บทที่ 19 เมืองเทียนตูเซียน
ความรวดเร็วของการบำเพ็ญเพียรที่น่ากลัวเช่นนี้ แม้แต่ลู่อวี่เองยังประหลาดใจไม่น้อย
ตอนนี้ลู่อวี่ได้เข้าสู่่ปลายของขั้นพลังจิตแล้ว เนื่องจากรู้แจ้งเห็นจริงอย่างกะทันหัน ไม่เพียงแต่ได้พบเส้นทางการบำเพ็ญเพียรที่ชัดเจนเท่านั้น แต่ยังตระหนักรู้อีกมาก ใช้เวลาเพียง่ระยะเวลาหนึ่งในการบำเพ็ญเพียรเท่านั้น หากสามารถปล่อยวางได้ ก็จะสามารถเข้าถึงขั้นฟันฝ่าได้อีกในไม่ช้า
แน่นอนว่า ลู่อวี่ไม่มีทางคิดทำหุนหันพลันแล่นเช่นนั้นแน่ ผลประโยชน์ที่ได้รับจากการรู้แจ้งเห็นจริงยังไม่ได้ถูกดูดซับอย่างเต็มที่ ยังมีเคล็ดวิชาและพลังจิตอีกมากที่ยังไม่ได้ฝึกฝน การเร่งบรรลุขั้นพลังยุทธ์เช่นนั้น ไม่ได้ส่งผลดีต่อตนเองมากนัก หลังจากกลับชาติมาเกิดใหม่ เขาจะต้องวางรากฐานที่ดี โดยอาศัยความทรงจำและความเข้าใจในชาติก่อน ขั้นฟันฝ่าเป็เพียงเงื่อนไขหนึ่งในชีวิตอยู่ที่ว่าเขาจะพร้อมเมื่อไร ดังนั้นจึงไม่จำเป็ต้องเร่งรีบ
เมื่อปลงกับเื่เหล่านี้แล้ว ลู่อวี่ถึงได้ลุกขึ้นมานั่งบนเตียง
กลับชาติมาเกิดใหม่ก็นานแล้ว แต่ยังยุ่งอยู่ตลอดเวลา ทำให้เข้าใจเื่ราวในโลกนี้ที่ติดอยู่ในความทรงจำของเ้าของร่างคนก่อน ก่อนหน้านั้นยังเป็เพียงเด็กหนุ่มจอมเสเพลที่พลังยุทธ์ในขั้นหลอมร่างระดับสามคนหนึ่งเท่านั้น สิ่งที่รู้และได้เห็นมาจึงมีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้นน่าจะอาศัยโอกาสในตอนนี้ที่ว่างจากการฝึกบำเพ็ญเพียร อีกทั้งเื่การฝึกฝนกลับยังไม่ต้องรีบร้อน สู้ออกไปดูโลกภายนอกจะดีกว่า
เมื่อมีความคิดเช่นนี้แล้ว ลู่อวี่ก็รีบทำความสะอาดร่างกายและแต่งตัว แม้จะดูแก่แดดไม่น้อย แต่ความเคยชินเช่นนี้ไม่ได้มาจากชาติที่แล้ว แต่ได้รับการสืบทอดต่อมาจากร่างนี้ต่างหาก เหมือนว่าหากไม่ทำเช่นนี้แล้วก็จะรู้สึกไม่สบายตัว ยิ่งไปกว่านั้น นี่ก็ถือเป็ความเคยชินที่ดีอย่างหนึ่งของร่างที่จำกัดนี้ เขาจึงปล่อยเลยตามเลย เพราะไม่นับว่าเป็เื่เสียเวลาอะไร
หลังจากฝึกบำเพ็ญเพียรจนเข้าสู่่ปลายขั้นพลังจิต พลังลมปราณของเขาก็ก้าวะโเพิ่มขึ้นสามเท่าในทันที สภาพร่างกายก็เปลี่ยนไปมาก ลู่อวี่ผู้นั้นเมื่อหลายวันก่อน ยังคงทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเป็เพียงคุณชายเ้าสำอางในโลกมนุษย์ผู้หนึ่ง แต่ตอนนี้เขากลับมีกลิ่นอายของผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรที่สง่างาม
“มีใครอยู่หรือไม่!” ลู่อวี่ยืนครุ่นคิดอยู่ที่ลานกลางจวนอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเรียกคนเข้ามาหา
ที่นอกประตูลานกลางจวนมีบุรุษผู้หนึ่งรูปร่างหน้าตาดี คล้ายกับมีอายุอานามเพียงยี่สิบปีเดินเข้ามาหา ดวงตาที่สดใสแสดงให้เห็นถึงความฉลาดหลักแหลม เขาโค้งคำนับและพูดด้วยน้ำเสียงแสดงความเคารพ "ข้าน้อยลู่เสียง ไม่ทราบว่านายน้อย้าสิ่งใดหรือขอรับ?”
