ทันทีที่หลี่เหล่าไท่ไท่ได้ยิน ถ้าหากว่าหลี่เหล่าไท่เหฺยลาออก นางก็จะไม่ได้เป็ฮูหยินตราตั้งขั้นสามแล้ว ได้แต่อยู่ในเรือนเป็เพียงเหล่าไท่ไท่ ต่อไปนางจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานเลี้ยงในวังหลวงอีกแล้ว
การสอบของขุนนางในรัชสมัยนี้จะสิ้นสุดในปลายเดือนสิบ ผลการสอบนั้นช้าที่สุดคือใช้เวลาหนึ่งเดือนในการแจ้งให้ทุกคนทราบผล ยังดีกว่าบิดาของิเจี๋ยเอ๋อร์ เขาจะต้องได้รับจดหมายจากกรมขุนนางในปลายเดือนสิบเอ็ดก่อน แล้วจึงค่อยกลับเมืองหลวงมาจัดงานแต่งงานของหลี่หงและิเจี๋ยเอ๋อร์
หลี่เหล่าไท่เหฺยได้ยินคำพูดของหลี่ลั่วกับหลี่ฮุยแล้ว จึงรับคำ “ต่อไปครอบครัวนี้ต้องอาศัยพวกเ้าแล้ว ข้าแก่แล้ว แก่แล้ว”
เื่ของหยวนข่ายนั้น เมื่อหลี่เหล่าไท่เหฺยเดินออกไปข้างนอกก็หน้าแดง ลูกหลานของภรรยาคนแรกถูกลูกหลานของภรรยาใหม่ที่เกิดกับสามีคนก่อนรังแก หลี่เหล่าไท่เหฺยได้กลายมาเป็เื่นินทาอันดับหนึ่งของเมืองหลวงไปแล้ว บางครั้งที่เขาไปศาลาว่าการเพื่อพูดคุยกับเพื่อนขุนนาง ยังให้รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้างเลย ยามนี้ใช้วิธีลาออกจากตำแหน่งก็ดีเหมือนกัน แม้ว่าในใจจะมีความไม่ยินยอมพร้อมใจอยู่ ได้แต่รู้สึกว่าขุนนางฝ่ายบุ๋นต้องเข้าทำงานในสำนักราชเลขาธิการจึงจะถือว่าสมบูรณ์
ต่อมาทุกคนต่างแยกย้าย หลี่เหล่าไท่เหฺยเรียกหลี่ฮุยไปห้องหนังสือ
ณ หอชมจันทร์
“นายท่าน สิ่งของได้ส่งถึงมือเสี่ยว...เสี่ยวเซ่าเหฺย[1]แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เกือบจะเรียกว่าเสี่ยวโหวเหฺยซะแล้ว
กู้จวิ้นเฉินพยักหน้า ขณะจวิ้นอีกำลังจะถอยออกไปนั้น กู้จวิ้นเฉินก็พูดขึ้นอีก “เขาชมชอบหรือไม่?” หากว่าชอบ ครั้งหน้าจะได้ซื้ออีก หากไม่ชอบ...จะไม่สนใจเขาอีกแล้ว
หาได้ยากนักที่ฉีอ๋องจะกระตือรือร้นซื้อสิ่งของให้ว่าที่ภรรยาของตนเป็ครั้งแรก ในใจนั้นย่อม้าความมั่นใจกันบ้าง พูดแล้วก็ประหลาดนัก ถ้าหากวันนี้เป็เหมือนดั่งเมื่อก่อนหน้านี้ที่เขากับหลี่ลั่วยังไม่ได้รับพระราชทานสมรส เขาจะปฏิบัติต่อหลี่ลั่วเช่นนี้หรือไม่? กู้จวิ้นเฉินไม่อาจทราบคำตอบนี้ได้ เพราะมันไม่มีคำว่า ‘ถ้าหาก’ อีกแล้ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อพวกเขาถูกพระราชทานสมรสแล้วส่วนลึกในหัวใจของกู้จวิ้นเฉินจะกลับเกิดการยอมรับได้ว่ายามนี้หลี่ลั่วเป็ของเขาแล้วเช่นนี้ เขาคิดว่าเขาควรจะปฏิบัติต่อคนของตนเองให้ดีกว่าเมื่อก่อนสักหน่อย
