เคอโยวหรานลอบรู้สึกขบขันอยู่ในใจ ทว่าใบหน้ากลับไม่แสดงออก “พวกท่านกับข้าเกี่ยวข้องอันใดกัน เหตุใดข้าต้องนำของดีเช่นนี้ให้พวกท่านด้วย? เอาให้คนละขวดแล้วยังไม่รู้จักพออีกหรือเ้าคะ”
ผู้เฒ่าเคราแพะรีบเอ่ยประจบทันที “นี่! แม่นางน้อย เอ่ยเช่นนี้ไม่ถูกต้อง เมื่อครู่มิใช่ว่าตาเฒ่ารับเ้าเป็ศิษย์แล้วหรือ? การที่ศิษย์แสดงความกตัญญูต่ออาจารย์ถือเป็บัญชา์มิใช่หรือ”
“ตาเฒ่าเซวีย เห็นกันอยู่ทนโท่ว่าแม่นางน้อยผู้นี้คือศิษย์ของข้า นางควรจะแสดงความกตัญญูต่อข้าต่างหาก เ้าหลีกไปเสีย” ผู้เฒ่าหนวดเขี้ยวไม่ยอมเป็รองและเผยสีหน้าร้อนใจ
ครั้นเห็นสองผู้เฒ่ากำลังจะต่อยตีกันอีกครั้ง ดวงตาของเคอโยวหรานพลันเป็ประกาย รีบขัดจังหวะพวกเขาแล้วเอ่ยหารือว่า
“นี่! เช่นนั้นก็เอาเยี่ยงนี้ ข้ากราบท่านทั้งสองเป็อาจารย์พร้อมกัน พวกท่านก็แข่งกันว่าผู้ใดจะสอนวิชาความรู้ให้ข้าได้มากกว่า ข้าเรียนวิชาความรู้ของผู้ใดได้เร็วกว่ากัน เมื่อเป็เช่นนี้ก็ไม่ต้องต่อสู้กันแล้ว ใช้การเรียนของข้ามาประชันกันดีหรือไม่เ้าคะ? ในขณะเดียวกัน! ข้ายังสามารถปรุงอาหารรสเลิศและมอบสุราบริสุทธิ์ให้ท่านทั้งสองทุกวัน เป็อย่างไรเ้าคะ?”
หืม? ผู้เฒ่าทั้งสองดวงตาเบิกโพลง พลางเผยสีหน้า ‘เ้าคิดว่าพวกข้าโง่หรือ?’ ออกมาอย่างชัดเจน
ผู้เฒ่าเคราแพะยกมือมันเยิ้มลูบเคราของตนเอง “แม่นางน้อย เ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเราทั้งสองคือผู้ใด? กราบเพียงหนึ่งในพวกเราเป็อาจารย์ก็สามารถเดินวางมาดไปทั่วใต้หล้าได้แล้ว เ้าจะกราบสองคนในคราเดียวหรือ? ไม่คิดว่าละโมบเกินไปหรืออย่างไร?”
ผู้เฒ่าหนวดเขี้ยวก็ใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งลูบหนวดของตนพลางพยักหน้าระรัวเช่นกัน
นึกไม่ถึงว่าความเห็นของผู้เฒ่าทั้งสองจะสอดคล้องกันอย่างน่าประหลาดอีกครั้ง
เคอโยวหรานไม่สนใจ นางยักไหล่และเอ่ยอย่างไม่แยแสเลยสักนิดว่า “เช่นนั้นพวกท่านจะให้ข้ากราบผู้ใดเป็อาจารย์เล่าเ้าคะ? ถึงอย่างไรข้าก็ปรนนิบัติรับใช้เพียงอาจารย์ของข้า คนอื่นโปรดหลีกไปด้านข้างเ้าค่ะ”
“ย่อมต้องกราบข้า!”
“กราบข้า!”
“ต้องกราบข้าเป็อาจารย์! ตาเฒ่าเซวีย เ้าหลีกไป!”
“นี่! ตาเฒ่าอิน เหตุใดเ้าต้องแย่งของดีๆ กับข้าตลอดเลยเล่า?”
......
