ทั้งคู่ตื่นขึ้นมาตอนเช้า ซึ่งก็เป็เวลาประมาณหกโมงแล้ว เมื่อคืนอี้สี่นอนหลับสนิทไปด้วยความเหนื่อยล้าทั้งคืน เธอผล็อยหลับไปก่อนสามทุ่มด้วยซ้ำ แม้ว่าอี้สี่จะหลับสบาย แต่กลับถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วยความหิว หลัวจ้งซีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วดู “คุณตื่นเช้าจัง? ยังนอนต่อได้อีกหน่อยนะ”
“หิวแล้วค่ะ”
“ยังหิวอยู่เหรอ? ผมป้อนให้คุณไม่อิ่มเหรอ? นี่ผมแก่แล้วจริงๆ งั้นเหรอ” หลัวจ้งซีลูบหัวของเธออย่างหยอกเย้า แสงสว่างภายในห้องถูกม่านบังไว้จึงมืดสลัว อี้สี่เงยหน้าขึ้นมองเขา หนวดเคราบางๆ งอกบนคางของเขา เธอััมันเบาๆ และรู้สึกว่าทั้งสองยิ่งเข้าใกล้กันมากขึ้นอีกครั้ง
“คุณก็รู้ว่าเป็ท้องของฉันที่หิว” เมื่ออี้สี่นึกถึงความสุขเมื่อวานนี้ใบหน้าเธอก็พลันเปลี่ยนเป็แดงก่ำแล้วผลักเขาออก หลัวจ้งซีจับแขนเธอแน่น ก้มหน้าลงจู่โจมจูบริมฝีปากของเธอในยามเช้า แล้วพูดว่า “เอาละ ผมจะพาคุณไปทานอาหารเช้า แล้วพวกเราก็จะไปที่ทำงานด้วยกัน”
“ไปด้วยกันเหรอ? ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้คนอื่นรู้เลยต้องแอบๆ ซ่อนๆ หรือไง” อี้สี่สับสนเล็กน้อย นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาพูดก่อนหน้านี้หรอกเหรอ
“คิดๆ ไปแล้วก็ไม่เป็ไร ผมไม่อยากให้คุณรู้สึกอึดอัด” แม้ว่าจะพูดแบบนี้ แต่จริงๆ แล้วภายในใจเขากำลังคิดว่าถ้าหลบๆ ซ่อนๆ ก็จะมีคนมาฉวยโอกาส
เมื่ออี้สี่บอกว่าเธอกินอะไรก็ได้เป็มื้อเช้า และก็ยังมีเวลาอยู่อีกมากก่อนที่จะไปทำงาน หลัวจ้งซีจึงพาเธอไปทานอาหารเช้าแบบจีนที่ซ่อนอยู่ใต้สะพาน ด้านใต้สะพานมีตลาดที่คึกคักมีชีวิตชีวาอยู่ ผู้คนจำนวนมากมาจับจ่ายซื้อของและถือโอกาสทานอาหารเช้าไปด้วย ก่อนหน้านี้อี้สี่ไม่ค่อยได้ไปซื้ออาหารด้วยตัวเองมากเท่าไหร่ แม้ว่าจะซื้ออาหารก็ยังซื้อจากซูเปอร์มาร์เก็ต เธอจึงไม่เคยไปตลาดแบบดั้งเดิมมาก่อน และก็ไม่เคยัักับความมีชีวิตชีวาแบบดั้งเดิมเช่นนี้มาก่อน
อาหารเช้าแบบจีนใต้สะพานเหมือนร้านอาหารบุฟเฟ่ต์มาก อาหารอุ่นๆ ที่อยู่บนโต๊ะมีมากกว่าสามสิบอย่างคู่มากับโจ๊กมันเทศ ในที่สุดทั้งสองก็หาที่นั่งได้ “ทานเมนูไหนไม่ได้ไหม?” เขาถามอย่างอ่อนโยน “อยากกินไปหมดเลย” อี้สี่รู้สึกตื่นเต้นเมื่อมองดูโต๊ะอาหารที่แน่นไปด้วยอาหาร
ในที่สุดเขาก็สั่งไข่เจียวโหระพา ผัดกะหล่ำปลี เนื้อตุ๋น ปลาดาบเงินทอด และผัดเต้าหู้ อี้สี่กินข้าวต้มพร้อมกับไข่หนานุ่มที่ทอดใหม่ๆ แล้วพูดด้วยสีหน้าพึงพอใจว่า “ฉันคิดว่าการกินอาหารเช้ามื้อใหญ่ขนาดนี้มันหนักเกินไป”
