ในตอนที่อวิ๋นซีเข้าไปในเมืองฝั่งตะวันตกของเมืองเฟิงนั้น ขณะเดียวกันที่บ้านตระกูลฉินในเมืองหลวง จวินเหยียนก็เพิ่งจะลุกขึ้นนั่ง เนื้อตัวอ่อนปวกเปียกไปทั้งร่าง เขายังคงรู้สึกหนักศีรษะ และอ่อนแรงไปหมด ไม่มีแม้แรงจะขยับกาย
เขาใคร่ครวญถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนถูกอวิ๋นซีทำให้สลบไป ฉับพลันนั้นเขาก็ลุกพรวดขึ้น ทว่าสายตากลับเหลือบไปเห็นจดหมายข้างเตียง เขาเปิดจดหมายน้อยออกอ่านด้วยสีหน้าดำคล้ำ
สามี ยามที่ท่านได้อ่านจดหมายฉบับนี้ ตัวข้าก็คงไปถึงเมืองเฟิงแล้ว หากตอนนี้ท่านกำลังโกรธอยู่ ข้าก็ขอเพียงให้ท่านอ่านจดหมายฉบับนี้ให้จบด้วยใจที่สงบ ส่วนเื่ที่ว่า เมื่อข้ากลับมาแล้วท่านจะลงโทษเช่นไร ยามนั้นก็ค่อยมาเจรจากัน
ยามนี้ข้าได้ให้เว่ยซานปลอมกายเป็ท่านอยู่ข้างกายข้า เื่ที่เกิดขึ้นในเขตโรคระบาดมอบให้เป็หน้าที่ข้า ตอนนี้ท่านคือฉินเหยียน ฉินเหยียนที่เป็กองหลังที่สำคัญที่สุดของข้า ท่านเป็คนที่เข้าใจข้ามากที่สุดก็ย่อมต้องเข้าใจแน่ว่า เหตุใดข้าถึงทำเช่นนี้ ดังนั้น อย่าได้พาลโกรธคนอื่น เพราะเื่นี้เลย พวกเขาเพียงทำตามคำสั่งของข้าก็เท่านั้น แต่หากข้ารู้ว่าท่านลงโทษเว่ยหลงละก็ วันหน้าไม่ว่าเื่ใด ข้าก็ไม่้าคนของท่านอีกแล้ว
ทว่า ข้าให้สัญญากับท่าน จะมีชีวิตรอดกลับมา!
ด้านหลังจดหมายของอวิ๋นซีมิได้ลงชื่อไว้ เมื่อจวินเหยียนอ่านจบก็โกรธจนแทบอยากจะฉีกจดหมายทิ้ง เขาพูดเสียงขรึม “ยังมัวยืนอยู่ด้านนอกทำอะไร? เข้ามา! ”
เว่ยหลงที่เฝ้าอยู่ด้านนอกรีบรุดเข้ามาด้านใน รูปโฉมภายนอกของเขาแปรเปลี่ยนไปแล้ว แตกต่างไปโดยสิ้นเชิงกับองครักษ์ที่ยามปกติติดตามอยู่ข้างกายจวินเหยียน เมื่อเดินไปถึงข้างกายผู้เป็นายก็ตอบรับคำทันที “นายท่าน”
“เปิ่นหวางนอนไปกี่วันแล้ว” เขาไม่มีทางหลับไปแค่วันเดียวแน่ สตรีนางนั้นไม่ว่าจะทำเื่ใดก็ล้วนเป็การเดินหนึ่งก้าว แต่คิดไปแล้วสิบก้าว ดังนั้น คนต้องวางยาเขาในปริมาณที่ไม่น้อยเป็แน่
เว่ยหลงก้มหัวลงต่ำ ยามนี้ไม่กล้าแม้แต่จะเผชิญหน้ากับนายท่านตรงๆ “พระชายาให้ยาไว้สำหรับสองวันพ่ะย่ะค่ะ พระนางตรัสว่าเมื่อท่านอ๋องฟื้น พระนางก็ย่อมนำคนไปถึงเมืองเฟิงแล้ว ทั้งยังบอกอีกด้วยว่า หากท่านอ๋องฟื้นขึ้นมาแล้วคิดจะตามไป...”