ที่พักของลู่อวี่มีองครักษ์ป้องกันภัยน้อยที่สุดเพราะเขาชอบความเงียบสงบ แต่องครักษ์ป้องกันภัยที่นี่ล้วนเป็คนที่มีผลงานยอดเยี่ยมที่สุดในตระกูลลู่ และได้รับการตรวจสอบพลังยุทธ์รวมถึงอุปนิสัยหลายครั้ง แม้ว่าพวกเขาแต่ละคนจะยังดูเด็ก แต่จริงๆ แล้วแม้แต่คนที่อายุน้อยที่สุดก็มีอายุเกือบสี่สิบปีแล้ว เพียงแต่ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรยังคงดูอ่อนเยาว์ ดังนั้นถึงดูเหมือนคนหนุ่มอยู่เสมอ
ในเวลาเดียวกัน หลังจากฐานะคนปรุงโอสถขั้นห้าของลู่อวี่ได้รับการยืนยันแล้ว การดูแลเฝ้ายามประตูให้นายน้อยจึงกลายเป็งานที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในตระกูลลู่ ขอเพียงดูแลรับใช้ให้ดี ไม่แน่วันใดที่นายน้อยอารมณ์ดีแล้วเกิดมอบยาอายุวัฒนะให้เป็รางวัลสักเม็ด ก็นับว่ามากพอแล้วที่จะให้พวกเขาบรรลุขั้นพลังได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
“อ้อ ข้าอยากจะออกไปเดินเล่นเสียหน่อย เ้าไปเรียกคนให้ตามไปด้วยสักสองสามคนเถอะ!” เดิมทีลู่อวี่ไม่ชอบให้ใครติดตามเขา แต่เขายังใหม่มากสำหรับโลกนี้ ทั้งยัง้าคำแนะนำอยู่บ้าง อีกอย่างเขาเพิ่งทำให้อัจฉริยะของตระกูลเมิ่งได้รับาเ็สาหัส คนทางนั้นอาจจะจัดการกับเขาอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้ แต่หากใช้วิธีการลอบทำบางอย่างลับๆ เล่า และแม้ว่าเขาจะสามารถรับมือได้แต่ก็คงจะยุ่งยากไม่น้อย ดังนั้นหากมีคนอยู่ข้างกาย ก็ค่อยดูมีอะไรบางอย่างมาคอยรับประกันเสียหน่อย
ลู่เสียงได้ยินเช่นนั้นก็ทั้งใและดีใจ เพราะคิดไม่ถึงว่าวันนี้นายน้อยจะว่างออกไปข้างนอกแล้วให้ตนเองติดสอยห้อยตามไปด้วย นี่ถือเป็โอกาสที่ดีที่สุดที่จะได้กระชับความสัมพันธ์กับนายน้อยให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
จึงรีบตอบรับแล้วออกไปเรียกคนมาทันที
เพียงครู่เดียว ลู่เสียงก็นำคนสามคนเข้ามา พวกเขาทั้งหมดดูเหมือนจะมีขั้นพลังยุทธ์ระดับเดียวกันกับลู่เสียง
คนทั้งสามตรงหน้ามีชื่อว่าลู่ปิน ลู่หนาน และลู่หง ทั้งหมดมีอายุไล่เลี่ยกับลู่เสียง และเป็เด็กที่โดดเด่นที่สุดที่ได้รับการคัดเลือกจากสายเืของตระกูลลู่ที่แตกสายออกไป เมื่อพวกเขาเห็นนายน้อยอยู่ตรงหน้า ทั้งหมดก็เข้ามาโค้งคำนับด้วยความเคารพ การวางตัวดีเช่นนี้ทำให้ลู่อวี่ค่อนข้างพอใจ
ลู่อวี่พยักหน้า โบกมือขึ้นและกล่าวว่า “ไปกันเถอะ พวกเราไปที่เมืองเทียนตูเซียนกันก่อน!”
