“น้องรอง นี่ ไข่ปลาที่เ้าชอบกิน รีบกินเถิด ข้าว่าเมื่อครู่เ้าไม่ค่อยกินเท่าใด” หลิวชิวเซียงก็เสริมอีกแรง
หลิวเต้าเซียงมองไปที่พี่สาวตนเอง ที่คุยกันไว้ว่าจะเป็เพื่อนกำลังเสริมที่ดีล่ะ อย่าได้เปิดโปงกันเช่นนี้ได้หรือไม่?
“เอาเถิด รีบกิน วันนี้กับข้าวดีจริงๆ แม่เกิดมาจนปูนนี้ เป็หนแรกที่ได้กิน” คำพูดของจางกุ้ยฮัวฟังดูน่าเศร้า
พ่อของนางจากไปเร็ว ที่บ้านก็อยู่กันอย่างยากลำบาก เดิมทีแม่ของนางคิดว่า แม้นว่าจะไม่ได้สินสอดอะไร ก็ต้องให้นางแต่งออกมา เพื่อให้นางได้มีชีวิตที่ดี ใครเล่าจะรู้ว่า…
“ท่านแม่ วางใจเถิด เราไปเยี่ยมท่านยายตอนตรุษจีน ถึงตอนนั้นก็คงได้กินไก่กินปลากัน” หลิวเต้าเซียงโบกมือเรียกกำลังใจ แล้วปลอบโยนจางกุ้ยฮัวอย่างฮึกเหิม
จางกุ้ยฮัวยิ้ม ได้ยินดังนั้นจึงพูดว่า “นั่นคือสิ่งที่เ้าเลี้ยงมาเอง ไก่เลี้ยงที่บ้านคนอื่นนับว่าไม่ง่าย ของเ่าั้เ้าขาย่ตรุษจีนแล้วเก็บไว้ส่วนตัวเถิด พ่อกับแม่ไม่เอาไหนเอง”
ความหมายของนางก็คือเงินที่หามาได้ก็ให้หลิวเต้าเซียงเก็บไว้เอง ต่อไปจะได้ไว้ใช้เป็สินเ้าสาว
ย่าเป็คนที่ดูแลกระเป๋าเงิน ส่วนปู่ก็พึ่งพาไม่ได้ จางกุ้ยฮัวกับหลิวซานกุ้ยเองไม่มีเงินเก็บส่วนตัว แต่บุตรสาวเริ่มเติบโตกันขึ้นทุกวัน เื่สินเ้าสาว กลายเป็ูเาที่หนักอกของคนทั้งสอง
เดิมทีหลิวซานกุ้ยคิดจะมอบเงินที่ไปรับงานข้างนอกให้กับหลิวฉีซื่อ แต่ต่อมาก็เริ่มอ่านสถานการณ์ได้กระจ่างขึ้น
ดังนั้นทุกครั้งที่หลิวเต้าเซียงแอบเอาอาหารไก่ของหลิวฉีซื่อไป เขาจึงไม่รู้สึกไม่สบายใจอีกต่อไป
หลิวเต้าเซียงกัดตะเกียบและพูดอย่างชัดเจน “ท่านแม่ ข้าคิดอยากทำอะไรให้คุณชายท่านนั้นสักหน่อย”
จางกุ้ยฮัวเองก็รู้สึกว่าได้รับความเมตตาปรานีจากเขา ยามนี้เขาต้องกลับบ้าน จึงสมควรที่จะเตรียมอะไรไว้ให้เขาได้กินระหว่างเดินทาง
เพียงแต่เมื่อเอ่ยเื่นี้ นางเองก็ลำบากใจ “เราจะทำอะไรดี? หรือไม่พรุ่งนี้เช้า ให้พ่อของเ้าไปซื้อเนื้อวัวตุ๋นที่ตำบลดี?”