ไม่นานนักผู้เฒ่าทั้งสองก็ทะเลาะกันจนหน้าแดงเถือก เถียงคอเป็เอ็น ฉับพลันนั้นก็เริ่มต่อสู้กันด้วยร้อยแปดกระบวนท่า ว่องไวจนเกิดเงาพร่าเลือน
ทำเอาเคอโยวหรานเห็นแล้วถึงกับตาลาย เพียงแต่นางเองก็ดูออกว่าสองผู้เฒ่ามีวรยุทธ์สูสีกัน ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจทำร้ายอีกฝ่ายได้
นางพลันหยัดกายลุกขึ้น ใช้หิมะดับกองไฟ ก่อนหยิบขวดสุราเปล่าบนพื้นเก็บเข้าบนชั้นวางในมิติวิเศษ เพราะนางยังต้องใช้ขวดสุรานี้แยกบรรจุเครื่องดื่ม!
เมื่อทำสิ่งเหล่านี้เสร็จสิ้น เคอโยวหรานก็ก้าวเท้าเดินลงเขาโดยไม่ลังเลแม้แต่นิด
เดิมทีเตรียมไก่ย่างไว้ให้ทั้งสองครอบครัว ครอบครัวละสองตัว แต่นึกไม่ถึงว่าสองผู้เฒ่าจะมีกำลังวังชามากขนาดนี้
ยามนี้ไก่ย่างทั้งหมดถูกพวกนางสามคนกินจนหมดเกลี้ยง ไม่เหลือเลยสักตัว กลับไปยังต้องคิดหาวิธีอื่นเพื่อปรุงอาหารให้ท่านพ่อ ท่านแม่ และพวกน้องๆ กินสักหน่อยแล้ว
สองผู้เฒ่าที่อยู่ในสมรภูมิพลันร้อนรนใจ ไม่ต่อสู้กันอีกแล้ว ต่างพากันขวางทางเดินของเคอโยวหรานเอาไว้
“นี่! แม่นางน้อย อย่าเพิ่งไป! ยังไม่ทันมอบสุราให้อาจารย์เลยด้วยซ้ำ?”
“ใช่แล้ว! แม่นางน้อย เ้าอย่าเพิ่งรีบร้อนจากไปนัก!”
เคอโยวหรานใช้แขนข้างหนึ่งกอดอก ส่วนอีกข้างกุมปลายคางของตน พลางเอ่ยด้วยความลำบากใจว่า “ไม่ว่าจะกราบผู้ใดในพวกท่านเป็อาจารย์ ข้าก็ยังต้องหมางใจกับอีกคน มิสู้ไม่กราบผู้ใดเป็อาจารย์ทั้งสิ้น ทุกคนจะได้อยู่อย่างสงบสุขเ้าค่ะ”
กล่าวจบก็ก้าวเท้าหมายจะจากไป ผู้เฒ่าทั้งสองต่างร้อนรนใจ รีบเอ่ยเป็เสียงเดียวกันว่า “เ้ากราบพวกเราสองคนเป็อาจารย์ในคราเดียวก็สิ้นเื่แล้วมิใช่หรือ!”
“หึ!” เคอโยวหรานหัวเราะเสียแล้ว อ้อมไปไกลถึงเพียงนั้น สุดท้ายก็ยังวกกลับมาสู่จุดเริ่มต้นเหมือนเดิมมิใช่หรือ!
สองผู้เฒ่าเผยสีหน้าเหยเก หลังกล่าวประโยคนี้จบก็ล้วนชะงักงัน เพียงแต่เมื่อนึกถึงรสชาติล้ำเลิศเป็หนึ่งในใต้หล้าของไก่ย่างและสุราชวนหวนรำลึกไร้ที่สิ้นสุด พวกเขาก็พากันยอมจำนนแล้ว
เคอโยวหรานยกยิ้มไม่ต่างกับจิ้งจอกน้อย เอ่ยว่า “พวกท่านแนะนำตัวสักหน่อยเถิด! ข้าควรจะเรียกท่านอาจารย์ทั้งสองว่าอย่างไรดีเ้าคะ? ย่อมต้องมีความแตกต่างกันสักหน่อยกระมัง!”
ผู้เฒ่าเคราแพะลูบเคราของตนก่อนเอ่ยด้วยความภาคภูมิใจยิ่ง “ตัวข้าแซ่เซวีย ผู้คนทั่วหล้าเรียกข้าว่าเซียนพิษ เป็อันดับหนึ่งด้านโอสถพิษ ทั่วหล้าไร้ผู้ใดเทียบเทียม!”