“เมื่อยามที่ข้าน้อยกลับมานั้นคุณชายน้อยกำลังทานข้าวอยู่กับครอบครัวพ่ะย่ะค่ะ จึงยังไม่ได้ทานของว่างที่นายท่านส่งไป แต่ว่า...” จวิ้นอีรู้สึกทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง คำพูดระหว่างคนรักด้วยกัน แต่ต้องให้เขาซึ่งเป็หนุ่มใหญ่มาเป็คนบอกต่อ ช่างลำบากใจแท้ “คุณชายน้อยฝากคำพูดมาให้นายท่านด้วยขอรับ”
“อ้อ? คำพูดอันใดกันเล่า?” น่าจะเป็คำพูดขอบคุณละมั้ง เ้าสารเลวตัวน้อยพูดอะไรดีๆ ไม่ค่อยเป็หรอก
“คุณชายน้อยบอกว่า เพิ่งจะแยกกับท่าน ก็เริ่มคิดถึงท่านแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“หืม...” กู้จวิ้นเฉินพลันไม่รู้ว่าจะกล่าวอันใดดีขึ้นมา
พรืด...องค์ชายสามหัวเราะออกมาแล้ว “น้องสี่ ว่าที่ภรรยาของเ้าช่างน่าสนใจยิ่งนัก”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ไว้วันหลังพี่ชายจะจัดงานเลี้ยง เชิญน้องสี่กับเด็กน้อยคนนั้นมากินข้าวด้วยกัน”
กู้จวิ้นเฉินครุ่นคิด ก็ย่อมได้อยู่ ดังนั้นจึงตอบตกลง “อืม” แต่ในสมองนั้นกลับกำลังคิดถึงคำพูดของหลี่ลั่วประโยคนั้น ติ่งหูเริ่มแดงทีละน้อย ก่อนที่จะพระราชทานสมรส เ้าสารเลวตัวน้อยไม่ค่อยพูดว่าคิดถึงเขา หรือว่า...กู้จวิ้นเฉินนึกขึ้นได้ว่าหลี่ลั่วเคยบอกกับตนว่า เขาชมชอบผู้ชายที่รูปร่างดี หน้าตาดี และดีต่อเขา หรือว่าั้แ่เริ่มต้น เขาก็บอกกับตนเองเป็นัยแล้วหรือนี่?
แต่เขายังบอกอีกด้วยว่าตนนั้นอายุมากนี่นา
ก็ถูก เ้าสารเลวตัวน้อยนั่นไม่เคยพูดอะไรตรงกับใจตลอดมา
นอกเสียจากคำพูดที่บอกว่าคิดถึงตน
ณ เรือนโฉวงจี๋
“โหวเหฺยเ้าคะ นี่คือ?” ผิงอันเห็นหยวนโม่ถือของขวัญที่หยวนเฉิงนำมาขอขมาจึงถามขึ้น ไม่รู้ว่าจะจัดการกับสิ่งของเหล่านี้อย่างไร
หลี่ลั่วกล่าว “เผาให้หมด”
“เ้าค่ะ” เสื้อผ้าอาภรณ์เหล่านี้เนื้อผ้าดีๆ ทั้งสิ้น ราคาแพงยิ่ง และยังมีโสมอีกด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีมูลค่าและแพงยิ่งนัก น่าเสียดายหากต้องเผาทิ้ง
เมื่อเห็นผิงอันมีท่าทีตัดใจไม่ได้ หลี่ลั่วจึงหัวเราะเบาๆ “ตาต้องมองไกลสักหน่อย สิ่งของเหล่านี้ไม่รู้ว่าได้ใส่อะไรเข้าไปบ้าง ต้องปลอดภัยไว้ก่อน รู้หรือไม่?”
