เมื่อชิงจื่อช่วยเยว่เฟิงเกอผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เรียบร้อยแล้วถึงได้เดินออกไปจากเรือน
อาหารมื้อเที่ยงนับว่าน่าอร่อยกว่ามื้อเช้ามาก กับข้าวมีอยู่เพียงสามอย่าง แต่เป็ของที่เยว่เฟิงเกอชอบกินทั้งหมด
เยว่เฟิงเกอนั่งลงข้างกายม่อหลิงหาน ยกตะเกียบขึ้นแล้วเริ่มลงมือกินทันที
ม่อหลิงหานเหลือบเห็นแก้มป่องๆ ของเยว่เฟิงเกอที่มีข้าวอยู่เต็ม ก็อดยกมือขึ้นลูบหน้านางไม่ได้
“หืม? ท่านอ๋องไม่เสวยหรือเพคะ เหตุใดจึงลูบหน้าหม่อมฉัน? ” เยว่เฟิงเกอกล่าวโดยที่ยังมีอาหารอยู่เต็มปาก
ม่อหลิงหานเห็นว่าท่าทางกินข้าวของนางช่างน่ารักน่าชังยิ่ง จึงอดยิ้มออกมาไม่ได้พลางยกตะเกียบขึ้นกินอาหารไปด้วย
ม่อหลิงหานคอยคีบกับข้าวที่เยว่เฟิงเกอชอบให้นางบ่อยๆ และเพื่อเป็การตอบกลับตามมารยาท เยว่เฟิงเกอก็คีบเนื้อชิ้นหนึ่งวางลงในถ้วยของเขา
ตอนที่คีบเนื้อส่งให้ เยว่เฟิงเกอยังไม่ได้คิดอะไรมาก แต่พอวางลงไปในถ้วยของเขาแล้ว นางถึงได้ใทันทีด้วยเพิ่งนึกได้ว่าม่อหลิงหานเป็โรครักความสะอาดขั้นสุด
แน่นอนว่าตะเกียบนางััน้ำลายของนางไปแล้ว เนื้อชิ้นนั้นที่นางคีบมา ม่อหลิงหานไม่มีทางกินแน่
คิดถึงตรงนี้ เยว่เฟิงเกอก็หัวเราะแห้งๆ สองเสียง “คือว่า ท่านอ๋อง เนื้อชิ้นนี้ต้องทรงไม่ชอบเป็แน่ ถ้าอย่างไรหม่อมฉันกินแทนดีหรือไม่เพคะ”
นางพูดจบ ก็เตรียมจะยื่นตะเกียบไปคีบเนื้อกลับมา
มิคาดตะเกียบนางยังยื่นไปไม่ถึงถ้วยของม่อหลิงหาน เนื้อชิ้นนั้นก็เข้าไปอยู่ในปากม่อหลิงหานแล้ว
เยว่เฟิงเกอมองม่อหลิงหานด้วยสายตาตกตะลึง เขาไม่มีท่าทีรังเกียจแม้แต่น้อย กลับกันบนใบหน้ายังมีรอยยิ้มอยู่อีกด้วย
“ชายารักคีบกับข้าวให้เปิ่นหวาง นี่เป็ครั้งแรกเลยนะที่เปิ่นหวางรู้สึกว่าหมูสามชั้นอร่อยยิ่งกว่าเนื้อัในวังหลวงเสียอีก” ม่อหลิงหานพูดพลางกลืนเนื้อชิ้นนั้นลงไป
ลูกกระเดือกม่อหลิงหานขยับขึ้นลงจากการกลืน เยว่เฟิงเกอที่เฝ้ามองอยู่จึงอดกลืนน้ำลายตามไปด้วยไม่ได้
เมื่อครู่ได้ยินม่อหลิงหานเอ่ยชม เยว่เฟิงเกอก็รู้สึกเหมือนจะเบิกบานขึ้นเพราะคำชมเชยนั้น
ตอนนี้เห็นว่าม่อหลิงหานกลืนเนื้อชิ้นนั้นลงไปแล้ว นางก็ยิ่งอารมณ์ดี คีบเนื้อให้ม่อหลิงหานอีก “ในเมื่อท่านอ๋องโปรด เช่นนั้นเสวยเยอะๆ นะเพคะ”