ประโยคสุดท้ายเว่ยหลงไม่กล้าพูดต่อ เขาแอบคิดในใจ พระชายา เหตุใดจึงต้องทำให้กระหม่อมลำบากเพียงนี้ด้วย หากตนพูดออกไปจริงๆ มีหวังจบสิ้นแน่
จวินเหยียนมองเว่ยหลงด้วยสายตาเ็า ก่อนจะถาม “หากเปิ่นหวางกล้าตามไป แล้วนางจะทำเช่นไร? ”
เมื่อเว่ยหลงได้ยินคำถามก็ยิ่งก้มหัวต่ำลงราวกับแทบอยากจะหาที่ซ่อนกายเสียตอนนี้ อย่าให้นายท่านได้มองเห็นตน ตอนนี้เขานึกเสียใจแล้ว ถ้ารู้ก่อนว่าแผนการเป็เช่นนี้ เขาคงจะให้เว่ยซานอยู่ที่นี่ ส่วนตัวเขาแปลงโฉมเป็นายท่านตามไปอยู่ข้างกายพระชายาจะดีกว่า อย่างน้อยๆ ก็ไม่ต้องทนรับกับความกดดันจากนายท่านอยู่ที่นี่
“พูด! ”
จวินเหยียนพูดเสียงเย็นเยียบเพียงคำเดียว ทำให้เว่ยหลงใจนรีบตอบคำ “พระชายาตรัสว่า หากนายท่านกล้าตามไปจริงๆ เมื่อกลับมาจะหย่าสามีพ่ะย่ะค่ะ”
หย่าสามี?
นางถึงกับพูดว่า จะหย่าสามี?
อวิ๋นซี...
ใครมอบความกล้าเพียงนี้แก่เ้ากัน ถึงได้มีความคิดจะหย่าสามี
ชั่วขณะนั้นเว่ยหลงก็รู้สึกหนาวเหน็บราวกับอุณหภูมิของที่นี่ลดฮวบลงไม่หยุด เท้าของเขาขยับไปมา ด้วยหวังเป็อย่างยิ่งที่จะได้ไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด เขาคิดไป ภาวนาไป หวังว่านายท่านจะมีสติสักหน่อย
จวินเหยียนมองเว่ยหลงที่ดูหวั่นกลัวว่าจะถูกลงโทษ เขาพูดเสียงเย็น “หากไม่ใช่เพราะอาซีบอกไว้ก่อนว่า ห้ามเปิ่นหวางลงโทษพวกเ้า ตอนนี้เปิ่นหวางก็คงคิดอยากจะโยนพวกเ้าใส่รังงูเสียเดี๋ยวนี้”
เว่ยหลงสูดลมหายใจเข้าลึก
รังงู?
จนถึงตอนนี้ ในบรรดาคนที่เขารู้จัก เมื่อเข้าไปยังที่แห่งนั้นแล้วก็ไม่มีใครเลยสักคนที่ได้มีชีวิตรอดออกมา แท้จริงแล้วการสังหารคนใช้เวลาเพียงชั่วพริบตา แต่หากถูกโยนลงไปในรังงู ก็จะเท่ากับเป็การโดนทรมานอย่างสุดจะทานทนจนตาย นี่เป็วิธีที่นายท่านเลือกใช้กับคนทรยศเท่านั้น เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในใจเขาก็หมองหม่น หรือว่าในใจของนายท่านจะเห็นเขาเป็คนทรยศไปเสียแล้ว
ความคิดของเว่ยหลงสับสน
จวินเหยียนมององครักษ์ตน พูดเรียบๆ “ั้แ่วันนี้ไป ชีวิตของเ้าเป็ของอาซี”
เมื่อพูดประโยคนี้จบ จวินเหยียนก็ค่อยๆ สวมเสื้อตัวนอก เดินออกไปด้านนอก และทิ้งเว่ยหลงที่ยังคงโง่งมไว้เบื้องหลง...ั้แ่วันนี้ไป ชีวิตของเขาเป็ของพระชายา?
หมายความว่าอย่างไร?
ตอนที่จวินเหยียนเดินไปถึงด้านนอก เขามองออกไปยังท้องฟ้าที่ดูมืดครึ้มเล็กน้อย มองออกไปยังทิศทางของเมืองเฟิงพลางคิดในใจว่า อาซี ตอนนี้เ้าเป็เช่นไรแล้ว เ้าต้องจดจำสัญญาที่ให้ไว้กับเปิ่นหวางให้ดี เ้าต้องมีชีวิตรอดกลับมา
คิดถึงตรงนี้ เขาก็พูดเสียงขรึม “สั่งการลงไป ให้คนจับตาดูเมืองเฟิงและอวี่โจวไว้ตลอด หากคนที่นั่นมีความ้าใด ก็ให้คนรีบเตรียมพร้อมแล้วส่งไปยังเขตโรคระบาดทันที”
อาซี ในเมื่อนี่เป็สิ่งที่เ้า้า เช่นนั้นข้าก็จะเคารพการตัดสินใจของเ้า เ้าอยู่ที่เขตโรคระบาดก็ตั้งใจทำเื่ของเ้าให้ดี ส่วนเื่ด้านนอกนี้ก็มอบให้เป็หน้าที่ข้าทั้งหมด ข้าจะไม่ให้เื่ใดก็ตามมาถ่วงขาเ้าไว้แน่
……...........................................................................................