“ขอบคุณโหวเหฺยที่สอนสั่งเ้าค่ะ บ่าวเข้าใจแล้ว” ผิงอันเห็นภาพชัดเจนขึ้น ถูกต้องแล้ว หยวนเฉิงเป็บิดาของหยวนข่าย หากสิ่งของเหล่านี้ทำสิ่งของไม่ดีเอาไว้ ย่อมเป็เื่ไม่ดีแน่
หลี่ลั่วเข้าไปในห้องหนังสือ นั่งหลับตาพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้ ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงลืมตาขึ้น “ซินเป่า ไปเรียกซินหมัวมัวมา” ซินหมัวมัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว ในมือถือผ้าผืนหนึ่ง เป็ผ้าที่หญิงทอผ้าผู้เป็คนแม่ทอออกมา ด้วยเป็การทอครั้งแรกและใช้วัสดุจากสำลี ดังนั้นจึงใช้เวลาไปไม่น้อย
“โหวเหฺยเ้าคะ”
เมื่อเห็นผ้าในมือของซินหมัวมัว หลี่ลั่วก็ยินดีเป็อย่างยิ่ง เดิมเขาตั้งใจจะถามเื่ผ้าผืนนี้อยู่เลย เขาหยิบผ้าขึ้นมาดูอยู่ครู่หนึ่ง ผ้าที่ทอด้วยมือกับผ้าในยุคสมัยปัจจุบันนั้นแตกต่างกันอยู่บ้าง แต่ความรู้สึกที่ได้รับนั้นนุ่มมือขึ้นอีกเล็กน้อย หลี่ลั่วถือจนแทบไม่อยากจะปล่อยมือ “เรียกเหนียนหงมา”
เหนียนหงมาอย่างรวดเร็ว เหนียนหงมีหญิงเย็บปักถักร้อยเป็ผู้ช่วยคนหนึ่ง ในยามปกตินางรับผิดชอบเสื้อผ้า ถุงเท้า รองเท้าและของใช้ต่างๆ ของหลี่ลั่ว หญิงเย็บปักถักร้อยอีกคนหนึ่งรับผิดชอบเสื้อผ้าอาภรณ์ของยามรักษาการณ์ภายในเรือน
เนื่องจากงานเย็บปักถักร้อยนั้นทำร้ายดวงตาอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงมีกฎเกณฑ์แน่นอนว่าเดือนหนึ่ง้าทำกี่ชิ้น เวลาที่เหลือนั้นสามารถพักผ่อนสายตาได้ ทำเช่นนี้จึงจะได้ไม่ทำร้ายดวงตามากนัก
ผ้าในมือของหลี่ลั่วยาวสองเมตร กว้างเก้าสิบเิเ สิ่งของที่ทำออกมาได้นั้นมีจำกัด เขาหยิบกระดาษออกมา วาดสิ่งของอย่างหนึ่งยื่นให้เหนียนหง “ใช้ผ้าผืนนี้ทำ จะทำออกมาได้กี่ชิ้น?”