“คนที่ทำงานชนชั้นล่างมักจะกินอาหารเช้าหนักๆ พวกเราก็เป็คนที่ทำงานชนชั้นล่าง” เขาพูด การทำงานในร้านอาหารจำเป็ต้องใช้พลังงานเยอะ แน่นอนว่ามันสามารถย่อยแคลอรีพวกนี้ได้แน่ ตอนนี้เธอรู้สึกว่าหลัวจ้งซีเป็นักชิมที่เก่งจริงๆ ไม่รู้ว่าในหัวมีร้านอาหารอร่อยๆ กี่ร้านอยู่ ไข่เจียวโหระพาชิ้นนี้ทอดมาในน้ำมันร้อน ทอดจนอวบอ้วนหนา และมีกลิ่นหอม
“อย่าดูถูกไข่เจียวนี้นะ ซิกเนเจอร์ของร้านอาหารซินเย่ก็คือไข่เจียวไชโป๊ว เพื่อที่จะให้ได้ไข่ที่อร่อยแบบนี้จะต้องใช้ระดับความร้อนที่เหมาะสม” เขาพูด เขาเองก็หิวมากเช่นกัน เขาพูดไปพลางกินข้าวตามไปสองคำ ผัดกะหล่ำปลีธรรมดาไปหน่อย แต่เนื้อตุ๋นมีขนาดชิ้นหนาพอดีคำ แค่ััก็แทบจะละลายในปาก น้ำซอสเองก็มีความใส มัน แต่ก็ไม่เค็มเกินไป โดยรวมจึงอร่อยมาก แม้ว่าปลาดาบเงินจะเอาไปทอด แต่จริงๆ แล้วมันทอดแค่ครึ่งเดียว ตัวปลามีความหนาและอวบอ้วน ตัวแป้งก็ทอดจนส่งกลิ่นหอมซึ่งก็น่าทึ่งเช่นกัน
“ฉันเพิ่งรู้ว่าคุณจริงจังเื่การกินมาก” อี้สี่พูด
“แน่นอน นี่เป็การเรียนรู้อีกแบบหนึ่งเช่นกัน”
“คุณไม่ใช่เป็ทีมงานเบื้องหน้าเหรอ?”
“ยิ่งรู้มากเท่าไรก็ยิ่งเป็เื่ดีมากเท่านั้น และนี่ก็เป็ความสนุกเล็กๆ น้อยๆ สำหรับผมด้วย” เขาพูด “ชีวิตมันสั้น และก็หนีไม่พ้นการกินของดีๆ และการมีเซ็กส์ดีๆ” เขาเอ่ยปรัชญาที่เข้าใจยาก
ประมาณเจ็ดโมงเช้าเป็เวลาเข้าเรียน หลัวโม่โม่ก็ได้โทรมา “เมื่อวานทำไมพ่อไม่กลับบ้านอีกแล้ว? พ่อมีแฟนแล้วเหรอ?”
“ยังไม่มี กำลังพยายามอยู่”
“พ่อทำอะไรอยู่หรอ?” หลัวโม่โม่รู้สึกว่าด้านหลังมีเสียงดังรบกวนมาก
“มากินข้าวเช้าที่ตลาด วันนี้พ่อจะกลับบ้าน”
“ถ้าอย่างนั้นหนูจะรออยู่ที่บ้าน อย่าลืมเอาบัตรกำนัลมาให้หนูด้วย เงินในกระเป๋าหนูใกล้จะหมดแล้ว เลยจะให้พ่อเอามาให้”
“อย่าไปที่นั่นเลย พ่อจะให้เงินไว้ติดกระเป๋าเพิ่ม” หลัวจ้งซีเหลือบมองอี้สี่ แม้ว่าอี้สี่จะกำลังกินข้าวอย่างไม่สนใจ แต่เขาก็ไม่ได้พูดคำว่าโฮบาร์ออกมา
“หนูต้องไปเรียนแล้ว ไว้เจอกันค่ะ” หลัวโม่โม่เมื่อแน่ใจแล้วว่าหลัวจ้งซีจะกลับบ้านคืนนี้ก็ได้วางสายไป หลัวจ้งซีรู้สึกโกรธจัดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
ทุกครั้งหลังจากที่รับโทรศัพท์ หลัวจ้งซีมักจะต้องหนักอกหนักใจและโมโหอยู่เสมอ สีหน้าของเขาในเวลานี้เผยให้เห็นถึงลักษณะของชายที่มีลูกแล้ว ซึ่งมันก็ช่างแตกต่างจากตัวตนที่โรแมนติกและอ่อนโยนยามปกติของเขา “จริงๆ แล้ว ลูกสาวของคุณค่อนข้างเป็ห่วงคุณนะ ฉันกับพ่อไม่ได้โทรหากันทุกวัน ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยโทรหากันเลยด้วย” อี้สี่กัดตะเกียบ จู่ๆ ก็รู้สึกคิดถึงพ่อขึ้นมานิดๆ และก็แน่นอนว่าเธอก็ไม่รู้ว่าทำไมหลัวจ้งซีถึงได้รู้สึกกังวล