พูดแล้วก็ปล่อยอาวุธวิเศษที่เหาะเหินได้ออกมา มันคือเรือแสงตัดเมฆา์อีกลำหนึ่ง ก่อนจะเรียกองครักษ์ทั้งสี่ขึ้นมา
อาวุธวิเศษชิ้นนี้ถูกเลือกมาจากคลังสมบัติของตระกูลลู่ แต่ความเร็วนั้นเชื่องช้ากว่าเรือแสงตัดเมฆา์ที่เคยนั่งเมื่อครั้งที่แล้วยิ่งนัก เพราะลำหนึ่งเป็อาวุธวิเศษและอีกลำหนึ่งเป็อาวุธเวท จึงแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่ไม่ว่าอย่างไร มันก็เร็วกว่าที่ ลู่อวี่เหาะเหินเดินอากาศไปเอง
แม้ว่าตอนนี้เขาเพิ่งจะบรรลุขั้นพลังยุทธ์ แต่ขั้นพลังจิตก็คือขั้นพลังจิต ยังมีอีหลายขั้นตอนที่ยังใช้การไม่ได้ แม้ว่าจะไม่เห็นผลการใช้ที่ชัดเจนมากนัก แต่ในทางกลับกันมันอาจจะก่อให้เกิดอันตรายและเป็ภัยต่อตนเองได้
เมืองเทียนตูเซียน เป็เมืองอันดับหนึ่งในเก้าเมืองของโลกบำเพ็ญเพียรในเทียนตู เป็ส่วนหนึ่งของ “ตำหนักมหาเทพ” ที่ถือเป็มหาอำนาจในโลกบำเพ็ญเพียรในเทียนตู ว่ากันว่าตำหนักมหาเทพนั้นมีมหาเทพผู้หนึ่งนั่งบัญชาการอยู่ ทั้งยังมีพลังยุทธ์อยู่ในขั้น์ มหาเทพถือเป็ตำแหน่งอันทรงเกียรติที่นักพรตในเทียนตูใช้เรียกขานนักพรตขั้นพลัง์นี้แต่เพียงผู้เดียว ในทางกลับกัน มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ชื่อของมหาเทพ เหตุเพราะเวลาผ่านไปเนิ่นนานแล้ว ด้วยมหาเทพบรรลุพลังยุทธ์ขั้น์ไปเมื่อพันปีก่อน
แต่ใน่พันปีที่ผ่านมา ไม่มีใครได้ยลโฉมมหาเทพจริงๆ สักคน ยกเว้นคนในตำหนักมหาเทพเท่านั้น ดังนั้นจึงทำให้หลายคนเกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับเื่นี้ แต่พลังของมหาเทพกลับทรงพลังโดยแท้จริง และเป็เ้ายุทธจักรที่แท้จริงของโลกการบำเพ็ญเพียรในเทียนตู บัดนี้ผู้ที่รับคำสั่งของมหาเทพก็คือลูกศิษย์เพียงคนเดียวเขา โดยเรียกขานรวมกันว่า “บรรพชนเทียนตู” เป็ยอดฝีมือยิ่งใหญ่ที่มีพลังยุทธ์่กลางของขั้นหวนสู่สัจธรรม ซึ่งต่ำกว่าลู่อวี่ในชาติที่แล้วเพียงเล็กน้อย
เมืองเทียนตูเซียนที่เรียกกันคือถนนการค้าที่ถูกยกระดับแล้ว ไม่ว่าจะเป็ในด้านขนาดและระดับความน่าเดินกว่าถนนการค้าทั่วไป ไม่เพียงแต่ต่างกันระดับเดียวแต่กลับดูเหมือนเป็เมืองหนึ่ง ในขณะเดียวกันหากไม่มีทรัพย์สินที่เพียงพอการจะอยู่ที่นี่ไปก็ทำอะไรไม่ได้ คงเหมือนเข้าไปในูเาที่มีสมบัติแต่กลับออกมามือเปล่า