สิ่งที่หลี่ลั่ววาดออกมามี เสื้อยืดทีเชิ้ต กางเกงขาสั้น และถุงเท้า เพราะว่าเขาตัวเล็ก ดังนั้นจึงตัดออกมาได้หลายชิ้น
“นี่คือเสื้อใช่หรือไม่เ้าคะ?” เหนียนหงมองเสื้อยืดทีเชิ้ตแล้วถาม “ไม่ธรรมดายิ่ง นี่คือ...กางเกงชั้นในหรือเ้าคะ?” นางมองรูปร่างแล้วน่าจะใช่ แต่เหนียนหงก็ยังคงถามซ้ำด้วยความระมัดระวัง
กางเกงในสามเหลี่ยม คนในสมัยโบราณไม่เคยพบเห็นมาก่อน
“โหวเหฺย เนื้อผ้าชนิดนี้ให้ความรู้สึกสบายจริงๆ เ้าค่ะ” เปรียบเทียบกับผ้าไหมชั้นดีที่ใช้ในยามปกติแล้วสบายกว่ายิ่งนัก ลูบดูแล้วนิ่มจริงๆ ให้ความรู้สึกเหมือนแป้งอย่างไรอย่างนั้น
“อืม” หลี่ลั่วพยักหน้า “เสื้อตัวนี้ทำได้สี่ตัว กางเกงนี้ทำได้สี่ตัว ส่วนถุงเท้านั้นตัดให้ได้ขนาดของข้าสี่คู่ จากนั้นตัดขนาดของฉีอ๋องสี่คู่ เนื้อผ้าพอหรือไม่?”
เหนียนหงคำนวณดูอยู่ครู่หนึ่ง “เสื้อสี่ตัวใช้เนื้อผ้าไปประมาณครึ่งหนึ่ง ที่เหลือตัดกางเกงชั้นในตัวเล็กและถุงเท้า...พอแล้วเ้าค่ะ หากยังมีผ้าเหลืออีกข้าค่อยตัดถุงเท้าให้โหวเหฺยนะเ้าคะ”
“ได้ เ้าตัดเสื้อและกางเกงชั้นใน ออกมาชุดหนึ่งก่อน ต้องใช้เวลานานเท่าใด?” หลี่ลั่วร้อนอกร้อนใจ
“รูปแบบของโหวเหฺยเป็แบบที่ตัดเย็บง่ายมากเ้าค่ะ ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วยามก็พอแล้วเ้าค่ะ” เหนียนหงตอบ
“ตัดชุดหนึ่งเสร็จแล้วให้ทำถุงเท้าของฉีอ๋องก่อน”
“เ้าค่ะ”
“รู้ขนาดถุงเท้าของฉีอ๋องหรือไม่?”
“บ่าวไม่ทราบเ้าค่ะ แต่บ่าวเคยเห็นท่านอ๋อง พอจะกะประมาณเอาได้เ้าค่ะ” ถุงเท้าขอเพียงแค่ไม่เล็กเกินไป ใหญ่เล็กน้อยย่อมไม่เป็ไร
“ดี” หลี่ลั่วไม่ใช่คนจู้จี้จุกจิกอันใดนัก
เมื่อเหนียนหงรับผ้าไปตัดเสื้อผ้าแล้ว พ่อบ้านจี้ก็นำหีบใบเล็กใบหนึ่งเข้ามา “โหวเหฺย นี่คือที่เหล่าฮูหยินสั่งให้บ่าวนำมาให้ขอรับ โฉนดที่ดินของที่นาพระราชทานจำนวนหนึ่งพันหมู่ขอรับ”
หลี่ลั่วรับมา “ที่นาพระราชทานนี้อยู่ที่ใดกัน?”