“คุณอายุค่อนข้างใกล้เคียงกัน งั้นผมขอถามอะไรคุณหน่อยสิ” หลัวจ้งซีคิดว่าพวกเธอมีอายุพอๆ กัน แต่เมื่อคิดถึงว่าพวกเธอมีอะไรไล่ๆ กันก็อดรู้สึกเขินนิดหน่อยไม่ได้ อี้สี่ยังเด็กมากจริงๆ “่นี้ลูกสาวของผมชอบไปที่ร้านแล้วก็หมกอยู่กับบาร์เทนเดอร์คนหนึ่ง อันที่จริงแล้วผมไม่พอใจนิดหน่อย แต่ไม่รู้จะห้ามเธอยังไงดี?” เขาพูดอ้อมๆ เจตนาไม่เอ่ยชื่อจินอิ๋น ซึ่งนี่คือความมีวุฒิภาวะของเขา แม้ว่าการจัดการจินอิ๋นจะต้องเป็ผลดีสำหรับเขาอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่รู้ว่าอี้สี่จะใส่ใจจินอิ๋นมากแค่ไหน แล้วก็ไม่รู้ว่าหลัวโม่โม่กับจินอิ๋นไปถึงขั้นไหนกันแล้ว และไม่ได้้าให้อี้สี่คาดเดามากเกินไป เขาไม่อยากให้เธอรู้สึกไม่สบายใจเลยแม้แต่นิดเดียว
“ห้าม?” อี้สี่หยิบเนื้อกินชิ้นใหญ่เต็มคำ มันค่อนข้างแปลกสำหรับเขาที่จะถามคำถามเช่นนี้ “คำถามนี้มันน่าเบื่อมาก ลูกสาวของคุณอายุสิบแปดแล้วนะ จะไปห้ามเธอได้ยังไงกัน” เธอพูด
“ในฐานะพ่อ ผมต้องทำอะไรสักอย่าง ผมกลัวว่าเธอจะเ็ป”
“ถ้าพ่อของฉันไม่อยากให้เราอยู่ด้วยกัน คุณคิดว่ามันจะได้ผลไหมล่ะ? ดูจากตัวคุณแล้วเขาก็มีเหตุผลที่แน่นอนที่จะกลัวว่าฉันจะเ็ป” เธอพูดพลางคีบอาหารกินไปอย่างไม่จริงจังนัก คำพูดนี้ดูเหมือนจะพูดออกมาส่งๆ แต่กลับทำให้หลัวจ้งซีถึงกับพูดไม่ออก “เื่หลายๆ เื่พวกเราเองก็รู้ดี ถ้าฉันเป็คนคิดมาก ฉันคงไม่เข้ามาในวงการนี้ ไม่ได้เจอคุณ แล้วก็ไม่เจอจินอิ๋น และไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับคุณ แต่ฉันก็ไม่ได้คิดมากขนาดนั้น ฉันแค่อยากทำตามความรู้สึกของตัวเองเพราะสิ่งเดียวที่ฉันใช้ได้อย่างสุรุ่ยสุร่ายได้ก็คือ่วัยเยาว์ของฉัน” อี้สี่พูด เธอพูดอย่างไม่จริงจังนัก แต่กลับทำให้เขาพยักน้อยๆ
หลัวจ้งซีมองดูเธอ เธอดูสบายๆ และมีความมั่นใจมาก จริงๆ แล้วในสายงานนี้มีผู้หญิงมาสมัครมากมาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลูกค้าเลย เพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่ก็เป็ผู้หญิงที่อายุน้อยและมีชีวิตชีวามากมาย แต่อี้สี่นั้นแตกต่างออกไปจริงๆ นั่นเป็เหตุผลว่าทำไมเขาถึงชอบเธอมากขนาดนี้ เขาคิด
