วันถัดมา หลิงเซียวแบกโหยวเสี่ยวโม่ที่ไม่พอใจกลับสำนักเทียนซิน
เดินทางทั้งวันไม่ได้หยุดพัก จนถึงตีนเขาสำนักเทียนซินจึงปล่อยเขาลง โหยวเสี่ยวโม่รู้สึกว่าท้องอืด แต่ยังไม่ได้กินอะไรทั้งวัน จึงไม่มีอะไรให้อาเจียนออกมา
“ศิษย์…” โหยวเสี่ยวโม่เช็ดปาก เอ่ยปากอยากถามเขา
หลิงเซียวพลันทำมือให้เขาเงียบ คิ้วขมวดขึ้น เหมือนว่ามีปัญหาอะไรบางอย่าง
แม้โหยวเสี่ยวโม่ไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้พูดต่อ มองรอบๆ ตีนเขาสำนักเทียนซินก็ไม่ได้มีอะไรต่างไปจากเดิม แต่คงเพราะเขาสังเกตไม่ออก จึงถามอย่างระวัง “ศิษย์พี่หลิง มีเื่อะไรรึเปล่า?”
คิ้วที่ขมวดขึ้นของหลิงเซียวคลายลง เมื่อได้ยินเขาถามจึงพยักหน้าเบาๆ แล้วเอ่ยขบขำ “มีคนมาน่ะ”
ไม่ทันรอให้เขาได้ถาม คำตอบนั้นก็โผล่ออกมาเอง บนเขามีร่างคนสองคนกำลังวิ่งมาทางพวกเขา ครู่เดียวก็มาอยู่หน้าพวกเขา คนที่อายุน้อยหน่อยเมื่อเห็นหลิงเซียวพลันมีท่าทีดีใจ แล้วเอ่ย “ศิษย์พี่ใหญ่ ในที่สุดท่านก็กลับมา”
หลิงเซียวเอ่ยยิ้มแย้ม “ข้าจากไปหลายวัน ที่สำนักเทียนซินมีเื่อะไรเกิดขึ้นรึเปล่า?”
ศิษย์น้องคนนี้รีบพยักหน้ารัวแล้วเอ่ย “เื่ใหญ่ข้าไม่แน่ใจ แต่ท่านเ้าสำนักกำชับพวกข้าว่าหากเห็นท่านกลับมา ให้ท่านรีบไปพบเขา”
“ข้ารู้แล้ว ขอบใจศิษย์น้องมากที่มาแจ้ง” หลิงเซียวพยักหน้า เมื่อครู่เขารู้สึกได้ว่า การเตือนภัยของสำนักเทียนซินนั้นเข้มงวดกว่าตอนที่เขาจากไป
พูดจบ เขาก็หันมาทางโหยวเสี่ยวโม่แล้วเอ่ย “ศิษย์น้องเล็ก พวกเราไปกันเถอะ”
โหยวเสี่ยวโม่ชะงัก พลันผงกหัว แล้วเดินตามเขา
เมื่อทั้งสองเดินหายลับไปยังทางขึ้นเขาเพียงเส้นเดียวนั้น ศิษย์น้องที่หน้าตาตื่นเต้นดีใจเมื่อครู่ก็เก็บสีหน้ายิ้มแย้ม สายตาอาฆาตมองพวกเขาจากไป
“ศิษย์พี่หลี ท่านว่าทำไมศิษย์พี่ใหญ่ต้องดีกับโหยวเสี่ยวโม่ขนาดนั้นด้วย เขามีอะไรดีนักหนา?”
