต
“ปิ่นปักผมเล่มนี้ ช่างงดงามยิ่งนัก” หนีเจียเอ๋อร์เอื้อมมือไปัั แต่โจวชิงหวากลับรั้งออกมา ไม่ยอมให้แตะต้องได้ง่ายๆ
“ข้าเลือกได้ดีหรือไม่?” ชายหนุ่มยืดอก ด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
หญิงสาวลุกขึ้น พยายามเอื้อมมือไปคว้ากล่อง แต่จนใจที่อีกฝ่ายสูงกว่า ไม่ว่าจะเขย่งเท้าอย่างไรก็ไม่ถึง นางเลิกคิ้ว จ้องตาคนขี้แกล้งด้วยความไม่พอใจ “เ้าจะให้หรือไม่ ถ้าไม่ให้ ก็นำกลับไป” เมื่อเห็นว่าเขาไม่ขยับ หนีเจียเอ๋อร์จึงหันหลังให้ทันที
“ดูเหมือนเ้าจะมั่นใจมาก ว่ามันเป็ของตัวเอง?” โจวชิงหวาเดินมาอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทีเคร่งขรึม
หญิงสาวยืนนิ่ง “ข้าช่วยคัดลอกภาพวาดมาหลายวัน เ้าก็น่าจะมีอะไรตอบแทนบ้างสิ นอกจากนี้ หากเ้าจะมอบมันให้ใครสักคน จะมีผู้ใดอีก นอกจากข้า”
ชายหนุ่มหยิบปิ่นปักผมออกมา “เ้าอยากได้จริงๆ หรือ?”
หนีเจียเอ๋อร์พยักหน้าโดยไม่ลังเล “ใช่!”
“เดิมที ข้าจะเก็บไว้เป็ของขวัญฮูหยินในอนาคต แต่เมื่อเ้าอยากได้ ข้าก็จะให้”
โจวชิงหวาถอดปิ่นหยกออกจากมวยผมของนาง แล้วปักปิ่นทองคำเข้าไปแทน จากนั้น ก็หันไปกระซิบชื่นชมอย่างแ่เบา “งดงามมาก”
หนีเจียเอ๋อร์แตะปิ่นปักผมอันใหม่ “เ้ามีเงินตั้งมากมาย จะซื้อปิ่นปักผมอีกสองสามเล่มก็คงมิได้ลำบากอันใด นี่ก็สายแล้ว ข้าขอตัวก่อน”
“แล้วเจอกัน” ชายหนุ่มตามมาติดๆ
...
รุ่งขึ้นเป็วันเกิดของเว่ยอี๋เหนียง แต่เพราะสุขภาพของนางไม่ค่อยจะดีนัก จึงจัดงานเลี้ยงในครอบครัวอย่างเรียบง่าย เชื้อเชิญเพียงคนสนิทเท่านั้น ทั้งสวีเพ่ยหรานและโจวชิงหวา ต่างก็ได้รับเชิญมาร่วมงานเช่นเดียวกัน
พอหนีจวิ้นหว่านรู้ว่าสวีเพ่ยหรานกำลังจะมาถึง ก็ออกไปรอต้อนรับที่นอกจวนด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
หญิงสาวสวมชุดสีชมพูอ่อน เอวบางคาดด้วยผ้าลายเมฆมงคล ประดับผมด้วยปิ่นสีทอง ใบหน้าอันงดงามดั่งดอกไม้บาน เปื้อนรอยยิ้มอ่อนหวาน
ไม่นาน รถม้าของตระกูลสวีก็มาถึง คนขับเปิดประตู เผยให้เห็นร่างของสวีเพ่ยหราน ผู้เปรียบเสมือนสายลมและแสงจันทร์ ซึ่งก้าวลงจากรถพร้อมภาพวาดในมือ
หนีจวิ้นหว่านก้าวไปข้างหน้าด้วยท่าทีเขินอาย พลางกล่าวทักทาย “ท่านพี่หราน ท่านมาแล้ว”
“หืม?” สวีเพ่ยหรานมองไปยังประตูที่เปิดอยู่ ด้วยความสับสนเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถาม “เสี่ยวเอ๋อร์ยุ่งอยู่หรือ?”