วันนี้เป็วันเริ่มต้นสัปดาห์ใหม่และวันอังคารก็มักจะไม่ยุ่งมากนัก ลูกค้าส่วนใหญ่จะไม่ไปร้านอาหารเพื่อใช้เงินในวันอังคาร เนื่องจากเป็่ที่ห่างไกลจากวันหยุดมากและส่วนใหญ่ก็ยุ่งอยู่กับงาน บรรยากาศในวันอังคารจึงค่อนข้างผ่อนคลาย หลัวจ้งซีมีแผนที่จะต้องติดต่อประสานงานบางอย่างในวันนี้ ด้วยสิ้นเดือนจะต้องจัดตารางกะการทำงาน ส่วนซ่งจื่อฉีก็จำเป็ต้องวางแผนชิมเมนูอาหารในงานเลี้ยงอาหารค่ำและไวน์ด้วย
เมื่อมาถึงทางเข้าพนักงานของร้าน หลัวจ้งซีให้อี้สี่เข้าไปก่อนเนื่องจากเขาอยากจะสูบบุหรี่ และเพราะว่าอี้สี่ไม่สูบบุหรี่ เขาจึงสูบบุหรี่ได้เพียงไม่กี่มวนในสุดสัปดาห์นี้เท่านั้นจนเขาแทบจะลงแดงตายแล้ว “ว่าแต่ เดือนหน้าคุณมีเื่อะไรที่ต้องลาเป็พิเศษไหม?” เขาถาม อี้สี่ไม่ได้มีเื่อะไรที่จะต้องลาเป็พิเศษจึงส่ายหัวไปมา
พอดีกับที่ซ่งจื่อฉีเดินเข้ามาแล้วเอ่ยพูดกับหลัวจ้งซีด้วยรอยยิ้มติดตลก “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายกัน? ฉันเป็คนจัดเวลาเข้างานของเธอเอง” เฉินเจี้ยนฉวินยืนอยู่ด้านหลังซ่งจื่อฉี เขามองทั้งสามคนด้วยท่าทางประหลาดใจเล็กน้อยแต่ก็ดูเหมือนจะเข้าใจด้วย
เฉินเจี้ยนฉวินเปลี่ยนเป็ชุดพ่อครัวและเริ่มลับมีด อี้สี่ได้รับมอบหมายเพียงแค่ให้ลับมีดเล่มเดียวที่เป็ของเธอเท่านั้น เพื่อที่เธอจะได้ไม่ทำมีดทั้งหมดพัง เธอเริ่มลับมีดและเตรียมพร้อมสำหรับการทำงานในแต่ละวัน ซึ่งอันที่จริงการลับมีดนั้นค่อนข้างเหนื่อยนิดหน่อย เมื่อพอกลับมาจากวันหยุดก็รู้สึกว่าร่างกายี้เีไปทั้งตัวและเหนื่อยทั้งที่ยังไม่เริ่มงาน อี้สี่รู้สึกว่าปวดเอวจึงต้องยืนตัวตรงเพื่อพักหลายครั้ง
เมื่อซ่งจื่อฉีเข้าไปในครัว เขาก็หยิบมีดออกจากกล่องและเตรียมทำอะไรบางอย่าง เมื่อเห็นว่าอี้สี่พักหลายครั้ง จึงเอ่ยออกมาด้วยเสียงนิ่งๆ ว่า “วันหยุดคุณปล่อยตัวไปนะ”
อี้สี่รู้สึกเขินอายมาก ใบหน้าแดงก่ำ และก็ไม่กล้าพักแม้จะปวดเอวอีกเลย ทำได้แค่ก้มหน้าลงลับมีดให้คมเท่านั้น เฉินเจี้ยนฉวินคิดว่าซ่งจื่อฉีกำลังพูดถึงเขาเลยยิ้มกว้างออกมาเต็มหน้า “ไม่หรอก! ไม่ได้ถึงขนาดนั้น”
ซ่งจื่อฉีและอี้สี่ต่างก็ตกตะลึง เมื่อหันกลับไปมองเฉินเจี้ยนฉวิน พวกเขาก็ต่างคิดว่าความเข้าใจผิดของเขามันตลกมาก
“ถ้างั้นนายก็ยังไม่ชำนาญ ไม่ชำนาญแล้วยังกล้าพูดอีก ไปเรียนรู้จากหลัวจ้งซีซะ” ซ่งจื่อฉีดุเฉินเจี้ยนฉวิน
“เรียนอะไร?” เขาถามอย่างใสซื่อ
อาเฉียงที่เพิ่งเดินเข้ามาอย่างไม่รู้เื่ราวได้ยินคำพูดสองคำจากซ่งจื่อฉีและเฉินเจี้ยนฉวิน ก็คว้าไหล่ของเฉินเจี้ยนฉวินมาโอบเอวแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เรียนกับฉัน แน่นอนนายจะต้องได้เรียนรู้วิธีจีบสาว!”