ผู้เฒ่าหนวดเขี้ยวก็ไม่ยอมเป็รอง รีบเอ่ยว่า “ตัวข้าแซ่อิน ข้าคือหมอเทวะผู้เป็อันดับหนึ่งทั้งด้านการเยียวยาและน้ำใจอริยะ! ความรู้ด้านการแพทย์ทั่วหล้าล้วนมีตัวข้าเป็ผู้นำ”
ซี้ด! เคอโยวหรานเองก็รู้ว่าสองคนนี้ไม่ธรรมดา คิดเพียงจะแอบอ้างนามของสองผู้เฒ่าเพื่อปกปิดเื่มิติวิเศษเท่านั้น
เพราะหากหยิบของดีๆ หน้าตาแปลกประหลาดจำนวนหนึ่งออกมาบ่อยครั้ง ย่อมทำให้ผู้อื่นสงสัยได้โดยง่าย แต่ถ้ามีอาจารย์ทั้งสองคอยแบกรับหายนะ เช่นนั้นผลลัพธ์ก็ย่อมต่างออกไป!
ทว่านึกไม่ถึงเลยสักนิด! นางเผลอกราบผู้ที่เก่งกาจถึงเพียงนี้ตั้งสองคนเป็อาจารย์เสียแล้ว โชคชะตาช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ! ฮ่าๆๆๆ!
แม้ภายในใจจะยินดีถึงขีดสุด แต่บนใบหน้ากลับไม่แสดงออกสักนิด นางเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็เยี่ยงนี้ เช่นนั้นข้าจะเรียกพวกท่านว่าท่านอาจารย์หมอเทวะกับท่านอาจารย์เซียนพิษดีหรือไม่เ้าคะ?”
เซียนพิษพลันเอ่ยด้วยความไม่พอใจ “หืม? เหตุใดไม่เรียกว่าท่านอาจารย์โดยตรงเล่า หากเรียกขานเช่นนี้ เ้าไม่คิดว่าแปลกประหลาดหรอกหรือ?”
เคอโยวหรานยกยิ้มขออภัย “เช่นนั้นหากท่านทั้งสองอยู่พร้อมกันและคำเรียกไม่มีความแตกต่าง ยามข้าเรียกพวกท่านว่าท่านอาจารย์ แล้วพวกท่านขานรับพร้อมกัน จะไม่รู้สึกน่ากระอักกระอ่วนหรือเ้าคะ?”
คนทั้งสองนิ่งเงียบไปพร้อมกัน นึกไม่ถึงว่าจะไร้วาจาโต้ตอบ
เคอโยวหรานใช้นิ้วชี้แตะนิ้วโป้งถูกันไปมาเพื่อสื่อถึงการขอเงิน นางยกยิ้มตาหยีพลางเอ่ยว่า “นอกจากนี้ ท่านทั้งสองก็กินไก่ย่างของข้าแล้ว ทั้งยังดื่มสุราของข้าอีก ในเมื่อรับข้าเป็ศิษย์แล้ว ก็ควรจะมีของขวัญกราบอาจารย์สักหน่อยกระมังเ้าคะ?”
สองผู้เฒ่าพยักหน้า ต่างล้วงหยิบจี้หยกครึ่งชิ้นออกมาจากอกเสื้อแล้ววางลงในมือของเคอโยวหรานพร้อมกัน
นึกไม่ถึงว่าจี้หยกทั้งสองจะสามารถประกอบกันกลายเป็หนึ่งคู่ ฝีมืองามประณีต ทำจากเนื้อหยกชั้นเลิศ ทั้งยังแกะสลักอย่างวิจิตรพิสดารอีกด้วย
จากนั้นหยกทั้งสองพลันรวมเป็หนึ่ง ไม่พบร่องรอยของรอยแตกแม้เพียงนิด!
สองผู้เฒ่าเบิกตากว้างพลางหันมองซึ่งกัน และเปิดปากเอ่ยโดยพร้อมเพรียงว่า “ตาเฒ่าเซวีย! ตาเฒ่าอิน! เหตุใดเ้าถึงมอบของขวัญชิ้นนี้เล่า?”
ครั้นเคอโยวหรานเห็นสีหน้าของคนทั้งสองก็รับรู้ว่าของขวัญกราบอาจารย์ชิ้นนี้ไม่ธรรมดา “ท่านอาจารย์ทั้งสอง ของขวัญชิ้นนี้มีความสำคัญอันใดหรือเ้าคะ?”