“ท่านแม่ เนื้อวัวไม่ได้ขายทุกวัน วันนี้ข้าก็บังเอิญเจอเข้าพอดี”
จางกุ้ยฮัวรู้สึกว่าไม่ง่าย “ของอย่างอื่น เกรงว่าเขาคงไม่เหลียวแล บ้านเราเองก็มีเพียงมันเทศแผ่น”
มันเทศแผ่นคือสิ่งที่หลิวฉีซื่อสั่งให้จางกุ้ยฮัวทำทุกปี ทุกครั้งที่มีเทศกาล ในบ้านมีแเื่ก็มักจะทอดออกมาให้แขกได้ชิม
ในนั้นยังผสมเปลือกส้มบดไว้ด้วย เวลากินจึงได้กลิ่นหอมของส้ม
“ท่านแม่ เขาคงไม่ชอบของเ่าั้แน่!” คราวนี้หลิวชิวเซียงเป็คนเอ่ย
หลิวเต้าเซียงจําได้ว่า ตนยังไม่ได้บอกกล่าวเื่ที่ขายหนููเาให้แก่เขา จึงเอ่ยออกมาตามน้ำ “อืม ใช่แล้ว ท่านแม่ รู้หรือไม่ว่าหนููเาที่ขายวันนี้ได้ราคาถึงแปดตำลึง หากว่าหักส่วนของเขาไป ก็ยังเหลืออยู่สี่ตำลึง”
อะไรนะ? สี่ตำลึง?
ยกเว้นหลิวชุนเซียงที่นอนหลับอย่างมีความสุขบนคั่งและทำฟองน้ำลายเล่น คนทั้งห้องต่างก็ตกตะลึง
หลังจากผ่านไปสักครู่ เสียงแข็งทื่อของหลิวชิวเซียงก็ดังขึ้นในห้อง “นั่นเท่ากับว่าบ้านเราสามารถซื้อที่นาได้หนึ่งไร่อย่างนั้นหรือ?”
นับแต่หลิวซานกุ้ยสอนการคำนวณเลขให้คนในครอบครัว สำหรับเื่เงิน ทุกคนต่างก็เข้าใจถ่องแท้ขึ้น
เขาใ ยิ่งรู้สึกว่าหลายปีมานี้เขาใช้ชีวิตได้อย่างซื่อบื้อเสียจริง
ในเวลาเดียวกัน เกียรติและศักดิ์ศรีของเขาก็เหมือนได้รับความพ่ายแพ้ ลูกรักที่เปรียบเสมือนเสื้อเหมียนอ๋าวที่อ่อนนุ่มเล่า? นี่มันกลับกลายเป็แส้ที่มีหนามเสียนี่
คอยโบกสะบัดอยู่ตลอดเวลา ทำเอาหัวใจของเขาเ็ปไม่หยุดยั้ง
ไม่ได้ เขาเองก็ต้องพยายาม มือใหญ่กำหมัดแน่น พรุ่งนี้ต้องจับปลาแต่เช้า
บุตรสาวตนเองหาเงินได้ถึงสี่ตำลึงภายในสองเดือน นี่ยังไม่นับอาหารการกินประจำวัน หลิวซานกุ้ยรู้สึกทันใดว่า การมีบุตรสาวที่เก่งกาจถือเป็ความกดดันอันใหญ่หลวงของเขา
“ซื้อของว่างคงไม่ได้ เขาคงเคยกินหมดแล้ว ลำพังของว่างในตำบล คุณชายเขาคงไม่เหลียวแล”
หลิวซานกุ้ย้าแสดงบทบาทที่ยิ่งใหญ่ของผู้เป็พ่อ จึงเสนอความคิดเห็น
หลิวเต้าเซียงไม่รู้ว่าพ่อผู้แสนดีกำลัง ‘ผิดหวัง’ เพราะนางโดยไม่ได้ตั้งใจ และไม่รู้ว่าเขาได้มีใจที่จะพยายามต่อสู้เพื่อหาเงิน มิเช่นนั้นคงดีใจราวกับมีดอกไม้โปรยปรายอยู่ในบ้าน
“ไม่อย่างนั้น ข้าจะตื่นแต่เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นเพื่อไปจับปลา จากนั้นส่งไปที่ตำบล ดูว่าพอจะมีของป่าอะไรบ้าง เพื่อมอบให้เขาได้”
ปลา?
