ตอนนี้ก็ค่ำแล้ว ครั้นทั้งสองคนเข้าไปในจวน พ่อบ้านชราก็เข้ามาต้อนรับ เอ่ยกับเขาด้วยความกังวล
“คุณชายเฟิง ท่านกลับมาแล้ว พระสนมซินรอท่านมาทั้งคืน”
กู้หนานเฟิงหยุดฝีเท้า
“ดึกเพียงนี้แล้ว นางมาที่นี่ทำไม?”
พ่อบ้านชรามองไปที่หลิวเย่และเอ่ยเสียงต่ำ
“นางอารมณ์ไม่ดี จึง้าพูดคุยกับท่าน”
หลิวเยว่้าหลีกเลี่ยงสถานการณ์นี้ แต่กลับถูกกู้หนานเฟิงจับแขนเอาไว้
“อย่าไปนะ ข้าจะพาเ้าไปด้วย”
กู้หนานเฟิงไม่ได้พูดอะไรอีก เขาลากหลิวเยว่เข้าไปในห้องหนังสือ เขารู้จักน้องสาวของเขาดี มาที่จวนดึกดื่นเช่นนี้ คงมีเื่ในวังที่ทำให้นางโกรธมา เลยอยากมาหาเขาเพื่อระบายอารมณ์ พูดไปพูดมา ย่อมไม่มีอะไรมากไปกว่าฮ่องเต้ทรงเ็า หรือถูกฮองเฮาใส่ร้าย คืนนี้เขาไม่มีกระจิตกระใจจะฟัง ดังนั้นจึงดึงหลิวเยว่มาเป็โล่ เมื่อมีคนนอกอยู่ด้วย อย่างน้อยกู้ซินก็คงหลีกเลี่ยงคำต้องห้าม ไม่มากก็น้อย
หลิวเยว่ไม่สามารถดิ้นหลุดจากกู้หนานเฟิง ได้แต่ติดตามเขาเข้าไปในห้องหนังสือ นางเองก็้าจะรู้ว่าพระสนมคนโปรดของฮ่องเต้มีหน้าตาเป็อย่างไร
เดิมทีกู้หนานเฟิงรู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย แต่เมื่อเข้าไปในห้อง กลับพบว่าน้องสาวของตนดูเหี่ยวเฉาและนั่งร้องไห้อยู่ หัวใจของเขาพลันอ่อนลง ทั้งน้ำเสียงยังอ่อนโยนลงด้วย
“หนีออกมาจากวังอีกแล้ว ระวังจะถูกคนนำเอาไปเป็จุดอ่อนนะ”
พระสนมซินมองไปยังกู้หนานเฟิงก่อนจะมองไปที่หลิวเยว่ในชุดบุรุษซึ่งยืนอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไร
“มีอะไรจะพูดก็พูดมา”
เมื่อเห็นกู้หนานเฟิงไม่ระวัง พระสนมซินจึงเอ่ยออกมา
“ฮ่องเต้ประชวร”
“ป่วยก็ไปหาหมอหลวง เ้าจะวิ่งมาที่นี่ทำไมดึกๆ ดื่นๆ ”
“ท่านพี่ ท่านก็รู้ หลายปีมานี้ทุกครั้งที่วันสารทจีนมาถึงเขาจะป่วยหนัก หมอหลวงก็ช่วยอะไรไม่ได้ อันกงกงบอกว่าฮ่องเต้ประชวรเป็โรคหัวใจไม่มียารักษาหาย อีกสองสามวันเขาจะหายดีเอง แต่คราวนี้เทศกาลวันสารทจีนยังมาไม่ถึงเขากลับล้มป่วย อาการป่วยนี้รุนแรงมาก... คนพวกนั้นบอกว่าทั้งหมดนี้เป็เพราะข้า”