ในฐานะเมืองอันดับหนึ่งดีที่สุดในเก้าเมืองของเทียนตู ประชากรจึงค่อนข้างหนาแน่นและเป็นักพรตจากต่างถิ่นเสียส่วนใหญ่ ดังนั้นแค่จำนวนสินค้าต่างๆ ที่จับจ่ายซื้อขายกันในแต่ละวันก็มากจนทำให้ผู้คนสิ้นหวัง ยิ่งผู้คนเดินทางมาที่นี่ต่างก็มาเพื่อทำการค้ากันทั้งสิ้น จึงเป็ไปไม่ได้เลยที่จะมามือเปล่า ฉะนั้นแล้วสินค้าที่รวมอยู่ในเมืองเทียนตูเซียนแต่ละวัน จึงเกินกว่าจะบรรยายออกมาได้
ที่สำคัญไปมากกว่านั้นเมืองเทียนตูเซียนยังเป็สถานที่ภายใต้เขตอำนาจตำหนักมหาเทพโดยตรง มีการรักษาความปลอดภัยของชาวเมืองที่ดีอยู่เสมอและปลอดภัยกว่าถนนการค้าเมืองอื่นๆ ยิ่งนัก ดังนั้นจึงไม่เพียงดึงดูดร้านค้าจำนวนมากเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเป็์ของนักพรตสันโดษที่มีจำนวนมากที่สุดในโลกการบำเพ็ญด้วยในเวลาเดียวกัน
แน่นอนว่า ความปลอดภัยที่ว่านั้นสัมพันธ์กัน เพราะในจุดที่สว่างที่สุดย่อมมีด้านมืดอยู่เสมอ
ลู่อวี่พาลู่เสียงและคนอื่นๆ นั่งเรือแสงตัดเมฆา์มาเกือบสามก้านธูปก็มาถึงชานเมืองเทียนตูเซียน เพราะหากเขาเหาะเหินเดินอากาศมาที่นี่เอง ก็เกรงว่าจะสิ้นเปลืองพลังปราณโดยเปล่าประโยชน์ และจำเป็ต้องหยุดพัก ถึงเวลาก็จะเดินทางและหยุดพักไปด้วย อย่างน้อยก็กว่าสองวันกว่าจะถึง
เมื่อเห็นเค้าโครงของเมืองเทียนตูเซียนที่อยู่ห่างออกไปกว่าสิบลี้ จากประสบการณ์เมื่อชาติก่อนของเขา ก็อดตื่นเต้นและเอ่ยปากชื่นชมไม่ได้
เมืองเทียนตูเซียนสร้างขึ้นบนเกาะลอยน้ำสิบเกาะที่มีขนาดแตกต่างกัน ซึ่งอยู่เหนือ “ทะเลหลิงกวง” ร้อยลี้ใจกลางของโลกบำเพ็ญเพียรในเทียนตู และในบรรดาเกาะเ่าั้ ยังมีเกาะ “คงิ” ที่ใหญ่ที่สุดเป็จุดศูนย์กลาง และมีเกาะลอยน้ำที่มีขนาดเล็กกว่าเล็กน้อยอีกเก้าเกาะ คอยปกป้องบริเวณรอบนอกและเชื่อมต่อกันด้วยสะพานสายรุ้งเก้าแห่งตรงกลางแลดูหรูหราไม่น้อย หากมองจากระยะไกลทั่วทั้งตลาดในเมืองเทียนตูเซียน จะเหมือนกับว่ามันตั้งอยู่ที่จุดเชื่อมต่อของแม่น้ำและท้องฟ้า สายน้ำและท้องนภาต่างสะท้อนหาซึ่งกันและกัน สายรุ้งก็ส่องแสงพร่างพราว เปรียบเหมือนวิมานอันเป็ที่อยู่อาศัยของเหล่าเทพเซียน