หลิวเต้าเซียงได้ยิน ดวงตาดุจดอกท้อก็เป็ประกาย
เหตุใดนางจึงคิดไม่ถึง?
ในฐานะคนที่รักการกินปลาเช่นนี้ เหตุใดจึงลืมเมนูลูกชิ้นปลาไปเสียได้?
“ท่านพ่อ วันรุ่งขึ้นช่วยจับปลาตัวใหญ่หน่อยได้หรือไม่ เป็ปลาเฉาก็ไม่เลว”
ปลาเฉาหรือปลากินหญ้า เนื้อแน่นก้างน้อย เอามาทำลูกชิ้นปลานั้นเหมาะสมที่สุด
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หัวใจก็เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมา แอบกล่าวกับสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ด “เ้าสัตว์ปีศาจตัวน้อยที่รัก”
“เซียงเซียง ให้มันน้อยๆ หน่อยครับ ผมไม่อยากมีรักร่วมเพศกับคุณ” สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดพูดอย่างเป็จริงเป็จัง
หลิวเต้าเซียงกลอกตาเงียบๆ บ้านน้องนายสิ ใครก็ได้บอกนางที เ้าตัวที่คล้ายก้านถั่วงอกนี่กำลังจะเป็คนแล้วหรือ
“เ้าปีศาจตัวน้อย ฮี่ๆๆ!”
“อย่ามาประจบครับ มีอะไรก็ว่ามา” นี่คือเสียงน่ารักใจอ่อนของสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ด
“ฉันอยากถามหน่อย นายมีแป้งมันหรือเปล่า ฉันจะใช้ไข่แลกกับนาย” น้ำเสียงของหลิวเต้าเซียงออกจะอ่อนหวานเล็กน้อย
สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ด ซึ่งเดิมทีพร้อมแสร้งทําเป็ตายก็ฟื้นขึ้นมาทันทีอย่างมีชีวิตชีวา
“จริงหรือครับ แลกเท่าไร? ขอเพียงเป็คำที่ขึ้นต้นด้วยแป้ง สามารถแลกได้หมด คุณ้าแป้งข้าวโพด หรือแป้งหมี่ หรือแป้งข้าวเหนียวครับ คุณบอกว่าจะทำขนมเฮาจือไม่ใช่หรือครับ?”
สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดนับวันยิ่งชำนาญในการใช้ลูกไม้นี้
นางแค่ถามว่ามีแป้งมันหรือไม่ “ยังไม่้า แป้งหมี่ต่อไปค่อยว่ากัน ส่วนแป้งข้าวเหนียวยังไม่ได้ใช้ หญ้าเฮาจือตอนนี้แก่เกินไป ทำขนมไม่อร่อย”
“เช่นนี้หรอกหรือ?!” เสียงของสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดฟังดูผิดหวังเล็กน้อย ทว่า จากนั้นมันก็ถามอีก “คุณ้าแป้งมันกี่สิบกิโลกรัมดีครับ”
“เ้าต้นกล้าถั่วงอก ฉันไม่ได้เอาไปกินแทนข้าว จะเอาแป้งมันไปทำอะไรเยอะแยะ? นายลองใช้สมองคิดสักหน่อยได้ไหม”
สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดมีความคับข้องใจเล็กๆ มันไม่รู้จริงนี่นา มันไม่เคยกินของสิ่งนี้
“ผมจะรู้ได้อย่างไร นี่ไม่ใช่พลังงานสักหน่อย”
ประโยคดังกล่าวพัดไฟโมโหของหลิวเต้าเซียงจนปลิวว่อน