พระสนมซินมีความงดงามตราตรึงใจผู้คน ตอนที่หลิวเยว่เห็นนางบนถนนครานั้นก็รู้สึกว่านางงดงามมาก ในความงามนั้นมีความทะนงตนในตัวที่ไหลทะลักออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ และความทะนงตนนี้ก็ทำให้ผู้คนถูกดึงดูดโดยไม่รู้ตัว แต่ไม่มีความรู้สึกที่ทำให้คนหมั่นไส้ แต่ยามนี้ใบหน้าของนางกลับมืดมน ความมืดมนนี้ของนางแสดงออกต่อหน้าครอบครัวเท่านั้น
“เมื่อหลายวันก่อน ตอนที่ฮ่องเต้เสด็จไปขอพรที่วัดยินเชว่เป็เพื่อนข้า เดิมทีก็ยังดีๆ อยู่ แต่ตอนอยู่บนถนนใหญ่ครานั้น ข้าไม่รู้ว่าฮ่องเต้ทรงพบอะไร อยู่ๆ สีพระพักตร์ก็เปลี่ยน และเรียกให้รถม้าหยุด ไม่สนใจความปลอดภัยของพระองค์ออกไปยืนอยู่นอกรถม้านานสองนาน หลังจากกลับมา สีหน้าของเขาก็ดูแย่ลง สติไม่อยู่กับร่องกับรอย ข้าไม่เคยเห็นเขาเป็เช่นนั้นมาก่อน วันนั้นตกเย็นไข้ก็ขึ้นสูงไม่หยุด ข้ากังวลใจยิ่งนัก แต่อันกงกงบอกว่าอาการเช่นนี้เป็เพราะเขากำลังนึกถึงสหายเก่าคนหนึ่ง”
“ในวังต่างบอกว่าข้าเป็คนทำให้ฮ่องเต้ประชวร และชางรั่วอวี้ยิ่งกดดันข้าทุกฝีก้าว นาง้าใช้เื่นี้เพื่อทำร้ายข้า โชคดีที่แม้ว่านางจะเป็ฮองเฮา แต่นางก็ไม่ได้ให้กำเนิดพระโอรส จึงทำอะไรข้ามากกว่านี้ไม่ได้”
หลิวเยว่ฟังอยู่ด้านข้างอย่างนิ่งเงียบ สหายเก่าที่อันกงกงพูดถึง หรือว่าจะหมายถึงนาง? คลื่นขนาดใหญ่โหมกระหน่ำเข้ามาที่จิตใจของนาง แต่ยังแกล้งทำเป็นิ่งสงบ
กู้หนานเฟิงเงียบลง นิสัยของน้องสาวเขาเป็อย่างไรเขาย่อมรู้ดี คราวแรกเขาเกลี้ยกล่อมไม่ให้นางเข้าวัง วังแห่งนี้ไม่เหมาะกับนาง แต่นางบอกว่านางรักฮ่องเต้ ต่อให้ในวังจะเป็สุสาน นางก็พร้อมจะถูกฝังอยู่ที่นั่นเพื่อปกป้องเขา
“กู้ซิน บอกจุดประสงค์ของการมาที่นี่ของเ้ามาเถอะ”
พระสนมซินถึงได้เงยหน้าขึ้นมองกู้หนานเฟิง ในแววตานั้นไม่มีความอ่อนแอเหมือนเมื่อครู่ มีแต่ความแน่วแน่
“ท่านพี่ ข้า้าให้ท่านช่วย”
“ช่วยอะไร?”
“สาเหตุที่ชางรั่วอวี้ยังคงสามารถรักษาตำแหน่งฮองเฮาได้ และยังกำหนดขอบเขตของข้าไปทุกที่ของพระราชวัง เพราะนางได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังทหารทางตอนเหนือ กองทหารนั่นอยู่เื้ันาง หากท่านไม่ช่วยข้า ต่อไปข้าจะมีความหวังอะไรในวัง?”