ศิษย์พี่หลีคนนั้นแม้ไม่เคยได้พูดคุยกับหลิงเซียวมาก่อน แต่ก็นับถือเขาเป็แบบอย่างของตัวเอง เป็เช่นนี้มานาน อีกทั้งยังมีความคิดที่จะพัฒนาตัวเองมาตลอด เมื่อได้ยินศิษย์น้องกล่าวเช่นนี้ เขาทำหน้าครุ่นคิด เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน “หรือโหยวเสี่ยวโม่นั่นแอบทำเสน่ห์อะไรให้ศิษย์พี่ใหญ่ ดังนั้นศิษย์พี่ใหญ่จึงดีกับเขาถึงเพียงนี้”
ศิษย์พี่ใหญ่ลงเขากับโหยวเสี่ยวโม่หนนี้ ตอนที่พวกเขาได้ยินก็ไม่ค่อยอยากเชื่อ เพราะศิษย์พี่ใหญ่จะลงเขากับพวกพ้องของตัวเองเท่านั้น ถึงมี ก็ต้องลงพร้อมคณะใหญ่ ครั้งนี้ผิดจากที่เคย ไม่แน่โหยวเสี่ยวโม่อาจจะทำอะไรไม่ชอบมาพากลก็ได้
“เ้าโหยวเสี่ยวโม่นั่น ข้าว่าเขาต้องเป็สุนัขจิ้งจอกกลับชาติมาเกิดแน่” ศิษย์น้องเอ่ย
“ศิษย์น้องจ้าว อย่าพูดแบบนี้ออกมาดีกว่า เกิดใครมาได้ยินเข้า” ศิษย์พี่หลี่ตักเตือน
“ข้าทราบแล้ว ศิษย์พี่หลี” ศิษย์น้องจ้าวตอบรับอย่างจำใจ
โหยวเสี่ยวโม่ไม่ทราบเื่ เพราะหลิงเซียวจากคนธรรมดาเขาก็กลายเป็สุนัขจิ้งจอก ความคิดคนมันน่ากลัวเช่นนี้แล พวกเขาจะมองข้ามข้อเสียของคนที่ชื่นชอบ แล้วยกความผิดให้คนอื่นแทน
หลิงเซียวไม่ได้ส่งเขาไปถึงทัพพิภพ ทั้งสองแยกกันตรงทางแยก มาถึงสำนักเทียนซินแล้ว เขาไม่ต้องกังวลว่าโหยวเสี่ยวโม่จะมีอันตรายอะไรอีก ยิ่งกว่านั้นเขายังเป็ศิษย์อาจารย์ขงเหวิน ใครจะทำอะไรก็คงไว้หน้าอาจารย์เขาอยู่บ้าง
ผ่านไปหลายวัน หลิงเซียวกลับถึงทัพพิภพก็ไม่ได้กลับห้องพักทันที แต่ไปหาฟางเฉินเล่อ กลับไม่เจอตัว จากนั้นสืบรู้จากศิษย์คนหนึ่งว่าฟางเฉินเล่อกับฝูจื่อหลินไปหาอาจารย์อาเยี่ยที่เขาเมฆานที อีกหลายวันถึงจะกลับ
จากนั้นเขาจึงไปพบขงเหวิน เพราะเขาก็ได้ชื่อว่าเป็ศิษย์ เมื่อกลับมาแล้วก็ต้องบอกกล่าวอาจารย์ เลี่ยงถูกคนนินทาว่าเป็ไม่รู้จักกาลเทศะ
ขงเหวินไม่ได้แปลกใจอะไร และไม่ได้ถามด้วยว่าไปที่ไหน ทำอะไรมากับหลิงเซียว เพียงเอ่ยถามพอเป็พิธี จากนั้นเขาจึงจากมา
ตอนออกมา โหยวเสี่ยวโม่โล่งอก ทุกครั้งที่เห็นขงเหวิน เขารู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่าง ส่วนเื่ที่ว่าทำไมเขาไม่ถามอะไรเลย คงเป็เพราะหลิงเซียวเคยบอกไว้ว่าจัดการทุกอย่างไว้เรียบร้อย คิดว่าคงมีข้ออ้างเตรียมไว้แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีอะไรต้องห่วง
เมื่อกลับถึงห้อง โหยวเสี่ยวโม่นึกได้ว่าหลายวันมานี้เขาแทบไม่มีเวลาหลอมยาเลย ไม่รู้ว่าฝีมือจะตกลงหรือไม่