อวิ๋นซีนำหลิ่วเซิงไปดูแม่ลูกคู่หนึ่งที่เอนกายพิงหน้าต่างพังๆ อยู่ เด็กชายที่นางกอดไว้ในอ้อมแขนดูแล้วเพิ่งจะอายุห้าหกขวบ ทว่าร่างกายของสองแม่ลูกซูบผอมมากราวกับหนังหุ้มกระดูก
สีหน้าของคนทั้งสองไม่ได้แตกต่างไปจากผู้คนที่นางเห็นมาตลอดทาง ทั้งร่างปลดปล่อยกระไอแห่งความตายออกมา แม้กายจะเป็เช่นนี้ แต่ผู้เป็มารดาก็ยังกอดลูกของตนไว้อย่างเอาเป็เอาตาย ในตอนนั้นเองเด็กชายงอตัวอยู่ในอ้อมแขนมารดา ใช้เสียงอ่อนระโหยพูดว่า “ท่านแม่ ข้าหนาว ข้าหนาว...”
อวิ๋นซีขึ้นหน้าไปอย่างรวดเร็ว ทว่า เมื่อเดินไปถึงตรงหน้าสตรีผู้นั้น คนกลับใจนสองมือที่กอดลูกไว้ยิ่งกอดแน่นขึ้นราวกับเด็กที่นางกอดอยู่ในอ้อมแขนในยามนี้นับเป็ของล้ำค่าที่สำคัญที่สุดของนางก็ไม่ปาน ราวกับนางกลัวจะถูกคนแย่งไป
อวิ๋นซีนั่งยองๆ มองสตรีผู้นั้นอีกครั้ง พูดเสียงเบา “ไม่ต้องกลัว ข้าเป็หมอ”
คำง่ายๆ ไม่กี่คำ แต่เมื่อฟังด้วยหูของหญิงคนนั้นก็ราวกับได้ฟังเสียงดนตรีที่ไพเราะที่สุดในโลกนี้ นางเงยหน้ามองอวิ๋นซีทันที คิดอยากจะคุกเข่าให้อย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่พอจะขยับตัวถึงได้พบว่า ตนไร้เรี่ยวแรงไปทั้งร่างแล้ว นางมองอวิ๋นซีด้วยแววตาเว้าวอน “ขอร้องท่าน ขอร้องท่าน ช่วยลูกชายข้าด้วย”
ตอนนี้นางไม่กล้ากกกอดความหวังใดไว้อีกแล้ว เนื่องจากนางเป็ผู้ติดเชื้อกลุ่มแรกที่ถูกส่งมาที่นี่ หลายวันมานี้ได้เห็นคนตายจำนวนไม่น้อยถูกหามออกไป นางจึงไม่รู้ว่าเมื่อใดความตายนั้นจะเวียนมาถึงตนและลูกชาย แต่ในยามที่นางสิ้นหวังอย่างที่สุดกลับได้ยินคนแนะนำตนว่าเป็หมอ
อวิ๋นซีมองสตรีผอมแห้งคนนี้ จากนั้นพยักหน้าให้ ก่อนจะยื่นมือตนที่สวมถุงมือไหมฟ้าที่จวินเหยียนให้คนทำขึ้นเมื่อสองปีก่อนออกไปช่วยตรวจดูอาการให้เด็กในอ้อมแขนของมารดาอย่างระมัดระวัง เมื่อถึงตอนสุดท้าย นางก็ยิ่งตกตะลึง
หลังจากที่ได้สอบถามผู้หญิงคนนั้นเพิ่มเติม นางจึงได้รู้ว่า ตอนแรกเด็กคนนี้ก็แค่มีอาการอาเจียน ในตอนหลังเริ่มท้องเสีย อีกทั้ง ท้องแขนยังพบบางสิ่งที่คล้ายกับก้อนเนื้อโตขึ้น
เยว่หัวเดินเข้ามา ถามว่า “อาจารย์ นี่คือโรคระบาดใด? ”
อวิ๋นซีมองเยว่หัวเรียบๆ นางไม่แม้แต่จะตอบคำถามก็หันไปพูดกับเว่ยซาน “ไปหากระทะหรือหม้อที่สามารถใช้การได้ จากนั้นก่อไฟ ต้มน้ำให้เดือด จากนั้นก็ปล่อยให้อุ่นแล้วค่อยต้มเกลือให้พวกเขาดื่ม”
เว่ยซานไม่ได้ถามมาก ทำเพียงพยักหน้ารับคำสั่ง ก่อนจะพาคนสองคนที่ตนพามาด้วยไปเริ่มทำงานทันที หลิ่วเซิงมองเงาหลังของเว่ยซานอย่างขบคิด เขาไม่ได้อยากยุ่งเื่นี้ จึงกลับมาถามคำถามเดียวกับเยว่หัว “เ้าแน่ใจแล้วหรือว่าเป็โรคระบาดใด? "