“ข้าไม่เคยถามเื่ในราชสำนักกับเ้าและท่านพ่อ จะช่วยเหลือเ้าได้อย่างไร?”
พระสนมซินได้ยินเช่นนี้ก็คล้ายจะโกรธเคืองเล็กน้อย
“ใช่ ท่านยืนยันที่จะออกมาอยู่ข้างนอกด้วยตนเองเพื่อทำการค้า ต่อให้ท่านพ่อจะคัดค้านอย่างไร สุดท้ายท่านพ่อก็ตามใจท่าน ให้อิสระแก่ท่าน แล้วท่านพ่อเล่า? หลายปีมานี้เขาอายุมากขึ้น ในราชสำนักก็ถูกจำกัดมากขึ้น แม้ว่าเขาจะเป็เสนาบดี แต่เขาเพียงแค่ดูแลกรมพิธีการเล็กน้อย งานพิธีต่างๆ ที่ไม่สำคัญในเทศกาลเท่านั้น แต่ท่านดูตระกูลเจินสิ เมื่อไม่นานมานี้ แม้ว่าพวกเขาจะพ่ายแพ้ในาทำให้กำลังทหารลดลงไม่น้อย แต่ฮ่องเต้ก็ไม่ได้ตำหนิพวกเขาเลย”
“ชนะหรือแพ้เป็เื่ธรรมดาในการทหาร หากพ่ายแพ้แล้วได้รับการลงโทษ ต่อไปผู้ใดจะกล้านำทัพไปรบในวันข้างหน้า?” กู้หนานเฟิงไม่ใส่ใจ
“ท่านพี่ ท่านโง่เขลาจริงๆ หรือแกล้งทำตัวโง่เขลา? ตระกูลเจินเป็คนขององค์ชายใหญ่ในปีนั้น ดูสถานการณ์ของราชสำนักในปัจจุบันสิ ไม่มีผู้ใต้บังคับบัญชาคนเก่าขององค์ชายใหญ่เหลือรอดสักคน อย่าว่าแต่ความผิดที่แพ้า แม้จะเป็ความผิดพลาดเล็กน้อย ฮ่องเต้ก็สั่งลดตำแหน่งคนพวกนั้นหรือสั่งปะาได้ทันที แต่กับแม่ทัพเจิน เขาไม่ถูกลงโทษเลยสักทาง กลับกันฮ่องเต้ยังทรงเรียกใช้พวกเขาให้กลับมานำทัพต่อ เพราะอะไร? เพราะแม่ทัพเจินและเจินลิ่วเจิ้งสามารถนำทัพไปสู้รบได้ แม่ทัพหลายคนได้รับการฝึกฝนจากแม่ทัพเจินมาเป็อย่างดี ท่านพี่ ถ้าท่านสามารถจัดสรรเงินบางส่วนให้กับราชสำนัก เพิ่มอำนาจทางทหารให้ท่านพ่อได้ควบคุม พวกเราย่อมจะไม่ถูกจำกัดเช่นนี้”
หลังจากกู้หนานเฟิงได้ยินเช่นนั้น ก็ส่ายศีรษะพลางตอบ
“ท่านพ่ออายุมากแล้ว อย่าคิดไปแย่งชิงอะไรเลย พอถึงเวลาก็เกษียณออกมาใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างมีความสุขเถิด ส่วนเ้า เมื่อตอนนั้นเ้าเลือกทางของตัวเองเอง จะโทษคนอื่นไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ในราชวงศ์ทง ใครจะรู้ว่าเ้าจะเป็สนมที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด? นิสัยเช่นนี้ของเ้าได้ก่อความผิดมากมาย ทำเื่โง่ๆ มามากถึงเพียงนั้น มีครั้งใดที่ฮ่องเต้เคยทรงลงโทษบ้าง? แต่อย่างไรพระองค์ก็ไม่มีทางปกป้องเ้าทุกครั้งหรอกนะ”