ม่อหลิงหานเห็นเยว่เฟิงเกออารมณ์ดี เขาก็อารมณ์ดีตามไปด้วย คีบเนื้อชิ้นนั้นเข้าปากด้วยสีหน้ารักใคร่ ค่อยๆ เคี้ยวแล้วกลืนลงไป
ชิงจื่อที่ยืนอยู่หลังเยว่เฟิงเกอ เห็นว่าท่านอ๋องและพระชายาของตนรักใคร่กันอย่างลึกซึ้ง ในใจก็เบิกบานเกินจะเอ่ย
เมื่อกินอิ่มแล้ว เยว่เฟิงเกอก็โวยวายอยากออกไปเที่ยวเล่นนอกจวน
เดิมม่อหลิงหานอยากจะออกไปด้วย แต่ถูกเยว่เฟิงเกอปฏิเสธ
“ท่านอ๋องยังมีงานสำคัญต้องทำ จะมาอยู่เป็เพื่อนหม่อมฉันตลอดไม่ได้ หากว่าท่านอ๋องกลัวว่าหม่อมฉันจะเจอปัญหาเข้า เช่นนั้นหม่อมฉันจะปลอมเป็ชาย เพียงเท่านี้ก็ไม่มีใครจำได้แล้วเพคะ” เยว่เฟิงเกอจับมือม่อหลิงหานไว้แล้วเขย่าไปมาซ้ายขวาพลางออดอ้อน
ม่อหลิงหานเห็นว่าตนเอาชนะเยว่เฟิงเกอไม่ได้ จึงทำเพียงพยักหน้าตกลง
วันนี้เขามีเื่ให้ต้องเข้าวังไปจัดการจริงๆ ไม่สามารถไปเดินเที่ยวเป็เพื่อนเยว่เฟิงเกอได้
อย่างไรเสีย สองวันมานี้เพียงพวกฝ่ายซ้ายในวังหลวงได้ยินฮ่องเต้ตรัสว่าจะเป็พันธมิตรกับแคว้นเฟิงหลัน ก็พากันคัดค้าน
คนเ่าั้ไม่สนับสนุนดำริของฮ่องเต้ มิหนำซ้ำยิ่งมาได้ยินว่าความคิดนี้เป็ชายาจั้นอ๋องที่เสนอขึ้นก็ยิ่งคัดค้านหนักกว่าเก่า โดยมีเสนาบดีฉินเกาเป็ผู้นำ ซึ่งคนคนนี้เรียกได้ว่าเป็คนแรกที่ออกมาคัดค้านด้วย
ยิ่งกว่านั้น คนยังพูดอ้อมๆ ว่า ในฐานะพระชายา เยว่เฟิงเกอไม่ควรจะเข้ามาข้องเกี่ยวกับเื่ของราชสำนักด้วยมองว่าความคิดของสตรีเช่นนางไม่มีน้ำหนักพอจะนำมาถกกันในท้องพระโรง
เนื่องจากฉินเกาเป็บิดาของฉินหว่าน เขาถือว่าตนเป็พ่อตาของม่อหลิงหาน จึงไม่เห็นม่อหลิงหานอยู่ในสายตา ด้วยเหตุนี้เอง การที่เขาอาจหาญตำหนิเยว่เฟิงเกอต่อหน้าม่อหลิงหาน ทำให้ม่อหลิงหานโกรธเป็อย่างมาก
ม่อหลิงหานบอกฉินเกาให้อย่าโอหังมากนัก มิเช่นนั้นจะทำให้ฉินหว่านอยู่ไม่สู้ตาย
ฉินเกาคิดไม่ถึงว่าม่อหลิงหานจะกล่าววาจาเช่นนี้ออกมา เขาโกรธจนเกือบจะลงมือในท้องพระโรงแล้ว แต่สุดท้ายเป็ฮ่องเต้ที่ทนดูต่อไปไม่ได้ ส่งเสียงห้ามปรามคนทั้งสอง
ที่จริงแล้วฮ่องเต้อยู่ข้างม่อหลิงหาน เขาเองก็เห็นด้วยกับแิเป็พันธมิตรกับอีกแคว้นของเยว่เฟิงเกอ วันนี้เขาและเหล่าขุนนางจึงจำต้องถกกันต่อไปว่าจะจัดการเื่นี้อย่างไร
