ลั่วจิ่งซีถูกปล่อยตัวออกจากคุกแต่แรกแล้ว ในขณะที่กำลังมองดูมารดาปกป้องตนเองอยู่นั้น ไม่รู้เพราะเหตุจึงรู้สึกปวดในใจแปลกๆ เพียงแต่เสี้ยวเวลาถัดมาก็พยายามบังคับให้ตนเองลืมความรู้สึกนี้ไปเสีย ก่อนจะก้มหน้าลงจึงทำให้ไม่อาจมองเห็นสีหน้าของลั่วจิ่งซีแบบชัดๆ ได้
ภายใต้หลักฐานมัดแน่นจนดิ้นไม่หลุด คนของโรงพนันสือวานเองก็ไม่อาจปฏิเสธเื่การคดโกงดอกเบี้ยได้ ส่วนเื่อื่นๆ นั้นหยางหนิงกับลั่วชีเหนียงเองก็ไม่ได้สืบสาวราวเื่มากนัก
ถึงอย่างไรนางเพียงแค่้าล้างชื่อเสียงที่เสียหายให้แก่ลั่วจิ่งซีเท่านั้น ส่วนหยางหนิงแค่้าข่มความเหิมเกริมของโรงพนันสือวาน ลำพังหลักฐานเล็กน้อยแค่นี้ หากจะกระทำการคิดถอนรากถอนโคนโรงพนันสือวานยังคงเป็ไปไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ ลั่วชีเหนียงจึงส่งมอบเงินหนึ่งตำลึงพร้อมทั้งสะสางบัญชีทวงหนี้ให้กับโรงพนันสือวาน แล้วพาลั่วจิ่งซีที่ไร้ความผิดกลับบ้าน
ผู้ใหญ่บ้านฝูอันคิดไม่ถึงว่าลั่วชีเหนียงเองก็มีมุมที่เข้มแข็งเช่นนี้ เขาที่มองดูนางก้าวเดินอยู่ด้านหน้าด้วยท่าทีองอาจ อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าชีวิตในภายภาคหน้าของสกุลลั่วกำลังจะดีขึ้นในไม่ช้า
ระหว่างทางลั่วจิ่งซีนิ่งเงียบไม่ส่งเสียงอันใดออกมา ชีเหนียงเองก็แอบเหล่มองเด็กหนุ่มที่ดูท่าทางอยากพูดแทบตายแต่ก็ยังพยายามปิดปากตนเองแน่น ทำตัวดื้อรั้นไม่พูดไม่จา ส่วนในใจได้แต่โอดครวญกับปัญหายุ่งยากที่เ้าของร่างทิ้งไว้ให้อย่างเงียบๆ
ช่างเถิด นางจะต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตด้วยกำลังของตนและจะต้องทำให้เด็กๆ ยอมรับให้ได้ในเร็ววันแน่ นางจะเลี้ยงดูพวกเขาจนเติบใหญ่เป็ผู้เป็คนเพียงเท่านี้ก็ถือว่าได้ทำความปรารถนาก่อนตายของลั่วชีเหนียงคนเดิมให้เป็จริงแล้ว เมื่อเวลานั้นมาถึงค่อยหาสถานที่เงียบสงบแล้วใช้ชีวิตเรียบง่ายในบั้นปลายก็แล้วกัน
“เ้าคงสงสัยว่าเหตุใดแม่จึงเปลี่ยนไปเช่นนี้ใช่หรือไม่?”
เมื่อลั่วจิ่งซีได้ยินสิ่งที่นางถาม พลันฝีเท้าก็หยุดชะงักลง
แม่? นางยอมรับว่าตัวนางคือแม่ของเขาเช่นนั้นหรือ? อีกอย่างท่าทีของเขาดูออกง่ายเพียงนั้นเชียว?