จู่ๆ กู้ซินก็ถอนหายใจ
“คนเราก็แก่เฒ่าลงเรื่อยๆ ท่านคิดว่าฮ่องเต้จะทรงดีกับข้าตลอดไปหรือ? ตอนนั้น ข้าได้ยินมาว่า เจินลิ่วซีบุตรสาวของแม่ทัพเจิน นางก็ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ แต่ต่อมาก็ถูกขังอยู่ในตำหนักลิ่วฉือ ไม่เคยได้ออกมาอีกเลย? แม้ว่าแม่ทัพเจินจะมีอำนาจในราชสำนัก แต่เื่ของเจินลิ่วซีกลับไม่กล้าเอ่ยต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้สักคำ ดังนั้นหากท่านไม่ช่วยข้า อนาคตของข้าคงจะมีจุดจบน่าอนาถไม่ต่างอะไรจากเจินลิ่วซี”
หลิวเยว่ที่ได้ยินเช่นนั้น หัวใจของนางก็เ็าไปพักใหญ่ ใช่ เมื่อปีนั้นยังไม่มีการต่อสู้ทางอำนาจ ไร้การต่อสู้ข้ามขุนเขาและสายน้ำ อวิ๋นซู่น่าจะเคยรักนาง เวลานั้นเป็เวลาที่มีความสุข ความรักในยามนั้นคือความรู้สึกจากใจจริง หรือกู้ซินจะสามารถมองออกได้อย่างทะลุปรุโปร่งว่าความรักนั้นจะดำเนินไปได้นานเพียงใด?
หากเมื่อก่อนนางมีความฉลาดเหมือนกู้ซิน นางคงไม่ตกอยู่ในชะตากรรมเช่นนั้น ทุกวันนี้จากมุมมองของคนนอก เื่ความทะเยอทะยานในราชสำนักยังเป็เื่ที่ยากจะเข้าใจ
ความยากลําบากของอวิ๋นซู่ในการจัดการกับใต้หล้านั้น ก็เหมือนความลำบากของบิดานางที่คอยปกป้องอาณาเขต เสนาบดีกู้ที่ยากจะรักษาตำแหน่ง กู้ซินที่ยากจะแย่งชิงความโปรดปราน ความลำบากเหล่านี้เกี่ยวเนื่องกัน ไม่มีใครดีไปกว่าใคร
กู้หนานเฟิงไม่พูดอะไร กู้ซินจึงเอ่ยต่อ
“อุทกภัยทางใต้ได้ทำลายทุ่งนาที่อุดมสมบูรณ์ของราษฎร ผู้คนจำนวนมากอดอยาก ขุนนางประจำท้องถิ่นมาแจ้งว่าน้ำท่วมครั้งนี้ถือว่าหนักเอาการ โดยเฉพาะในเมืองตั้งหยางที่อาหารขาดแคลน แม้ว่าราชสำนักจะส่งอาหารไปบรรเทามากมายก็ยังคงขาดแคลนอยู่มาก ท่านพี่ ฮ่องเต้เคยประทับอยู่ที่เมืองตั้งหยางเมื่อตอนที่เขายังเป็เพียงเด็กหนุ่ม เขามีความรู้สึกดีๆ ต่อที่นั่น อันกงกงบอกว่าฮ่องเต้ทรงเป็กังวลอย่างหนักกับเื่นี้ทุกวัน ถ้าท่านสามารถช่วยเหลือชาวบ้านส่งอาหารไปที่เมืองตั้งหยาง ย่อมจะสามารถบรรเทาทุกข์ของฮ่องเต้ลงได้ นี่เป็เื่เร่งด่วน เกี่ยวพันกับชีวิตของข้าและท่านพ่อให้ดีขึ้น”
กู้ซินมองไปที่กู้หนานเฟิงอย่างอ้อนวอน
“ข้าขอคิดดูก่อน เ้ากลับวังไปก่อนเถอะ”