บทที่ 40 ผู้เฒ่าสูงสุดหวนคือบ้านเดิม
ผ่านไปได้สักพักลู่เหว่ยจุนก็ได้สติกลับมา และสังเกตเห็นสายตาที่หลากหลายความรู้สึกและท่าทีที่กระสับกระส่ายของบรรดาผู้เฒ่าที่กำลังมองไปทางยาวิเศษบนโต๊ะ ก็ยากที่จะยอมรับได้เมื่อเห็นยาอายุวัฒนะอยู่ในมือจำนวนมาก แต่กลับไม่สามารถใช้ได้อย่างเต็มที่ ทั้งยังต้องกลับมาฝึกฝนด้วยความลำบาก หากเช่นนี้ทำเช่นนี้ไม่เรียกว่าทรมานคน แล้วจะเรียกว่าสิ่งใดได้?
ลู่เหว่ยจุนเคยได้ยินผู้เฒ่าสูงสุดกล่าวไว้ว่า เพราะมีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ เช่นนั้นในแง่ของการฝึกจิต จึงด้อยกว่าผู้บำเพ็ญเพียรในสำนักหลักและนักพรตสันโดษ เป็ผลกระทบที่มาจากสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ทุกตระกูลที่สืบทอดต่อกันมายาวนานก็เป็เช่นนี้ หลายคนต่างมีความหวังและเชื่อว่า ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันสักเท่าไร อันที่จริงมันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรมากนัก ยามต่อสู้กันก็ไม่เห็นผู้แข็งแกร่งของสำนักหลักแข็งแกร่งกว่าผู้แข็งแกร่งของตระกูลใหญ่มากนัก แต่หากในแง่ของความเป็ยอดฝีมือระดับสูงที่เกิดมา และจำนวนของผู้บำเพ็ญเพียรตนของตระกูลยังมีฝีมือที่ห่างชั้นกว่ากันมาก สิ่งนี้มันแสดงให้เห็นจากอีกด้านว่าสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันอย่างดุเดือดและโหดร้ายเป็ตัวกระตุ้นชั้นดีในการฝึกฝนของผู้บำเพ็ญเพียร
แต่รู้ก็ส่วนรู้ เข้าใจก็ส่วนเข้าใจ สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคงหนีไม่พ้นการสืบทอดของตระกูลและบรรลุขั้นพลังยุทธ์ให้มากขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่มันเป็การยากที่จะยอมละทิ้งทุกอย่างเพื่อขั้นพลังยุทธ์ที่ว่างเปล่านั้นและทอดทิ้งวงศ์ตระกูลโดยที่ไม่สนใจ
บรรดาผู้เฒ่ามองมาที่ลู่เหว่ยจุนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามในเวลานี้ เห็นได้ชัดว่าอยากฟังความคิดของเขา ถึงแม้ลู่อวี่จะพูดกระจ่างชัดจนเข้าใจ แต่ของเหล่านี้สำหรับผู้เฒ่าในตระกูลที่ฝึกฝนมาน้อยสุดร้อยกว่าปีแล้ว ไม่นับว่าเป็ความลับอะไร
ในอดีตถึงแม้จะเข้าใจเหตุผลนี้ แต่ในขณะนั้นที่ไม่ได้มียาอายุวัฒนะมากมายเช่นนี้ ต่อให้อยากจะกินยาอายุวัฒนะเพื่อการฝึกฝนก็ทำไม่ได้ เช่นนั้นแล้วทุกคนจึงจำต้องกลั้นใจฝึกฝน แต่ตอนนี้มีคนปรุงโอสถขั้นห้าอยู่ในตระกูลแล้ว คงต้องปรึกษาหารือกันอีกเื่
หลังจากลู่เหว่ยจุนครุ่นคิดอยู่สักพักก็ยกยิ้มและกล่าวว่า “เ้าเด็กดื้อนี่ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองจะทำได้หรือไม่ แต่นำของมายั่วยวนเราเช่นนี้แล้ว พวกเราเองก็ต้องทำความเข้าใจและศึกษาให้เชี่ยวชาญด้วยตัวเอง คิดว่าหากฝ่าด่านไปได้ด้วยตัวเองแล้วอย่างไรก็ย่อมดีกว่าอาศัยการกินยาอายุวัฒนะเพื่อบรรลุขั้นพลังยุทธ์ มิเช่นนั้นต่อไปคงต้องอาศัยยาอายุวัฒนะเพื่อพัฒนาตัวเองขึ้นเพียงอย่างเดียว ถึงแม้มันจะมีข้อดี แต่ไม่มั่นใจว่าจะทำสำเร็จ แล้วยังจะมาพูดคุยถึงความยิ่งใหญ่อะไรกันอีก?”