นางรู้สึกตัวว่างี่เง่า ซื่อบื้อจริง จะมาถือสาอะไรกับเ้าตัวที่คล้ายต้นกล้าถั่วงอกนี่กัน
“นายมีแบบถุงเล็กไหม ฉันจะใช้ไข่แลก”
สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “มีครับ ไข่หนึ่งใบสามารถแลกได้หนึ่งร้อยห้าสิบกรัม”
หลิวเต้าเซียงไม่รู้ว่าหนึ่งร้อยห้าสิบกรัมมีเท่าไร แต่มันคงจะเพียงพอสําหรับปลา คิดได้ดังนั้น จึงแลกมาเพียงหนึ่งร้อยห้าสิบกรัม
หลังจากยื่นหมูยื่นแมวกับสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดก็ปลื้มปิติยินดี
การสนทนาของหลิวซานกุ้ยกับจางกุ้ยฮัวก็เริ่มเข้าสู่่ท้าย
“ข้าจะตื่นแต่เช้าตรู่ในวันพรุ่งนี้ เอาฉมวกไปด้วย คงจับได้สักสองตัว คุณชายท่านนั้นมีบุญคุณกับครอบครัวเรา อย่างอื่นเรามอบให้ไม่ได้ คงมอบได้แต่น้ำใจเล็กๆ ด้วยฝีมือตนเอง”
เขายังคิดว่าหลิวเต้าเซียงคิดจะทำปลาน้ำแดงให้คุณชายไว้กินระหว่างทาง แม้ว่าจะยากลำบากสักหน่อย แต่คุณชายบอกแล้ว เขามีข้ารับใช้กับองครักษ์มารับ คิดว่าการนำของเหล่านี้ไปด้วยคงไม่ยุ่งยากนัก
แม้ว่าหลิวเต้าเซียงจะไม่เต็มใจให้เ้าปีศาจที่เปรียบดั่งต้นเขย่าเงินจากไปเช่นนี้ แต่อย่างน้อย เขาก็เคยช่วยเหลือนางให้ผ่านพ้น่เวลาที่ยากเข็ญที่สุดไปได้
ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกขอบคุณที่เขาช่วยปิดบัง
ค่ำคืนนี้ครอบครัวของหลิวเต้าเซียงได้กินอย่างอิ่มหนำสำราญ หลิวซานกุ้ยนั่งลูบพุงอยู่ตรงข้างคั่งอย่างหมดสภาพ
พูดตามตรง ครั้งล่าสุดที่เขาได้กินเนื้อวัว ก็คือตอนที่ท่านปู่กับท่านย่ายังมีชีวิตอยู่ ตอนนั้นไม่รู้ว่าตัวเขาเองถูกใครผลักตกลำธารในหมู่บ้าน ท่ามกลางอากาศหนาว เสื้ออ๋าวตัวใหม่เปียกปอน เย็นเฉียบจนปากนั้นสั่น ดีที่มีท่านย่าไปอุ้มเขากลับมา แต่ยังคงหนาวสั่น เป็หวัด และป่วยอยู่ตลอดทั้งฤดูหนาว
จนกระทั่งก่อนเทศกาลปีใหม่เขาก็หายดี ปู่ของเขาไปจับจ่ายซื้อของปีใหม่ในตำบลจึงพบกับคนฆ่าวัว และได้ซื้อเนื้อส่วนท้องกลับไปสองกิโลกรัมครึ่ง ย่าของเขาเอาเนื้อทั้งหมดมาตุ๋นจนเปื่อยและกินกับมันฝรั่งต้ม
ต่อมาหลังจากกลับมาที่บ้านนี้ เขาเองก็ไม่เคยได้กินอีกเลย เพียงแต่ยังคงจำได้เลือนรางว่า เนื้อส่วนท้องตุ๋นมันฝรั่งในตอนนั้น กระทั่งในมันฝรั่งยังมีกลิ่นหอมของเนื้อวัวอยู่ด้วย
ครอบครัวของหลิวเต้าเซียงกําลังพูดคุยกันหลังอาหารค่ำ แต่กลับไม่รู้ว่า ซูจื่อเยี่ยที่นอนอยู่ในห้องทิศตะวันตกกำลังยกยิ้มมุมปากเบาๆ
บางครา เขาเองก็อิจฉาหลิวเต้าเซียง แม่สาวน้อยที่ไร้ซึ่งหัวจิตหัวใจ