“ตำแหน่งของที่นาพระราชทานนั้นดียิ่งนัก อยู่ในชานเมืองทางตะวันออกขอรับ” พ่อบ้านจี้กล่าว “ั้แ่ที่รัชสมัยปัจจุบันก่อตั้งขึ้นมาก็มีเพียงแค่ขุนนางที่มีความดีความชอบต่อแผ่นดินเท่านั้นจึงจะได้รับพระราชทานที่นานี้ ซึ่งนั่นเป็องค์ไท่จู่ฮ่องเต้พระราชทานให้ ต่อมาในรัชสมัยมีเพียงจวนโหวของพวกเราเท่านั้นที่มีขอรับ”
หลี่ลั่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ฤดูนี้เพาะปลูกสิ่งใดได้บ้าง? จำพวกของกิน”
พ่อบ้านจี้รีบตอบ “มากมายขอรับ หัวไชเท้า ผักกาดขาว ผักขึ้นฉ่าย...จะนับก็นับไม่หมดขอรับ”
“ก่อนหน้านี้ทำอะไรอยู่?” หลี่ลั่วถามอีก
“ก่อนหน้านี้นำมาใช้เพาะปลูกพวกพืชผักขอรับ เช่นข้าวที่ในจวนเรากินอยู่” พ่อบ้านจี้ตอบ
“มารดาบอกว่ารายได้เสมอตัว เห็นได้ว่ารายได้จากข้าวนั้นไม่ดีนัก” หลี่ลั่วกล่าว
พ่อบ้านจี้คิดอยู่อึดใจหนึ่ง “เื่นี้บ่าวไม่ค่อยแน่ใจขอรับ ที่นาพระราชทานเป็ที่นาที่ฝ่าาทรงพระราชทาน ทั้งหมดล้วนรับผิดชอบดูแลโดยคนที่ทางวังหลวงกำหนดลงมา พวกเราไม่สะดวกที่จะไปเปลี่ยนออกขอรับ ยิ่งไปกว่านั้นการจะให้พวกเขาออกไปก็ทำไม่ได้ด้วย”
หลี่ลั่วคิดๆ ดูแล้วก็เห็นด้วย ผู้คนในวังหลวงนั้นอย่างน้อยก็มีความสัมพันธ์กัน จวนโหวมีเพียงแค่เด็กกำพร้ากับหญิงม่าย ไฉนเลยจะมีความกล้าหาญเช่นนี้ ดังนั้นไม่ว่าจะเพาะปลูกสิ่งใดก็ล้วนถูกผู้อื่นเอาเปรียบวันยังค่ำ “ท่านเก็บข้าวของสักหน่อย พรุ่งนี้ไปดูกับข้าสักครั้ง จริงสิ สมุดบัญชีของที่นาพระราชทานนำมาแล้วหรือไม่?”
“ยังอยู่ที่เหล่าฮูหยินขอรับ”
“ท่านไปเบิกเงินที่ผิงอันห้าพันตำลึงส่งไปให้มารดา แล้วนำสมุดบัญชีของที่นาพระราชทานกลับมา ต่อไปเื่ที่นาพระราชทานยกให้ข้าเป็ผู้ดูแลรับผิดชอบ” หลี่ลั่วมีความคิดดีๆ แล้ว
“ขอรับ”
“ฉางเฉิง เ้าไปคัดเลือกยามรักษาการณ์มาสองกลุ่ม พรุ่งนี้เดินทางไปที่ที่นาพระราชทานกับข้า” ยามรักษาการณ์สองกลุ่มมีจำนวนสิบคน น่าจะพอสมควรแล้ว
“ขอรับ”
ภายในเวลาครึ่งชั่วโมง พ่อบ้านจี้ก็ได้นำสมุดบัญชีของที่นาพระราชทานมาให้
“สมุดบัญชีเล่มนี้ผู้ใดเป็ผู้ทำ?” สมุดบัญชีของคนในยุคสมัยโบราณทำกันแบบง่ายๆ ที่นากว่าหนึ่งพันหมู่ว่าจ้างชาวนาเป็จำนวนเท่าใด เงินเดือนคนละเท่าใด รวมเป็เงินเท่าใด จากนั้นรายได้จากที่นาเป็เงินเท่าใด นำมาหักกลบลบกัน
แต่...แต่ละคนทำงานกี่วัน วันละเท่าใด รายละเอียดเหล่านี้กลับไม่ได้บันทึกเอาไว้ หลี่ลั่วดูอยู่ครู่หนึ่ง สองปีแรกที่หลี่ซวี่ยังไม่ตายนั้นตัวเลขในสมุดบัญชียังมีกำไรอยู่ สี่ปีต่อมาไม่มีกำไรแล้ว นี่ไม่ใช่รังแกคนหรืออย่างไรเล่า?