วันดีๆ เช่นนี้ หนีเจียเอ๋อร์น่าจะเป็ผู้มาต้อนรับเขา มิใช่หรือ?
หนีจวิ้นหว่านตอบว่า “ข้ามิใช่นาง แล้วจะไปรู้ได้อย่างไร?”
หญิงสาวคิดว่าโชคดีที่ตนมารอรับเขาก่อน แต่ทันทีที่เหยียบย่างลงบนพื้นหน้าจวน อีกฝ่ายกลับถามหาหนีเจียเอ๋อร์เสียนี่... น่าหงุดหงิดนัก!
ช่างประจวบเหมาะอะไรเช่นนี้ เพราะตอนนั้นเอง โจวชิงหวากับหนีเจียเอ๋อร์ก็เดินผ่านมาพอดี
สวีเพ่ยหรานจึงเข้าไปทักทายด้วยรอยยิ้ม
หนีจวิ้นหว่านหน้าเสีย เลือกที่จะหันหลังจากไปอย่างไม่พอใจ แม้จะไม่ชอบหน้าน้องสาวผู้นี้นัก แต่อย่างไรเสีย พวกเขาก็ยังอยู่ที่หน้าจวน หากแสดงกิริยาไม่เหมาะสม ย่อมทำให้สกุลหนีเสียหน้า
“พี่หญิงคงจะไม่พอใจที่คุณชายสวีเมินเฉย อย่าไปถือสาเลย นางก็เป็เช่นนี้แหละ” หนีเจียเอ๋อร์เอ่ย
โจวชิงหวาจึงกล่าวอย่างเฉยชา “หึ... เช่นนั้นหรือ?”
ขณะที่หนีเจียเอ๋อร์กำลังจะตอกกลับ สวีเพ่ยหรานก็เข้ามาใกล้ พวกเขาจึงทักทายกันอย่างสนิทสนม แล้วเดินเข้าไปในจวนพร้อมกัน
นายท่านสกุลหนี ฮูหยินสกุลหนี และเว่ยอี๋เหนียง กำลังดื่มชาอยู่ในห้องโถงใหญ่
หลังจากทั้งสามเข้าไปทำความเคารพผู้าุโทีละคนแล้ว นายท่านสกุลหนีก็กล่าวต้อนรับและขอบคุณสองสามคำ จากนั้นจึงเชิญให้พวกเขานั่งดื่มชา
ก่อนที่หนีจวิ้นหว่านจะมา บรรยากาศในห้องโถงใหญ่ยังเป็ไปอย่างชื่นมื่น แต่เมื่อนางก้าวเข้ามา ก็โพล่งถามขึ้นว่า “น้องหญิง นี่คือเห็ดหลินจือพันปีจริงๆ หรือเป็ของปลอมที่เอาไว้หลอกเว่ยอี๋เหนียง?”
หนีเจียเอ๋อร์ชั่งน้ำหนักเห็ดในมือ “หากจะเป็ของปลอม ก็คงเป็เพราะมีใครสับเปลี่ยนมัน...”
ขณะที่หนีจวิ้นหว่านกำลังจะอ้าปาก ก็พบว่ามีสายตาหลายคู่มองไปยังน้องสาว... ช่างดูแตกต่างจากนาง ผู้เป็พี่สาว ซึ่งดูคล้ายแจกันดอกไม้ที่ถูกจัดวางไว้อย่างส่งๆ ยิ่งนัก
สวีซื่อรู้สึกว่าใบหน้าของเว่ยอี๋เหนียงดูพึงพอใจ เมื่อบุตรสาวของตนถูกเปรียบเทียบกับบุตรสาวของนาง สายตาที่ตวัดไปยังหนีเจียเอ๋อร์ จึงวาววับไม่ต่างจากคมมีด
วันนี้หญิงสาวสวมชุดสีแดงสดใส แต่งหน้าพอเหมาะพอเจาะชวนหลงใหล ทุกย่างก้าวของนาง ส่งผลให้พู่ไข่มุกบนปิ่นปักผมสั่นไหวเป็ระลอก ไม่ต่างใช้ร่างแสดงงานศิลป์
สวีเพ่ยหรานเบิกตากว้าง เมื่อนึกไปถึงภาพที่นางปฏิเสธปิ่นปักผมของเขาในวันนั้น ก็ยิ่งรู้สึกหดหู่
พอเห็นเช่นนั้น หนีจวิ้นหว่านก็แสร้งทำเป็อิจฉา แล้วถามว่า “น้องหญิง ปิ่นของเ้างดงามนัก คุณชายโจวมอบให้หรือ? เ้าคงจะทราบกระมัง ว่าเครื่องประดับผมเช่นนี้ เป็ที่ดึงดูดสายตาผู้คน”
หนีเจียเอ๋อร์ยิ้มอย่างมีมารยาท “ข้าทำประโยชน์ให้เขาไม่น้อย จึงได้รับปิ่นเป็สินน้ำใจ นี่เป็การแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรม จริงหรือไม่ คุณชายโจว?”