หมอเทวะลูบหนวดเขี้ยวของตนพลางเอ่ยว่า “เมื่อห้าร้อยปีก่อน สำนักแพทย์และสำนักพิษคือสำนักเดียวกัน ภายหลังได้แยกออกจากกันด้วยเหตุผลบางประการ กลายเป็สองสำนักที่แตกต่างกัน หยกสองชิ้นนี้เป็ของเ้าสำนัก พบหยกดั่งพบคน ในเมื่อมอบให้เ้าแล้ว เ้าก็เก็บเอาไว้ให้ดีเป็พอ ภายหน้าเ้าคือผู้สืบทอดทั้งสองสำนักของพวกเรา”
เซียนพิษพยักหน้าเช่นกัน เขาลูบเคราแพะก่อนเอ่ยว่า “เป็ลิขิต์! นี่อาจเป็ลิขิต์ แม่นางน้อย เ้าเก็บเอาไว้ให้ดี อย่าได้ทำหายเป็อันขาด หยกชิ้นนี้สำคัญยิ่ง ภายหน้าเ้าก็คือผู้สืบทอดคนต่อไปของสำนักโอสถพิษของพวกเราแล้ว”
เคอโยวหรานถึงกับพูดไม่ออก หากเป็ของสำคัญพวกท่านจะเอามาให้ข้าด้วยเหตุใด? ทั้งยังผู้สืบทอดคนต่อไปอันใดนั่นอีก?
ของสำคัญหมายถึงปัญหาและความรับผิดชอบ นางแค่อยากพาคนในครอบครัวหาเงินจนมีอันจะกิน จากนั้นเอาแต่ทำตัวเป็ปลาเค็ม [1] นอนโง่ๆ ในวัยเกษียณก็เท่านั้น
ครั้นคิดมาถึงตรงนี้ เคอโยวหรานพลันรีบแยกหยกหนึ่งคู่ออกเป็สองชิ้นเพื่อคืนให้ผู้เฒ่า “สิ่งของล้ำค่าถึงเพียงนี้ ข้าไม่้าเ้าค่ะ ผู้สืบทอดอันใดนั่นข้าก็ไม่อยากเป็ พวกท่านให้ของขวัญเป็สิ่งอื่นเถิดเ้าค่ะ ยกตัวอย่างเช่นเงินทองอันใดทำนองนั้น!”
สองผู้เฒ่าถอยหลังไปก้าวหนึ่งโดยพร้อมเพรียง ความคิดเห็นเป็หนึ่งเดียวกันอย่างน่าประหลาดอีกครา “สิ่งของที่มอบออกไปแล้วจะเอากลับคืนได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นบนกายของพวกข้าก็มิได้พกเงิน จะนำสิ่งอื่นใดมามอบให้เ้าได้เล่า?”
ให้ตายเถิด! คงมิใช่กระมัง!
พวกท่านทั้งสองมีฐานะไม่ธรรมดา แต่ยามออกจากจวนกลับไม่พกเงิน? ์ อย่าล้อข้าเล่นเช่นนี้! นอกจากสกุลเคอกับสกุลต้วน ข้ายังต้องเลี้ยงผู้เฒ่าอีกสองคนด้วยหรือ?
เคอโยวหรานรับรู้เพียงว่าจี้หยกภายในมือไม่ต่างอันใดกับเผือกร้อน จะโยนทิ้งก็มิได้ จะส่งคืนก็มิได้ น่ารำคาญใจเป็อย่างยิ่ง!
นี่ไม่เท่ากับยกหินขึ้นแต่กลับทับเท้าตนเอง [2] หรอกหรือ? อยู่ดีไม่ว่าหาเื่กราบอาจารย์อันใดกัน? ครานี้ประเสริฐแล้วกระมัง!
“เฮ้อ!” หลังถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เคอโยวหรานก็โยนจี้หยกเข้าไปในมิติวิเศษ วางไว้ในลิ้นชักตรงเคาน์เตอร์ชำระเงินของซูเปอร์มาร์เก็ต
ไม่มีที่ใดปลอดภัยไปกว่ามิติส่วนตัวของนางอีกแล้ว จะทำสิ่งของสำคัญเช่นนี้หายไปมิได้เป็อันขาด
รอจนกระทั่งผู้เฒ่าทั้งสองหาผู้สืบทอดที่เหมาะสมพบค่อยส่งคืนเป็พอ! นางไม่้าของสิ่งนี้ ยุ่งยากยิ่งนัก!
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ปลาเค็ม 咸鱼 มีความหมายแฝงในภาษาจีน หมายถึง คนไร้ความสามารถ คนขี้แพ้
[2] ยกหินขึ้นแต่กลับทับเท้าตนเอง 搬起石头砸自己的脚 หมายถึง คิดร้ายต่อผู้อื่น จึงย้อนกลับมาหาตนเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้