และเนื่องจากเช้าวันนี้ม่อหลิงหานไม่ได้ไปเข้าร่วมประชุมเช้าด้วย จึงไม่รู้ว่าบรรดาขุนนางถกกันไปถึงไหนแล้ว
ดังนั้น จะอย่างไรบ่ายนี้ม่อหลิงหานก็ต้องเข้าวังอีกครั้ง
เดิมม่อหลิงหานอยากให้เยว่เฟิงเกอนั่งไปในรถม้าคันเดียวกัน รอให้ถึงตลาดกลางเมืองก่อนค่อยให้นางลงไปเที่ยวเล่น
ทว่า เยว่เฟิงเกอคิดว่า ในเมื่อตนจะปลอมตัวอยู่แล้ว ก็ไม่ควรต้องนั่งไปบนรถม้าของจวนอ๋อง จึงปฏิเสธม่อหลิงหานอีกครั้ง
ม่อหลิงหานเองก็ไม่บังคับ ตามใจเยว่เฟิงเกอโดยไม่มีข้อแม้
เมื่อเยว่เฟิงเกอกลับไปที่เรือนเยว่เหยา นางค้นหาเสื้อผ้าอยู่นาน ก็ยังหาอาภรณ์ของบุรุษไม่เจอ
ดูท่าเ้าของร่างเดิมคงไม่เคยมีความคิดจะปลอมเป็ชายออกไปเที่ยวเล่นนอกจวนอ๋อง ตอนนี้พอนางอยากจะปลอมตัวจึงหามาใส่ไม่ได้
ตอนที่เยว่เฟิงเกอกำลังนั่งเครียดอยู่นั้น องครักษ์ถานอี้ก็มาเคาะประตูเรือนพอดี
เยว่เฟิงเกอเห็นว่าถานอี้มาจึงให้เขาเข้ามา
ในมือของถานอี้ถืออาภรณ์ตัวยาวสีเขียวอ่อนอยู่ เพียงแต่นี่เป็ครั้งแรกที่เขาได้เข้ามาในห้องส่วนตัวของเยว่เฟิงเกอ จึงรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย
ถานอี้ก้มหน้าลงไป เดินไปตรงหน้าเยว่เฟิงเกอ จากนั้นจึงส่งอาภรณ์ในมือให้ชิงจื่อไป “ท่านอ๋องกลัวว่าพระชายาจะหาอาภรณ์สำหรับปลอมเป็บุรุษไม่ได้ จึงให้กระหม่อมนำมาให้พ่ะย่ะค่ะ”
เยว่เฟิงเกอหยิบอาภรณ์ชุดนั้นมาจากมือชิงจื่อแล้วนำมาเทียบกับตัวเอง คิดไม่ถึงจะพอดีตัว
“ขอบคุณองครักษ์ถานที่นำอาภรณ์มาส่งให้ อย่างไรรบกวนองครักษ์ถานกลับไปขอบคุณท่านอ๋องแทนข้าด้วย” เยว่เฟิงเกออารมณ์ดี ยิ้มจนตาหยี
นางไม่คิดว่าม่อหลิงหานจะเป็คนละเอียดรอบคอบเพียงนี้ รู้ว่าที่นางนี้ไม่มีอาภรณ์บุรุษจึงให้คนส่งมาให้
เมื่อถานอี้ไปจากห้องแล้ว เยว่เฟิงเกอถึงได้เริ่มเปลี่ยนอาภรณ์
หลังจากเปลี่ยนอาภรณ์เสร็จเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว ชิงจื่อก็ช่วยรวบผมเป็ทรงบุรุษให้
เยว่เฟิงเกอมองตัวเองในกระจกที่ไม่ได้แต่งแต้มสีสันใดๆ บนใบหน้าที่แสนงดงาม ยามนี้นางได้กลายมาเป็หนุ่มหล่อสะอาดสะอ้าน