ลั่วชีเหนียงแสร้งทำเป็ไม่เห็นความผิดปกติของเด็กหนุ่มก่อนจะเอ่ยต่อ “หลายวันก่อนแม่ถูกจ้าวเจียโกวทำร้ายจนาเ็ที่ศีรษะ เมื่อครู่สิ่งที่หมอหลิวพูดในศาลเป็ความจริง หากช้าไปเพียงนิดเดียว เกรงว่าปีหน้าเราสองคนคงต้องเจอกันหน้าสุสานแล้วล่ะ”
“เหตุใดต้องใเพียงนั้นกัน? คิดว่าแม่ตายไม่ได้หรือไร?” เมื่อเห็นดวงตาของลั่วจิ่งซีสั่นไหว ชีเหนียงก็หัวเราะออกมาเบาๆ สุดท้ายเด็กก็คือเด็ก พอได้ยินว่าต้องอยู่กันคนละภพก็อดใจเสีย โศกเศร้าและหวาดกลัวไม่ได้
“หากมิใช่เพราะหนนี้แม่เกือบได้ไปปรโลก เกรงว่าตนเองก็ยังคงคิดไม่ได้ ต่อจากนี้ไปแม่จะดูแลพวกเ้าสามพี่น้องอย่างดี! แม่รู้ว่าเ้าไม่เชื่อ แต่เ้ารอดูก็แล้วกัน”
ชีเหนียงล้วงกำไลทองคำออกมาจากเสื้อ เดิมทีคิดว่าหากเื่นี้จัดการยาก นางจะใช้กำไลนี้ไปจำนำแล้วแลกเป็เงิน คิดไม่ถึงว่านายอำเภอกลับเที่ยงตรงเหมือนดั่งท่านเปาฟ้าใส [1] มิได้ลำเอียง ปกป้องโรงพนันสือวานแต่อย่างใด
ส่วนวัตถุที่รบกวนจิตใจชิ้นนี้ นางไม่้าเก็บไว้อีกต่อไป สู้นำไปแลกเป็เงินมาซื้อเสบียงอาหารยังดีเสียกว่า
แม้ลั่วจิ่งซีจะมองดูกำไลในมือของชีเหนียงโดยไม่ส่งเสียงอันใดออกมา
แต่ในใจกลับเริ่มรู้สึกสงสัยว่าสตรีนางนี้้าทำสิ่งใดกันแน่? เมื่อก่อนเขามักจะมองเห็นจากรอยแง้มของหน้าต่างว่านางมักโอบกอดกำไลบ้าชิ้นนี้อย่างทะนุถนอมและหวงแหนเป็อย่างมากก่อนจะร่ำไห้ อีกทั้งยังมิยอมให้ผู้ใดแตะต้องมันเลย หากแต่ไฉนตอนนี้จึงตัดใจได้ยอมนำมันออกมา?
ลั่วชีเหนียงหาได้สนใจไม่ว่าลั่วจิ่งซีคิดเช่นไร นางนำกำไลเดินตรงเข้าไปในร้านจำนำ
เมื่อเถ้าแก่ร้านจำนำตรวจสอบกำไลวงนี้สักพัก ก็เงยหน้าขึ้นมองสตรีที่นำมันมาด้วยสายตาสงสัย
ชีเหนียงเองก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติของเถ้าแก่ร้านจำนำจึงพูดขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เถ้าแก่ นี่คือของต่างหน้าที่สามีข้าทิ้งไว้ก่อนตาย หากตอนนี้มิใช่ว่าที่บ้านกำลังย่ำแย่ คงไม่มีทางเอามาแลกเงินเป็แน่”
เมื่อเถ้าแก่ได้ยินนางพูดเช่นนี้ จึงเข้าใจว่านางไม่ได้รับรู้ถึงความผิดปกติของกำไลที่นำมา
“เ้าถูกหลอกแล้ว!” เถ้าแก่วางกำไลลงบนถาด “กำไลนี้มีน้ำหนัก แต่น่าเสียดายที่ด้านในเป็แค่ทองแดง แล้วชุบทองคำไว้ด้านนอกหนึ่งชั้น”
“ทองคำชุบเช่นนี้ไม่มีค่าอันใดเลย เ้าอย่าได้มองแค่ภายนอกว่าเป็กำไลวงใหญ่เท่านั้น ข้าให้ได้อย่างมากก็แค่สองตำลึง”
เมื่อได้ยินคำพูดของเถ้าแก่ ดวงตาหงส์ของลั่วชีเหนียงก็เบิกกว้าง
จี้ฉงเหวินเ้าคนสารเลวสมควรตาย! คาดว่าั้แ่แรกแล้วที่จี้ฉงเหวินไม่คิดจะเหลือหนทางในการใช้ชีวิตให้ร่างเดิม เพียงแค่กำไลปลอมก็พอที่จะพิสูจน์อะไรได้มากมาย น่าขำที่ลั่วชีเหนียงคนก่อนถือเอาของสิ่งนี้เป็ความจริงใจของผู้ชายสารเลวคนนั้น!