ในนั้นนอกจากเกาะคงิที่เป็เกาะใหญ่บนจุดศูนย์กลางของเมืองแล้ว ส่วนเกาะอื่นๆ ก็เรียงตัวตามเข็มนาฬิกา มีชื่อแบ่งแยกออกมาเป็เกาะอีหยวน เกาะทวิลักษณ์ เกาะไตรภาคเสมอ เกาะสี่ส่วน เกาะห้าธาตุ เกาะหกคู่สมพงษ์ เก้าเจ็ดดาว เกาะแปดทิศและเกาะจิ้วกง บนเกาะไม่เพียงแต่มีค่ายกลป้องกันตนเองได้เท่านั้น โดยเฉพาะเกาะคงิที่ตั้งอยู่ตรงกลางยังสามารถสร้าง “ค่ายกลใหญ่ที่ทำลายล้างได้ทั้งสิบทิศ” และมหาเทพยังเป็ผู้สร้างมันขึ้นมาเองกับมือ ว่ากันว่าหากเตรียมการมาอย่างดี ค่ายกลนั้นสามารถทนต่อการโจมตีของผู้ที่มีพลังยุทธ์ขั้นพลังจิตสามคนได้เป็เวลากว่าครึ่งก้านธูปโดยไม่พังทลาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าค่ายกลใหญ่นี้ทรงพลังเพียงใด
และนี่คือหนึ่งในสาเหตุสำคัญว่าเพราะเหตุใดเมืองเทียนตูเซียนถึงกลายเป็เมืองอันดับหนึ่งในเก้าเมืองได้
“นายน้อย ท่าน้าซื้ออะไรหรือขอรับ? หรือว่าท่านจะไป ‘หอคอยเซียนเจิ้น’ เพื่อดื่มชาวิเศษและพักผ่อนเสียก่อน?” ลู่เสียงเข้ามาถาม
ลู่อวี่เพ่งมองทิวทัศน์สวยงามในระยะไกล ั์ตาทอประกายไม่รู้คิดอะไรอยู่ จากนั้นก็พูดออกมาลอยๆ ว่า “ไปดูที่พักของตระกูลลู่ที่อยู่ในเมืองนี้ก่อน เื่อื่นค่อยว่ากัน!”
“เช่นนั้นข้าจะแจ้งให้พวกเขามารับ!”
“ไม่ต้อง พวกเราจะไปกันเอง!”
เกาะคงิมีพื้นที่บริเวณโดยรอบเกือบร้อยลี้และมีลักษณะพื้นที่ส่วนใหญ่เป็วงกลม บนเกาะมียอดเขาและหินแปลกๆ งอกเงย ทั้งยังมีน้ำพุและน้ำตกอีกด้วย รวมถึงดอกไม้และพืชพันธุ์แปลกตา สิ่งก่อสร้างล้วนมีครบทุกสิ่ง สัดส่วนพอเหมาะพอดีและสวยงาม เนื่องจากเป็ศูนย์กลางของเมืองเทียนตูเซียน พ่อค้าที่มีอำนาจและทรงอิทธิพลทุกคนจะมาตั้งสาขาอยู่ที่นี่ สิ่งนี้ไม่เพียงส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของการค้าเท่านั้น แต่ยังพิสูจน์ถึงอำนาจของพวกเขาด้วย ทั่วทั้งเกาะแบ่งออกเป็ห้าพื้นที่หลักแบ่งเป็ทางทิศตะวันออก ทิศใต้ ทิศตะวันตก ทิศเหนือ และบริเวณเกาะกลาง ยกเว้นพื้นที่ส่วนกลางซึ่งเป็พื้นที่ส่วนรวม อีกสี่พื้นที่ใหญ่ล้วนถูกเช่าและแบ่งสันปันส่วนตามผู้มีอำนาจและทรงอิทธิพล
ตระกูลลู่ในฐานะตระกูลชั้นนำในโลกการบำเพ็ญเพียรในเทียนตู ที่พักจึงตั้งอยู่ทางฝั่งทิศตะวันออก ครอบคลุมพื้นที่ทั้งถนนและเปิดร้านค้าหลายสิบแห่ง ทั้งยังดำเนินการค้าหลายอย่าง
แต่อำนาจของตระกูลลู่ถดถอยลงไม่น้อยใน่หลายร้อยปีที่ผ่านมา ทรัพยากรทั้งหมดที่มีจึงได้รับผลกระทบไม่น้อยเช่นกัน แม้ว่าตระกูลลู่จะยังสถานที่ในเมืองเทียนตูเซียนไว้ได้ แต่การค้าของตระกูลกลับไม่ได้ดีเหมือนเช่นแต่ก่อน
