เล่มที่ 8 บทที่ 218 ซ้ำแผนเดิม
ยันต์ของหวังหลงและหนูทองของเว่ยฟงล้วนสำคัญไม่ต่างกับกระบี่คู่กายของเหล่าผู้บำเพ็ญกระบี่ ซึ่งนับว่าเป็รากฐานของการบำเพ็ญ
ดังนั้นเมื่อยันต์ถูกทำลายและหนูทองได้รับาเ็ จึงเปรียบเสมือนรากฐานที่กำลังชำรุด ไม่ว่าจะบำเพ็ญสายใดก็ตาม หากรากฐานเกิดบอบช้ำกระทั่งไม่สามารถรักษาได้ละก็ ชั่วชีวิตนี้ก็อย่าหวังว่าจะได้บรรลุขั้นบำเพ็ญอีกเลย หากรายใดที่เจ็บหนัก ก็อาจถึงขั้นรากฐานแตกสลายและตายได้เลยทีเดียว
ทันใดนั้นไม่ว่าจะเป็หวังหลงหรือเว่ยฟงเองก็หน้าถอดสีลงทันที สำหรับผู้บำเพ็ญแล้ว การที่รากฐานถูกทำลายลงก็ไม่ต่างอะไรกับเจอเคราะห์หนัก หวังหลงคิดได้ดังนั้นก็ตื่นตระหนกอย่างหนัก เขารีบโคจรพลังที่เหลือเพื่อบงการยันต์อีกใบออกมา จากนั้นนั้นก็มีกระแสเสวียนหวงปกคลุมหวังหลงและเว่ยฟงเอาไว้อย่างแ่า กระแสเสวียนหวงนั้นสามารถสยบเหล่ามารปีศาจได้เหมือนกับกระบี่ไท่อี๋ของหลินเฟยก็ว่าได้ พริบตาที่ยันต์นี้ปรากฏออกมา แม้แต่พิษของซากศพผีดิบร่างเงินเองก็ยังต้องสลายไป...
หลังจากที่มีกระแสเสวียนหวงคุ้มกายแล้ว หวังหลงก็โคจรพลังเพื่อรวบรวมอักขระที่แตกกระจายกลับเข้ายันต์คู่กายตนเอง ทันใดนั้นอักขระที่เรืองแสงก็ปลิวว่อนในอากาศคล้ายกับหิ่งห้อยที่เกาะกลุ่มกัน จากนั้นก็ปรากฏเป็อักขระบางส่วนที่กำลังเชื่อมต่อกันอย่างเลือนราง แต่ก็ยังมีอักขระอีกไม่น้อย ที่ยังคงลอยสะเปะสะปะไปทั่ว...
สิ่งที่หวังหลงกำลังทำอยู่ในตอนนี้ก็คือการซ่อมแซมยันต์คู่กายนั่นเอง
การหลอมยันต์ของเหล่าผู้บำเพ็ญยันต์ก็เหมือนกับการสร้างตึกสูง แรกเริ่มนั้นง่ายดายราวกับหว่านเมล็ด ทว่าภายหลังกลับต้องสร้างอักขระจำนวนมากเพื่อต่อเติมเข้าไปราวกับการสร้างบ้าน ที่จะต้องค่อยๆต่อเติมเข้าไปทีละน้อย กระทั่งบรรลุขั้นมิ่งหุน ยันต์นี้ถึงจะปรากฏออกมา...
ทว่าขั้นตอนระหว่างนี้ไม่ได้ง่ายดายนัก ทั้งเสียเวลาและเสียพลังงานเป็อย่างมาก บัดนี้หวังหลงกำลังคิดซ่อมยันต์ที่แตกสลายให้กลายเป็อักขระชิ้นเล็กชิ้นน้อยให้กลับมาในสภาพเดิม เหมือนกับการนำชิ้นส่วนที่แตกออกค่อยๆต่อกลับไปตามเดิม แน่นอนว่าไม่ใช่เื่ง่ายๆ แต่ถึงจะยากเพียงใดก็ต้องซ่อมแซมให้สำเร็จ ไม่เช่นนั้นก็จะไม่สามารถรักษารากฐานที่าเ็ได้...