หึ! ความจริงใจเช่นนี้ก็เพียงพอที่จะทำลายชีวิตของคนคนหนึ่งแล้ว
“เถ้าแก่ ท่านคือผู้เชี่ยวชาญ ของสิ่งนี้แม้จะไม่มีราคามากมายอันใด แต่อย่างน้อยช่วยสร้างมูลค่าสุดท้ายที่มีอยู่น้อยนิดให้มันด้วยเถิด ท่านช่วยดูทีว่าพอจะเพิ่มให้อีกสักเล็กน้อยได้หรือไม่ อย่างน้อยก็ให้ครอบครัวข้าผ่านพ้น่ที่ยากลำบากไปได้”
นางไม่้าเก็บของน่ารังเกียจนี้ไว้แม้แต่น้อยและอยากรีบแลกเป็เงินโดยเร็ว
เถ้าแก่ลูบเครา มองดูสตรีที่ในตอนแรกตื่นใก่อนจะกลับสู่ความนิ่งสงบเหมือนเดิม จึงอดไม่ได้ที่จะชื่นชมนางอยู่ในใจ
กำไลชิ้นนี้แม้จะเป็ทองคำชุบ แต่อันที่จริงก็พอเพิ่มให้ได้อยู่บ้าง สองตำลึงนั้นไม่ได้มากมายอันใด จึงอนุโลมได้
เพียงแต่สตรีนางนี้ดูเป็คนมีความสามารถไม่เบา เช่นนั้นเขาก็อยากลองผูกวาสนานี้ไว้
“เมื่อเป็เช่นนี้ ข้าขอพูดตามตรง สองตำลึงสำหรับของสิ่งนี้ในท้องตลาดนั้นถือว่าราคาสูงมากแล้ว ทว่าเห็นแก่ที่เ้าเป็สตรีอีกทั้งยังมีภาระ ข้าจะเพิ่มให้อีกสองร้อยอีแปะ แต่มากกว่านี้คงมิได้”
ลั่วชีเหนียงแทบอยากจะรีบขว้างของชิ้นนี้ออกไปให้ไกล แต่ใบหน้ากลับมีความลังเล
“เ้ารอง เ้าเห็นเป็เช่นไร?”
นางหันกลับไปถามบุตรชาย แต่สติของลั่วจิ่งซีนั้นยังไม่หายจากอาการตกตะลึงเมื่อได้รู้ความจริง
เมื่อลั่วจิ่งซีไม่สามารถช่วยอะไรนางได้ จึงทำได้แต่ยอมรับข้อเสนอของเถ้าแก่
ชีเหนียงกำถุงเงินที่เพิ่งได้มาเมื่อครู่ ไปซื้อเสบียงอาหารและเครื่องปรุงในอำเภอ ก่อนจะแบ่งซื้อเนื้อหมูมาสองชั่ง [2] พร้อมด้วยซี่โครงบางส่วน
ทุกการกระทำของนางล้วนอยู่ในสายตาของลั่วจิ่งซี เพียงแต่เพราะเหตุใด ทั้งที่นางรู้ว่าถูกชายผู้นั้นหลอกลวง กลับยังคงต่อรองราคาหมูด้วยใบหน้ายิ้มแย้มร่าเริงได้ นางไม่โกรธแค้นเลยหรือ?
ขนาดเขาที่ได้ยินว่านั่นคือกำไลปลอม ยังโมโหเดือดดาลจนแทบทนไม่ไหว หากมิใช่เพราะอยู่ข้างนอก เขาจะต้องโวยวายเป็แน่ แต่เพราะเหตุใดนางจึงปล่อยวางได้เช่นนี้?
อีกอย่าง เพราะกำไลชิ้นนี้ หลังชายผู้นั้นจากไปไม่นาน ก็มักจะมีโจรย่องเบาแอบเข้ามาในบ้าน แต่เสียดายที่นางซ่อนกำไลได้มิดชิดนัก พวกโจรจึงหาของไม่เจอ ทำให้ขโมยไปได้แค่ข้าวสารและน้ำมัน ทำให้่เวลานั้น พวกเขาพี่น้องจึงต้องใช้ชีวิตอย่างอดๆ อยากๆ
เขาไม่เชื่อว่านางจะไม่เคียดแค้นเลยแม้แต่น้อย!