บุคคลที่รับหน้าที่ดูแลรับผิดชอบสถานที่นี้จริงๆ คือ ลู่เหว่ยิหนึ่งในผู้เฒ่าด้านกิจการนอกตระกูลของตระกูลลู่ เขามีพลังยุทธ์อยู่ใน่ต้นของขั้นฟันฝ่า เป็ชายวัยกลางคนที่ดูธรรมดา ตัวสูงผอม! หากลู่อวี่ไม่รู้เื่นี้ล่วงหน้า ก็คงจะไม่รู้ว่าชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนไม่มีตัวตนอยู่ผู้นี้จะเป็ถึงยอดฝีมือขั้นฟันฝ่าผู้หนึ่ง
“นายน้อยให้เกียรติมาเยือนถึงที่นี่ เหตุใดถึงไม่แจ้งให้ข้าน้อยทราบล่วงหน้าก่อนเล่า? ข้าน้อยจะได้เตรียมการไว้ เช่นนั้นแล้วครั้งนี้หากมีข้อผิดพลาดใดๆ นายน้อยโปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วยขอรับ!” รอยยิ้มจางๆ แลดูสงบเสงี่ยมปรากฏขึ้นบนใบหน้าธรรมดาๆ ของลู่เหว่ยิ เขามีความเคารพนบนอบแต่ไม่ต่ำต้อย ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความมั่นคงและความไว้วางใจที่กล้ามอบหมายให้เขารับหน้าที่สำคัญได้
“ท่านลุงเหว่ยิ ไม่ต้องเกรงใจ ข้าเพียงแต่อยู่ที่จวนเบื่อๆ เท่านั้น ทั้งยังไม่มีอะไรทำ จึงขอมาเดินเล่นที่นี่สักพัก ไม่จำเป็ต้องดูแลข้าเป็พิเศษ!” ลู่อวี่ยิ้มแล้วเดินตามลู่เหว่ยิเข้าไปด้านใน
ลู่เหว่ยิยิ้มและนำทางเข้าไป เขารู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก นายน้อยเปลี่ยนไปมาก แม้ว่าเขาจะไม่เคยัักับนายน้อยมาก่อน แต่ก็ได้ยินข่าวลือหนาหูเกี่ยวกับว่าที่ประมุขของตระกูลในภายภาคหน้า แต่ตอนนี้แม้จะเพิ่งพบกัน กลับรู้สึกว่าเขาช่างต่างจากที่เคยได้ยินมา เพราะไม่มีแววของความหยิ่งยโสหรือท่าทีวางอำนาจบาตรใหญ่อย่างที่ผู้คนร่ำลือกัน
ลู่เหว่ยิรับผิดชอบดูแลกิจการของตระกูลลู่ทั้งหมดในเมืองเทียนตูเซียนจึงมีธุระรัดตัวไม่น้อย ดังนั้นหลังจากเตรียมการสำหรับลู่อวี่แล้ว ก็ขอตัวไปจัดการงานต่อ ลู่เสียงและคนอื่นๆ ก็ไม่กล้าให้คำแนะนำนายน้อยสุ่มสี่สุ่มห้า หากเป็นายน้อยคนเดิมผู้ซึ่งเป็จอมเสเพล ทั้งยังหยิ่งผยองและชอบวางอำนาจบาตรใหญ่ พวกเขาคงไม่นึกใส่ใจเช่นนี้ หากคิดอะไรในใจก็คงพูดออกไปเช่นนั้นโดยตรง เพียงแต่กับนายน้อยผู้นี้นั้นต่างกัน แม้จะขลุกตัวอยู่ด้วยกันในระยะเวลาสั้นๆ แต่เขากลับเป็ที่น่าประทับใจไม่น้อย ทุกคำพูดและทุกการกระทำเปี่ยมไปด้วยอำนาจ ทั้งยังมีท่าทีสุขุมเยือกเย็นอย่างเป็ธรรมชาติ ทำให้พวกเขาต้องระวังคำพูดทุกครั้ง ด้วยกลัวว่าจะทิ้งความประทับใจที่ไม่ดีไว้ให้นายน้อยโดยไม่ตั้งใจ