แม้ว่าครอบครัวจะยากจนมาก แต่ก็มีพ่อแม่ที่รักใคร่เอ็นดูพวกนาง และไม่มีการแก่งแย่งชิงดีทำร้ายกันเฉกเช่นในตระกูลใหญ่โต
เมื่อนึกถึงหลิวเต้าเซียงที่ต้องนั่งปวดหัวกับการคิดหาสิ่งของเพื่อเป็การร่ำลาเขา หัวใจของเขาก็ผ่อนคลายไปมาก กระทั่งมุมปากก็ยกยิ้ม รู้สึกอบอุ่นและปราศจากความเยือกเย็น
ขณะนี้ภายในห้องมีเงาดำร่างหนึ่งปรากฏตัว และโก่งโค้งคำนับจากที่ไกลๆ “นายน้อย”
“อืม!” ซูจื่อเยี่ยไม่แปลกใจกับคนที่มาเยือน
เขายกมือขึ้นโบกเล็กน้อย คนๆ นั้นก็อ่านความหมายของเขาได้เงียบๆ โดยผ่านเสียงลมที่ทะลุผ่านห้องของเขา
“เรียนนายน้อย นายท่านให้ถามเวลาเดินทางของวันรุ่งขึ้น นางจะได้มารอรับท่านที่ปากทาง”
“ไม่จําเป็ พวกเ้าไปก่อน แม่ข้าสุขภาพร่างกายย่ำแย่ ครั้งนี้ต้องขวัญเสียเนื่องจากเื่ของข้า ข้าจะตามพวกเ้าไปทีหลัง ถึงตอนนั้นค่อยไปยังตัวเมืองเพื่อเดินทางกลับเมืองหลวงโดยเรือ”
เมื่อเผชิญหน้ากับลูกน้อง มีเพียงการเอ่ยถึงมารดาที่จะทำให้เขาพูดได้มากกว่าปกติ
“ขอรับ” ชายชุดดําตอบด้วยความเคารพและพูดต่อ “เรียนนายน้อย เื่ที่ท่านให้ไปตามสืบหลิววั่งกุ้ยนั้นได้ทำการตรวจสอบแล้ว เขาคือถงเซิงในสถาบันของตำบล ยามปกติชื่นชอบการคบค้าสมาคมกับบรรดาลูกคนรวยในตำบล ไม่เพียงแค่ละโมบ ทั้งยังหลงระเริงกับเื่โลกีย์ ปกติมักจะไปโรงหญิงโสเภณีกับสหาย ส่วนเื่การเล่าเรียน ในรุ่นนี้นับว่าไม่เลวขอรับ”
“นับ-ว่า-ไม่-เลว!” ซูจื่อเยี่ยพูดช้าๆ ทีละคํา
ชายชุดดําไม่กล้าตอบตามใจ จึงได้แต่ยืนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น
“เ้ากลับไปบอกกับเกาจิ่วว่า ให้เขาช่วยดูแลทางนี้ด้วย” เขายื่นมือชี้ไปทางห้องปีกทิศตะวันตกของหลิวเต้าเซียง
เขาหยุดชะงักเล็กน้อยแล้วเอ่ย “อย่าให้ท่านแม่ข้ารู้เื่” เขาไม่้าให้เื่ราวบานปลาย
“ขอรับ” ชายชุดดําตอบ
ซูจื่อเยี่ยไม่ได้ใส่ใจคําพูดของเขาก่อนหน้าและพูดว่า “ไปได้”
หลังจากชายชุดดำออกไป ในห้องก็กลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง
ซูจื่อเยี่ยเอ่ยขึ้นกลางอากาศ “แล้วก็มีหลิวสี่กุ้ย ไปตรวจสอบว่าเื่นั้นไปถึงไหนแล้ว?”
“เรียนนายน้อย เื่น้องชายของจางกุ้ยฮัว เนื่องจากผ่านไปหลายปี การจะตามสืบจึงมีความยากลำบาก ตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้ามากนัก รู้เพียงว่าเขาน่าจะไปทางหูโจว”
ในความมืดมีคนตอบเสียงเบา เสียงนั้นเบามากแม้กระทั่งสามคนที่อยู่ในห้องโถงอย่างหลิวต้าฟู่ก็ไม่มีทางได้ยิน
-----