แต่ก่อนหน้านั้น เขาจัดการอาบน้ำอาบท่า แล้วกินข้าวมื้ออิ่มหนำสำราญ จากนั้นอ่านตำรา จนถึงสามทุ่ม เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครมาหาแล้ว จึงเก็บข้าวของ ปิดประตูหน้าต่างแน่น แล้วเข้าไปในห้วงมิติ
หลายคืนที่ผ่านมาถูกหลิงเซียวคุม ทุกคืนโหยวเสี่ยวโม่จะถูกเขากอดนอน ทำให้เขาไม่ได้เข้ามาเก็บเกี่ยวหญ้าเซียนที่โตแล้ว หญ้าเซียนในตอนนี้โตเต็มที่เก้าในสิบส่วน ปลิวไสวตามลม
การขุดหญ้าเซียนเขาทำจนช่ำชองแล้ว ไม่ถึงสองชั่วยามก็จัดการเรียบร้อย จากนั้นเริ่มปลูกแปลงใหม่ แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ปลูกแค่หญ้าเซียนขั้นสองและขั้นสอง แต่เก็บสิบห้าแปลงไว้ปลูกหญ้าเซียนขั้นกลาง
หว่านเมล็ดเรียบร้อย เขาจึงรดน้ำปราณที่ผสมไว้ เมื่อทำทุกอย่างเสร็จก็ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม เวลาด้านนอกเห็นทีใกล้สว่างแล้ว เขาดื่มน้ำปราณแก้เพลีย เขายังไม่ได้ออกไปทันที จากนั้นเริ่มสร้างบ้านไม้เล็กๆ ของเขา
ชาติที่แล้ว มหาวิทยาลัยที่เขาตั้งใจจะเข้านั้นมีชื่อเสียงด้านสถาปัตยกรรม ตอนนั้นเขาเองก็เลือกเรียนคณะนี้ แม้ว่าท้ายสุดไม่ทันได้เข้าเรียน แต่เขาก็พอเข้าใจเื่สถาปัตยกรรมบ้าง อย่างบ้านไม้แบบนี้นั้นง่ายมาก ไม่เสียเวลาเท่าไหร่ หลังจากลงแรงไปได้ชั่วครู่ บ้านไม้ก็เริ่มเป็รูปเป็ร่าง ถัดมาเขาก็จัดการเอาตู้ไม้ ถังน้ำไม้ที่ซื้อได้จากเมืองฮุยจี๋ออกมา
ตู้ไม้พวกนั้นเขาแบ่งตามขั้นของหญ้าเซียน ส่วนถังไม้กองไว้รวมกัน เผื่อวันหลังได้ใช้ เมื่อเสร็จจากเื่พวกนี้ ก็ปาไปครึ่งค่อนวัน
นั่งพักผ่อนกับที่ครู่หนึ่ง โหยวเสี่ยวโม่เดินเข้าบ้านไม้เล็ก เอาของจากถุงเก็บของออกมา ไข่อ่อนปีศาจขั้นแปด อาวุธ คัมภีร์วิชายุทธ์ หญ้าเซียน ยาเซียนตัน เมล็ด ตำรับสูตรยา อาหารว่าง ผลไม้เซียนและอื่นๆ เขาจัดแจงเก็บทุกอย่างเข้าที่ เมล็ดหญ้าเซียนขั้นกลางเขายังไม่ได้ใช้ตอนนี้ ที่จะปลูกก็ใช้เพียงนิดเดียว ดังนั้นที่เหลือเขาจึงเก็บเข้าตู้
จนเมื่อเขาออกจากห้วงมิติ ท้องฟ้าข้างนอกก็สว่างแล้ว
แสงตะวันสีทองสาดส่องมาทางหน้าต่าง ทำให้ภายในห้องดูสว่างจ้า
แม้ว่าใช้แรงไปเกือบทั้งวัน แต่เขาก็ไม่เหนื่อย หยิบตำราจากชั้นวางที่อ่านจบแล้วออกมา โหยวเสี่ยวโม่ไปหอคัมภีร์อีกหนหนึ่ง จากนั้นเปลี่ยนตำราที่ยืมหลายเล่ม จากนั้นไปเรือนหญ้าเซียนต่อ