“เป็พ่อบ้านที่ราชสำนักจัดมาให้เป็ผู้ทำขอรับ” พ่อบ้านจี้ตอบ “ที่ดินของราชสำนักล้วนควบคุมดูแลโดยกรมวัง เมื่อที่นาถูกพระราชทานลงมา ที่ดินผืนนี้จะมีขันทีผู้ดูแลมาพร้อมกับที่ดินด้วย หากเ้าของที่ดินไม่ได้มีการเปลี่ยนคน พวกเขาก็จะยังคงทำงานต่อไป แต่...แต่พวกเขาเป็คนของกรมวัง เปลี่ยนลำบากขอรับ”
“ข้ารู้แล้ว” เป็อย่างที่เขาคาดเอาไว้
“ท่านไปเตรียมตัวเถิด”
“ขอรับ”
หลี่ลั่วบิดี้เี เขาง่วงแล้ว เมื่อคืนเร่งเดินทางตลอดทั้งคืน เหนื่อยยิ่ง ต่อให้วันนี้ตอนเช้าตื่นสาย แต่เขาอายุยังน้อย ยังอยู่ในวัยที่ต้องนอนให้มาก ทว่าพรุ่งนี้หลี่ลั่วต้องไปดูที่นาพระราชทาน จะแตะต้องคนของกรมวัง อย่างไรเสียก็ต้องบอกกล่าวกับคนในวังหลวงสักหน่อย
“ลวี่ผิง หยวนโม่”
“พวกบ่าวอยู่ที่นี่เ้าค่ะ”
“ไป ไปห้องใต้ดินกับข้า”
จากเดือนห้าจนถึงปลายเดือนแปด เวลาผ่านไปสามเดือนแล้ว เหล้าองุ่นที่หมักเอาไว้เริ่มมีรสชาติที่แท้จริงของเหล้าองุ่นแล้ว ดังนั้นทั้งสามคนจึงมายังห้องใต้ดินของศาลาต้อนรับแขก ห้องใต้ดินมีเหล้าองุ่นด้วยกันยี่สิบถัง ทุกถังมีน้ำหนักร้อยกว่าชั่ง เพราะฝาที่ปิดเอาไว้ค่อนข้างแ่า จึงไม่ค่อยมีกลิ่นอบอวลออกมา แต่ไม่รู้ว่าเป็อุปาทานหรือไม่ เมื่อเดินเข้ามาในห้องใต้ดิน มักจะรู้สึกว่าได้กลิ่นหอมของเหล้าอยู่เสมอ
“หยวนโม่ ไปเปิดมาถังหนึ่ง ลวี่ผิง ไปเตรียมขวดเหล้าเล็กสำหรับบรรจุเหล้าหนึ่งชั่งมาสิบขวด”
เมื่อหยวนโม่เปิดถังเหล้าถังหนึ่งในนั้น กลิ่นหอมอันมอมเมาผู้คนก็ได้ลอยออกมา “หอมยิ่งนัก” หยวนโม่พูดอย่างอดไม่ได้ “เมื่อเทียบกับเมื่อครั้งเดือนห้าแล้ว กลิ่นเข้มข้นขึ้นมากเลยเ้าค่ะ”
“เวลาในการหมักเหล้านานขึ้น กลิ่นหอมก็จะยิ่งเข้มข้น ในหนังสือแพทย์มีบันทึกเอาไว้ หญิงสาวดื่มก่อนนอนหนึ่งถ้วย ช่วยเื่ผิวพรรณและความงาม” หลี่ลั่วอธิบาย
“จริงหรือเ้าคะ?” หยวนโม่ฟังแล้วตาเป็ประกาย ขอให้เป็หญิงสาวย่อมต้องชมชอบความงามและการดูแลผิวพรรณ “เหล้าองุ่นนี้ช่างร้ายกาจยิ่งนัก เช่นนี้มิใช่ว่าหญิงสาวทุกคนจะสามารถถนอมความงามและดูแลผิวพรรณได้หรือเ้าคะ”