แม้ลั่วจิ่งซีจะคิดไม่ตก แต่เขาก็รู้ว่าจะมีคนที่ให้ความกระจ่างใจแก่เขาได้แน่นอน ดังนั้นเมื่อกลับถึงบ้าน ลั่วจิ่งซีก็มุ่งตรงไปที่ห้องฝั่งตะวันออก ก่อนจะบอกเล่าเื่ราวในวันนี้ให้แก่ลั่วจิ่งเฉินได้ฟังอย่างละเอียด
ส่วนลั่วจิ่งเฉินนั้นพอได้ยินว่ากำไลเป็ของปลอม ถึงกับพ่นลมหายใจออกมาด้วยความครุกรุ่น!
ชายผู้นั้น้าตัดอนาคตของพวกเขาให้หมดสิ้นจริงๆ ถึงขั้นคำนวณทุกสิ่งไว้ดิบดี! สุดท้ายไม่ว่านางจะยอมนำกำไลไปแลกเป็เงินมารักษาขาของเขาหรือไม่ แต่ผลลัพธ์ก็ยังคงเป็เช่นเดิมคือรักษาไม่ได้เพราะมีเงินไม่เพียงพอ ส่วนตัวเขาก็ต้องเป็คนพิการไปตลอดชีวิต แม้ว่าตนเอง้าแก้แค้น แต่ในแง่ของหลักความกตัญญูย่อมไม่อนุญาตให้ทำเช่นนั้น อีกทั้งร่างกายของเขาก็ยังเป็ภาระอีกด้วย
มิอาจสอบเส้นทางขุนนางได้ ย่อมไร้ซึ่งความมั่นใจ!
โหดร้ายนัก! จี้ฉงเหวิน เ้าช่างโหดร้ายเกินไปแล้ว! เสือยังไม่กินลูกของตน [3] แต่ชายผู้นั้นกลับบีบคั้นครอบครัวจนหมดสิ้นหนทาง คิดว่านางเองก็คงจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ถึงได้ตัดสินใจแน่วแน่ขายกำไลวงนั้นทิ้งไป
ลั่วจิ่งซีเห็นพี่ชายสีหน้าตึงเครียด ร่างกายแผ่ความเ็ปและเคียดแค้นออกมาอย่างบอกไม่ถูก!
“พี่ใหญ่…”
ลั่วจิ่งเฉินกำหมัดเพื่อสงบอารมณ์อยู่นาน “ข้าไม่เป็ไร เ้าออกไปเถิด”
......
ณ ลานบ้าน ไหลไหลน้อยคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวั้แ่ที่เห็นลั่วจิ่งซีเข้าไปในห้องฝั่งตะวันออกอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นลั่วจิ่งซีออกมาก็วิ่งฉิวหายเข้าไปในโรงครัว
“ท่านแม่ พี่รองออกมาแล้ว”
ไหลไหลน้อยเข้าไปรายงานกับลั่วชีเหนียงด้วยใบหน้ากระตือรือร้น แม้พวกเขาจะเป็พี่น้องกัน เพียงแต่สำหรับลั่วจิ่งไหลแล้ว ลั่วจิ่งซีคือคนที่ได้พบเจอเป็บางครั้ง ส่วนพี่ชายคนโต ก็มักจะขังตนเองไว้ในห้องนอน
ถึงคนที่ไปเรียกเหล่าพี่ชายให้มากินข้าวจะเป็ตนในบางครั้งก็ตาม พวกเขาก็ไม่เคยวางสีหน้าที่ดีเท่าใดนัก ด้วยเหตุนี้แม้ไหลไหลจะสงสัยใคร่รู้ในตัวพี่ชายทั้งสอง แต่ก็ไม่ยินยอมเข้าใกล้มากนัก ถึงอย่างไรตนมีแค่มารดาก็เพียงพอแล้ว ไม่สนใจพวกเขาก็ได้
-----
[1] ท่านเปาฟ้าใส มาจากคำว่า 包青天 เป็ฉายาของ เปาเจิ่ง หรือที่คนไทยรู้จักกันในนาม เปาบุ้นจิ้น ด้วยเพราะการตัดสินอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมโดยไม่แบ่งแยกชนชั้น ดั่งเช่นท้องฟ้าที่กระจ่างใส ทำให้ผู้คนต่างกล่าวขานฉายาให้ท่านเปาเจิ่งว่า เปาชิงเทียน หรือ เปาฟ้าใส
[2] 1 ชั่ง (斤) เท่ากับ 500 กรัม
[3] เสือยังไม่กินลูกของตน หมายถึง คนเราไม่ว่าเหี้ยมโหดแค่ไหนก็ไม่ทำร้ายลูกของตนเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้