แต่โจวชิงหวาเพียงยิ้มบางๆ พลางจิบชาอย่างสบายอารมณ์
ทว่า ใบหน้าของสวีเพ่ยหรานเปลี่ยนไปทันที และซดสุราไปหลายจอก
นายท่านสกุลหนีมองหนีจวิ้นหว่านที่กำลังอยู่ในโทสะ แววตาของนาง ดูจะคล้ายมารดามากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเห็นท่าทีแปลกๆ ของทุกคน หญิงสาวก็อดรำคาญใจมิได้ ไม่เข้าใจเลย ว่าหนีเจียเอ๋อร์ดีกว่าตนตรงไหน เหตุใดพวกเขาจึงเอาแต่ปกป้องนางอยู่ได้
หลิวอวี้เดินเข้ามาพร้อมถาดขนมในมือ แล้วพูดว่า “คุณหนูใหญ่ บ่าวนำขนมที่ท่านทำมาแล้วเ้าค่ะ”
หนีจวิ้นหว่านทำเอง? ใครจะไปเชื่อ!
แต่ไม่ว่าผู้อื่นจะคิดอย่างไร นางก็ยังยื่นมือไปรับถาดมา พลางกล่าว “ออกไปได้”
จากนั้น ก็เดินตรงไปหาเว่ยอี๋เหนียง “อี๋เหนียง นี่เป็ครั้งแรกที่หว่านเอ๋อร์ลองทำดู หากรสชาติไม่ดี โปรดอย่าถือสานะเ้าคะ”
“คุณหนูมีพร์ ทั้งๆ ที่ทำเป็ครั้งแรก กลับดูสวยงามถึงเพียงนี้ ใครได้ชิม คงจะมีความสุขยิ่งนัก” เว่ยอี๋เหนียงรับขนมมาแบ่งให้แขกแต่ละคน
เมื่อถึงคราวของโจวชิงหวา เขากลับเอ่ยขึ้นว่า “เกรงว่าข้าคงจะไม่มีลาภปากแล้ว”
เว่ยอี๋เหนียงคลี่ยิ้ม “ข้าช่างเลอะเลือนนัก ลืมไปว่าชิงหวาของเราไม่ชอบของหวาน”
นางแบ่งขนมให้ทุกคนตามธรรมเนียม แต่หนีจวิ้นหว่านกลับถือถาดขนมด้วยความกังวล
หลังจากทุกคนได้ขนมครบแล้ว ก็ถึงคราวของหนีเจียเอ๋อร์มอบของขวัญให้เว่ยอี๋เหนียงบ้าง นางยื่นกล่องเห็ดหลินจือพันปีออกไป พร้อมกล่าวอวยพร “อี๋เหนียง ขอให้ท่านสุขภาพแข็งแรง และมีความสุขมากๆ!”
เว่ยอี๋เหนียงรับมา แล้วลูบศีรษะอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู “เด็กน้อย เ้ามีน้ำใจถึงขนาดดั้นด้นไปเมืองฝูกับชิงหวา เพื่อนำมันมา ข้าดีใจนัก”
พอได้ยินเช่นนั้น สวีเพ่ยหรานพลันเงยหน้าขึ้นมามองเห็ดหลินจือ ด้วยดวงตาที่ยิ่งมืดครึ้ม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้