โหยวเสี่ยวโม่ที่ท่าทีสบายใจหาได้รู้ไม่ว่า เพียงไม่นานหลังจากที่เขาออกมาจากห้วงมิติ ไข่อ่อนใบนั้นที่วางอยู่บนโต๊ะก็เปล่งแสงสีขาววาบเป็ระยะๆ โดยไม่หยุดหย่อน จากนั้นพลังปราณรอบๆ ไข่ใบนั้นก็ก่อตัวเป็วังน้ำวน จุดศูนย์กลางน้ำวนนั่นก็คือไข่อ่อนปีศาจ พลังปราณจำนวนมากถูกปีศาจดูดกลืน จนอิ่มแล้วจึงหยุดลง จากนั้นก็วนอยู่เช่นนั้นเรื่อยๆ
ณ เรือนหญ้าเซียน
โหยวเสี่ยวโม่เดินไปหาอาจารย์ลุงจ้าวเหมือนเช่นเคย แต่มีบางอย่างน่าแปลก คนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะกลับเป็ศิษย์พี่ห้า จ้าวต๋าตัน แต่พอนึกถึงความสัมพันธ์ของเขากับอาจารย์จ้าว ก็ไม่ได้แปลกใจแต่อย่างใด
โหยวเสี่ยวโม่หยิบยาเซียนตันหลายขวดออกมา นี่ล้วนเป็ยาเซียนตันขั้นสองที่เขาหลอมได้ เป็ส่วนที่เขาขอหญ้าเซียนกับอาจารย์ลุงจ้าวไปคราวก่อน จำนวนครึ่งหนึ่งของหนึ่งเดือน เขาหลอมไว้ล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นจึงเอามาทีเดียว
เมื่อเห็นเขา จ้าวต๋าตันคิ้วกระตุก “ศิษย์น้องโหยว หญ้าเซียนของเดือนนี้ทั้งหมดเ้ารับไปหมดแล้วไม่ใช่รึ หรือเ้ามีคะแนนทำความดี ไม่งั้นข้าไม่มีทางให้หญ้าเซียนเ้าเพิ่มหรอกนะ”
แต่ด้วยความเป็ศิษย์พี่ห้าของเขา จ้าวต๋าตันรู้ดีว่าเขาไม่ได้มีคะแนนอะไรทั้งนั้น เพราะั้แ่เข้าร่วมสำนักมา เขาไม่เคยได้รับงานทำจากใครเลย เป็ธรรมดาที่จะไม่ได้คะแนน
โหยวเสี่ยวโม่ยิ้มให้เขา ไม่ได้ใส่ใจกับน้ำเสียงเขาแม้แต่น้อย แล้วยื่นยาเซียนตันหลายขวดให้เขา “ศิษย์พี่จ้าว นี่คือยาเซียนตันที่ข้าหลอมเรียบร้อยแล้ว ท่านลองนับดู”
ปกติแล้วหากจ้าวเจินอยู่นี่ เขาไม่นับแน่นอน เพราะเขาเชื่อว่าโหยวเสี่ยวไม่กล้าหลอกเขา แต่สถิติเต็มร้อยที่เขาหลอมมา หากยาเซียนตันจะหายไปบ้างนิดหน่อยก็ไม่เป็ไร เพราะศิษย์หลายคนตอนที่ยื่นยาเซียนตัน ส่วนใหญ่ก็มีเพียงสามในสี่ส่วน บ้างไม่ถึงสามส่วนก็มี ดังนั้นเมื่อเทียบกันแล้ว ของโหยวเสี่ยวโม่ถือว่าทำได้ดีกว่ามาก
ทว่าจ้าวต๋าตันไม่ใช่จ้าวเจิน เขาไม่เชื่อโหยวเสี่ยวโม่ ดังนั้นจึงนับต่อหน้าเขาจริงๆ เมื่อนับเสร็จ สีหน้าก็เปลี่ยนในที่สุด
หญ้าเซียนเก้าร้อยต้นหลอมยาเซียนตันขั้นสองได้สามร้อยเม็ด หากหลอมได้สำเร็จเต็มร้อย ก็ต้องยื่นยากลับมาหนึ่งร้อยห้าสิบเม็ด จากที่เขารู้ กระทั่งศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่รองยังทำได้ยากทีเดียว แต่โหยวเสี่ยวโม่ที่พึ่งบรรลุขั้นสองไม่ถึงเดือนกลับทำได้สำเร็จทั้งหมด?
ขณะนั้น ยาเซียนตันหลายขวดในมือเขานั้นมีทั้งหมดหนึ่งร้อยห้าสิบเม็ด ไม่ขาดไม่เกินแม้แต่เม็ดเดียว!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้