เยว่เฟิงเกอยืนมองซ้ายทีขวาทีอยู่หน้ากระจก มองอย่างไรก็พอใจในการแต่งตัวของตน
ชิงจื่อมองเยว่เฟิงเกอในยามนี้ที่ดูเหมือนคุณชายสูงศักดิ์ท่านหนึ่ง อดออกปากชมไม่ได้ “พระชายา วันนี้ทรงน่ามองมากเพคะ ดูงดงามเหมือนคุณชายผู้สูงศักดิ์เลยเพคะ”
เยว่เฟิงเกอยิ้มให้ชิงจื่อ ก่อนจะให้ถานอี้ที่รออยู่ด้านนอกเตรียมอาภรณ์บุรุษให้ชิงจื่ออีกหนึ่งชุด
ถานอี้ไปนำอาภรณ์บุรุษมาให้ชิงจื่ออย่างรวดเร็ว หลังจากชิงจื่อเปลี่ยนเป็ชุดใหม่แล้วก็กลายเป็เด็กรับใช้ตัวน้อยของบัณฑิตท่านหนึ่ง
เดิมทีถานอี้อยากจะตามเยว่เฟิงเกอและชิงจื่อไปเดินตลาดด้วย แต่กลับถูกเยว่เฟิงเกอปฏิเสธ
ถานอี้เห็นว่าเยว่เฟิงเกอปฏิเสธเสียงแข็ง ก็รีบร้อนกล่าวว่า “แต่ว่าพระชายา นี่เป็คำสั่งของท่านอ๋องนะพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องทรงกังวลว่าพระชายาอาจต้องพบเื่ยุ่งยากบางอย่างเข้า จึงให้กระหม่อมติดตามไปคุ้มครองพ่ะย่ะค่ะ”
ในมือเยว่เฟิงเกอถือพัดสีขาว นางเคาะเบาๆ ลงไปบนไหล่ของถานอี้ จากนั้นจึงเดินอาดๆ ออกไปด้านนอกพลางกล่าวว่า “เ้าไม่ต้องตามข้ามา กลับไปบอกท่านอ๋องให้ทรงวางพระทัย ข้าไม่มีทางเจอปัญหายุ่งยากอะไรที่ข้างนอกนั่นแน่”
เยว่เฟิงเกอพูดแล้วเดินออกไปจากเรือนเยว่เหยา
ชิงจื่อส่งยิ้มให้ถานอี้ รีบร้อนก้าวตามเยว่เฟิงเกอไป
เมื่อคนทั้งสองเดินออกจากจวนอ๋องมาถึงตลาดกลางเมือง ก็เริ่มเดินเล่นดูโน่นดูนี่ไปเรื่อย นี่เป็ครั้งแรกที่เยว่เฟิงเกอได้มาเดินตลาดเล่นเช่นนี้ เพราะก่อนหน้านี้มีม่อหลิงหานอยู่ข้างกายตลอด ส่วนตัวนางเองก็แต่งกายเป็สตรี ทำให้ราษฎรบนถนนจดจำนางได้อย่างรวดเร็ว
นางไม่ชอบเวลาที่เดินไปไหนมาไหนแล้วมีคนคอยคุกเข่าคารวะ วันนี้จึงตั้งใจปลอมเป็ชาย เพื่อที่ในระหว่างเดินอยู่บนถนนจะได้ไม่มีคนจำนางได้ เช่นนี้สิถึงจะเรียกว่าอิสระ
“พระชายา พวกเราจะไปเดินเล่นที่ใดกันหรือเพคะ? ” ชิงจื่อกระซิบเสียงเบาที่ข้างหูเยว่เฟิงเกอ
เยว่เฟิงเกอยกพัดในมือขึ้นเคาะศีรษะชิงจื่อ “ออกมาอยู่นอกจวน อย่าเรียกข้าว่าพระชายา ต้องเรียกข้าว่าคุณชาย รู้หรือไม่? ”
“เพคะพระชายา เอ๊ย ไม่ใช่ ขอรับคุณชาย” ชิงจื่อกุมศีรษะส่วนที่ถูกพัดเคาะ หัวเราะอย่างโง่งม