ส่วนเว่ยฟงเองก็ค่อยๆประคองเ้าหนูทองที่ไม่รู้ว่าเป็ตายร้ายดีอย่างไรด้วยความกังวล บัดนี้เขากำลังส่งพลังปราณจำนวนมากเข้าไปยังร่างเ้าหนูทอง หวังจะรักษาอาการาเ็ของมัน พลังปราณของเว่ยฟงได้กลายเป็อักขระขึ้นมาก่อนจะลอยเข้าสู่ร่างเ้าหนูทอง จากนั้นก็มีอักขระลอยออกมาจากร่างเ้าหนูกลับเข้าสู่ร่างของเว่ยฟง วนเวียนแบบนี้ไม่รู้จบ
และนี่ก็คือเคล็ดวิชาลับของหุบเขาหมื่นอสูร โดยการใช้ตนเองเป็สิ่งหล่อเลี้ยงสัตว์อสูร และสัตว์อสูรก็จะค่อยๆบำเพ็ญให้เป็รากฐาน ดังนั้นทั้งคู่จึงเสมือนเป็อันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งต่างจากวิชาบงการมารปีศาจของสำนักโยวิ
แม้สัตว์อสูรจะตายลง ทว่าเว่ยฟงก็ไม่อาจตายตามได้ ต่างกับสำนักกระบี่หลีซาน ซึ่งหากกระบี่แตกสลายไปเมื่อใดคนก็จะตายตกตามไปด้วย แต่ถึงอย่างนั้นหากเ้าหนูทองตายลงไปจริงๆ รากฐานบำเพ็ญของเว่ยฟงก็ถือว่าาเ็สาหัสเลยทีเดียว มิหนำซ้ำยังไม่อาจจะเยียวยาได้อีกต่อไป ก่อนหน้านี้เ้าหนูก็ได้กินหินิญญาเข้าไปมาก แถมยังาเ็สาหัสอีก คงยากที่จะฟื้นขึ้นมาได้อีกครั้ง...
คนทั้งคู่ในตอนนี้ถือว่าสูญเสียงพลังมหาศาลจากการโจมตีก็ว่าได้ ส่วนผีดิบร่างเงินหลังจากสามารถเอาชนะทั้งคู่ได้ แววตาของมันก็ฉายแววโเี้ยิ่งขึ้น หลังจากที่มันกวาดตาสำรวจรอบๆแล้ว ก็รีบพุ่งไปทางเกาชิวทันที...
เพราะเกาชิวมีขั้นบำเพ็ญสูงสุด ในสายตาของผีดิบร่างเงิน จึงไม่ต่างอะไรกับเปลวไฟที่ลุกโชนร้อนแรงและเป็ภัยถึงที่สุด มันจึงเลือกจัดการเกาชิวก่อนโดยสัญชาตญาณ
ผีดิบร่างเงินเคลื่อนที่ด้วยสี่เท้า จึงทำให้มันไม่ว่องไวเท่าไรนัก แต่ก้าวเดียวของมัน กลับสามารถข้ามผ่านระยะทางได้เกือบสามสิบจ้างเลยทีเดียว และเมื่อผสานเข้ากับกลิ่นซากศพและไอปีศาจเข้มข้น ก็ทำให้มันสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น...
ก่อนหน้านี้เกาชิวเองก็ได้เห็นสภาพน่าเวทนาของหวังหลงและเว่ยฟงแล้ว ยิ่งเห็นผีดิบร่างเงินกำลังพุ่งมา ก็ใสุดขีดจนใบหน้าขาวซีดไร้ซึ่งสีเื ครั้งที่ประมือกับอสรพิษร้าย ในตอนนั้นเกาชิวก็ยังพอมีความมั่นใจอยู่บ้าง ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับผีดิบร่างเงินขั้นหกเช่นนี้ แม้แต่จะสู้ เกาชิวก็ยังไม่กล้าด้วยซ้ำ เมื่อเห็นว่าเ้าผีดิบกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แววตาของเกาชิวก็สั่นคลอนด้วยความหวาดผวา เดิมทีเขาคิดจะหนีให้สุดชีวิต แต่กลับฉุกคิดขึ้นได้ว่า เช่นนั้นจะยิ่งเป็การหลอกล่อเ้าผีดิบร่างเงินให้ตามมาเสียมากกว่า...
ทันใดนั้นก็มีความคิดหนึ่งวาบผ่านเข้ามาเสียก่อน หลังจากกวาดตามองไปรอบๆ เกาชิวก็เห็นหลินเฟยเข้าพอดี...
‘แม้จะดูไม่ได้เื่ แต่อย่างน้อยก็น่าจะถ่วงเวลาได้ครู่หนึ่ง...’
เมื่อคิดได้ดังนั้น ใบหน้าของเกาชิวก็เผยความมั่นใจขึ้น เขากระชับกระบี่ไว้ในมืออย่างมั่นคงและเริ่มวาดมือเกิดเป็ค่ายกล จากนั้นนั้นก็เกิดเป็ลำแสงกระบี่สีดำสะบั้นออกมา และไอโเี้ก็พวยพุ่งขึ้นก่อนจะรวมตัวกันกลายเป็ัสีดำซึ่งมีหมอกดำรายล้อมรอบตัว เ้าักางกรงเล็บและพุ่งตรงไปยังผีดิบร่างเงินด้วยความรวดเร็ว
ลำแสงกระบี่ที่พุ่งตรงไปหาผีดิบร่างเงิน ก็พลันแฉลบออก สามารถหลบกรงเล็บที่พุ่งเข้ามาได้หวุดหวิด ก่อนที่ลำแสงกระบี่จะตีโค้งพุ่งไปทางหลินเฟย...