เฉินเจี้ยนฉวินหัวเราะพลางบิดตัวหนี “เชฟครับ ผมกำลังลับมีดอยู่ อย่ามาแตะผม! มันอันตราย” ทั้งสองเริ่มทะเลาะกันอีกครั้ง
อี้สี่รู้สึกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ช่วยให้เธอรอดตัวแล้ว เธอลับมีดอย่างระมัดระวัง ใช้นิ้วแตะที่ใบมีด จากนั้นจึงหั่นหัวหอมเป็ชิ้นๆ ดูเหมือนว่าจะโอเคแล้วแต่ยังคงมีความรู้สึกฝืดเล็กน้อยเมื่อยามหั่น ซ่งจื่อฉีหยิบมีดของเธอขึ้นมาดูอย่างละเอียด แล้วนำไปช่วยลับมีดทางด้านซ้ายให้เธอสองสามครั้ง “ลองหั่นดู” เขาพูด
เมื่ออี้สี่หั่นลงไปครั้งหนึ่งก็ดูนุ่มนวลขึ้นมาก “คุณพัฒนาขึ้นนะ ถ้าคุณฝึกฝนทุกวันจะต้องเก่งขึ้นแน่” ซ่งจื่อฉีพูด คำพูดของเขาดูธรรมดา แต่กลับให้กำลังใจอี้สี่ได้ดีมาก
ทางด้านชายสองคนก็ยังคงเถียงกันอยู่ “นายอยากได้ใคร? บอกฉันมาแล้วฉันจะช่วยนาย” อาเฉียงยังคงเกี่ยวคอของเฉินเจี้ยนฉวินไว้ “เธอใช่ไหม?” อาเฉียงชี้ไปที่ใบหน้าอี้สี่ไปส่งๆ
“ไม่ใช่แล้ว!”
“น่าสงสัยมาก ก็ส่วนใหญ่มักจะเห็นพวกนายนั่งคุยกันที่มุมห้องอยู่บ่อยๆ” อาเฉียงหรี่ตาลงมองด้วยความสงสัย เขาหันไปหาอี้สี่แล้วพูดว่า “ยอมรับมาตรงๆ! สิ่งที่ฉันเกลียดที่สุดคือการไม่รู้อะไรเลย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงติดตลก อี้สี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย อาเฉียงไม่ค่อยล้อเล่นกับเธอนัก ฉะนั้นเธอเลยไม่รู้ว่านี่ถือว่าเธอเข้ากับพวกเขาได้แล้วใช่ไหม
ซ่งจื่อฉีตบอาเฉียงแล้วพูดว่า “หยุดเล่นได้แล้ว นายช้านะ”
“ฉันรู้สึกเหมือนมีกลิ่นแปลกๆ” อาเฉียงเหลือบมองไปที่เฉินเจี้ยนฉวินแล้วมองไปที่อี้สี่ ซึ่งทั้งสองคนต่างก็หลบตาเขา
“แยกย้ายไปทำงานของนายซะ” ซ่งจื่อฉีผลักอาเฉียงไปที่มุมเคาน์เตอร์ทำงานของเขา และคุยกับเขาเกี่ยวกับเื่เมนูตามฤดูกาลของสำนักงานใหญ่ อาเฉียงเองก็หยุดหัวเราะเช่นกัน แล้วทั้งสองก็ต่างก็เริ่มพูดคุยกันด้วยท่าทางที่จริงจัง
อี้สี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก หยิบหัวหอมจากหม้อออกมาหั่น เฉินเจี้ยนฉวินเองก็หยิบหัวหอมขึ้นมาจากหม้อ เตรียมพร้อมที่จะจัดการกับของในหม้อนี้กับเธอ
“อี้สี่ ผมไม่เข้าใจเลย!” เฉินเจี้ยนฉวินพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงเบา
“ไม่เข้าใจอะไร?” เธอไม่เข้าใจคำถามของเขา
“คุณคบกับใครอยู่กัน พี่หลัวหรือจินอิ๋น”
“ไม่ทั้งคู่” เธอพูดนิ่งๆ แต่ฟังดูไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่
เฉินเจี้ยนฉวินเริ่มนึกครุ่นคิดย้อนกลับไป ทันใดนั้นก็พูดด้วยความประหลาดใจว่า “หรือว่าจะทั้งสองงั้นหรือ?” เธอไม่ตอบ ซึ่งแน่นอนว่าเฉินเจี้ยนฉวินมีความสามารถในการสังเกตที่ดี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้