หลินเฟยมองด้วยสีหน้าเรียบเฉยตามเดิม โดยไม่แสดงอาการใแม้แต่น้อย แต่ั์เนตรทั้งาองกับหรี่ลงน้อยๆ เพื่อแสร้งทำเป็ไม่เห็นการกระทำของเกาชิว ทว่าชั่วขณะที่ผีดิบร่างเงินหันมา หลินเฟยก็หยุดพลังปราณในร่างให้ขาดห้วง จากนั้นพลังปราณในร่างก็สะดุดลงก่อนจะจางหายไป ทำให้กลิ่นอายของหลินเฟยถูกปกปิดไว้ทั้งหมด...
และนี่ก็คือเคล็ดวิชาปกปิดตัวตนสุดแสนจะธรรมดาของหลินเฟย ไม่พิเศษพอจะเป็เคล็ดวิชาลับอะไรทั้งนั้น เพียงสามารถควบคุมพลังตนเองได้อย่างแม่นยำก็นับว่าใช้ได้แล้ว ซึ่งพลังนี้เองไม่มีผลกับผู้บำเพ็ญทั่วไปแม้แต่น้อย ทว่าสำหรับผีดิบที่แยกแยะทุกอย่างด้วยกลิ่นอายเืเนื้อแล้วละก็ กลับมีผลมากเลยทีเดียว...
หลังจากผีดิบร่างเงินหันมาก็ถูกลวงว่าหลินเฟยเป็เพียงซากศพร่างหนึ่งเท่านั้น นอกจากจะไม่มีไอิญญาแล้ว ยังไม่มีกลิ่นอายเืเนื้ออีกด้วย เมื่อเทียบกับเกาชิวที่มีกลิ่นอายสุกสกาวราวกับเปลวไฟอันร้อนแรงแล้ว หลินเฟยนั้นก็เสมือนเพียงกองเถ้าถ่านที่มอดดับเท่านั้น...
ต่อให้อยู่ประชิดตัวเท่าไร ผีดิบร่างเงินก็ไม่คิดสนใจแม้แต่น้อย ทันใดนั้นมันก็หันกลับไปทางเกาชิวอีกครั้ง ก่อนจะคำรามและพุ่งตรงเข้าไปด้วยความเร็ว...
เกาชิวที่ใช้แผนซ้ำเดิม ไม่ทันจะระบายรอยยิ้มออกมา ก็กลับแปรสีหน้าเป็เขียวคล้ำทันที...
‘ไม่รู้ว่าเ้าผีดิบร่างเงินนี่เกิดบ้าอะไรขึ้นมา ถึงได้ไม่แยแสหลินเฟยแม้แต่น้อย...’
ราวกับสิ่งที่อยู่ในสายตาของมันมีแค่ตนเองเพียงคนเดียวเท่านั้น ขณะนั้นเกาชิวถึงกับมืดแปดด้าน ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ทว่าเ้าผีดิบร่างเงินกลับไม่คิดเปิดโอกาสให้เกาชิวได้ครุ่นคิดหาทางแม้แต่น้อย...
แม้จะอยู่ห่างออกไปหลายสิบจ้าง แต่เพียงผีดิบร่างเงินชูกรงเล็บข้างหนึ่งขึ้นมา ก็มีกลิ่นซากศพอันเข้มข้นแพร่กระจายไปทั่วบริเวณ ก่อนจะรวมตัวกันจนเกิดเป็กรงเล็บขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นเลือนราง และพริบตาถัดมาก็มีกรงเล็บขนาดใหญ่นับสิบจ้าง จ้วงแทงลงมาอย่างแรง...
เกาชิวตาลีตาเหลือกหลบเป็พัลวัน แต่ก็มิวายถูกแรงปะทะอัดกระแทกเข้าจนร่างทั้งร่างกระเด็นออกไป กลิ่นเหม็นเน่าของซากศพยังคงโชยมาเรื่อยๆ จากนั้นอักขระจำนวนมากที่ปรากฏบนอาภรณ์ก็เรืองรองขึ้นมา แต่แล้วก็ราวกับเปลวไฟดวงน้อยที่มอดดับ อาภรณ์ที่ปกคลุมร่างกายกลับอยู่ในสภาพคล้ายกำลังสลาย
เกาชิวที่ได้กลิ่นซากศพก็รีบอุดปากอุดจมูกก่อนจะร้องโหยหวนออกมา บัดนี้ิัของเขาเริ่มแห้งเหมือนขาดน้ำ และกำลังค่อยๆหลุดลอกออกเป็แผ่นๆ ส่วนเนื้อใต้ิั ก็กำลังเน่าตายและขาดน้ำไปหล่อเลี้ยงเพราะกลิ่นซากศพนั่น...
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------