ลู่หงเฟิงพยักหน้าแรงๆ พลางพูดว่า “ใช่ มียาอายุวัฒนะใช้อย่างไรย่อมดีกว่าไม่มี ขอเพียงใช้อย่างระวัง ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว”
ผู้เฒ่าใหญ่ลู่หงเซิ่งพูดโต้ตอบด้วยความไม่พอใจ “หากสามารถควบคุมตัวเองได้จริง ๆ ก็ไม่จำเป็ต้องพึ่งพายาอายุวัฒนะเพื่อบรรลุขั้นพลังยุทธ์แล้ว แม้เป็ความคิดที่ดี แต่สิ่งนี้ไม่เหมาะสม ลู่เหว่ยจุน เ้าเก็บมันเอาไว้ ยาอายุวัฒนะที่ใช้บรรลุขั้นพลังยุทธ์ และฝ่าด่านขั้นพลังยุทธ์เ้าจงเก็บรักษาไว้ให้ดี ไม่ว่าใครก็ตาม เว้นเสียแต่ว่าจะสิ้นอายุขัยแล้ว ส่วนคนอื่นๆ ก็ตั้งใจฝึกฝนบำเพ็ญเพียร หากไม่มีกะจิตกะใจก็ไปขัดเกลามันมาให้ข้า หากพลังยุทธ์ไม่พอก็ไปบำเพ็ญเพียรเข้าฌาน หากมีประสบการณ์สะสมไว้ไม่พอก็ออกไปเสาะแสวงหา ออกไปต่อสู้ ในเมื่อตระกูลลู่ของเรากำลังจะยิ่งใหญ่ขึ้น จะมาเดินอยู่บนเส้นทางเดิมๆ ต่อไปได้อย่างไร?”
“พูดได้ไม่เลว ไม่เจอกันมาสิบกว่าปี ลู่หงเซิ่ง ไม่เพียงแต่มีพลังยุทธ์เพิ่มขึ้นไปอีกขั้น แม้แต่จิตใจก็ยังดีขึ้นมากด้วย ขอแสดงความยินดีด้วยจริงๆ!” ตามมาด้วยเสียงชราที่ดังขึ้น และร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวอย่างเลือนรางขึ้นมาในศาลาเล็กๆ และคนคนนั้นก็คือลู่ไท่ชังที่กลับมาจากหุบเขาหลิงหยวนนั่นเอง
“ยินดีต้อนรับการกลับมาของท่านผู้เฒ่าสูงสุด!” เมื่อลู่เหว่ยจุนและคนอื่นๆ เห็นเขา ก็รีบลุกขึ้นทำความเคารพด้วยความแปลกใจและดีใจทันที จากนั้นก็เชิญท่านผู้เฒ่าสูงสุดให้มานั่งตรงที่นั่งหลัก
ลู่ไท่ชังโบกมือขึ้นและกล่าวว่า “เอาละ นั่งลงกันเถอะ! เมื่อครู่นี้หงเซิ่งพูดถูก ต่อให้เราจะมียาอายุวัฒนะมากเพียงใด ก็ไม่ควรนำยาเ่าั้มาใช้บรรลุขั้นพลังยุทธ์ หากทำเช่นนั้นก็ไม่ต่างจากการละทิ้งรากฐาน สนใจเพียงปลายทาง เห็นทีจะมีเพียงข้อเสีย ไร้ประโยชน์ แต่ไม่ต้องกลัวว่ามันจะมีปัญหาแล้วไม่ลงมือทำเสียดื้อๆ หากพบเจอกับอุปสรรคที่ใกล้จะถึงฝั่งฝันหรือด่านที่ยากจะฝ่าฟัน หากมียาอายุวัฒนะมาช่วยเสริม เช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการหว่านพืชอันน้อยนิด เพื่อหวังผลตอบแทนอันคุ้มค่า เื่นี้ต่อไปมอบหมายให้หงเซิ่งไปศึกษาดู หากลูกหลานในตระกูล้าใช้ยาอายุวัฒนะ ขอเพียงมีคุณสมบัติครบตรงตามข้อกำหนด ก็ให้มายื่นเื่กับเ้าเป็พอ เพื่อไม่ให้พวกเขาสูญเสียการควบคุม!”
“ขอรับ!” ลู่เหว่ยจุนและคนอื่นๆ รีบลุกขึ้นโค้งคำนับรับ และไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ท่านผู้เฒ่าสูงสุดเอ่ยสั่งการ ต่างก็คิดว่ามันสมเหตุสมผลแล้ว
“ท่านผู้เฒ่าสูงสุด ท่านออกไปครั้งนี้ได้อะไรมาบ้างหรือ? ‘หญ้าอำพราง์’ เม็ดนั้นไม่มีใครเห็นใช่หรือไม่!” ลู่เหว่ยจุนเห็นลู่ไท่ชังอารมณ์ไม่ค่อยดี จึงคิดว่าก่อนจะพูดอะไรย่อมต้องระมัดระวัง
พวกเขาทั้งหมดกำลังเฝ้าดูอยู่ และเห็นได้ชัดว่าเป็ห่วงตัวเอง ดังนั้นท่านผู้เฒ่าสูงสุดจึงจำใจพูดว่า “ได้ยาวิเศษมาไว้ในมืออย่างราบรื่นดี แต่หาคนปรุงโอสถให้ยากยิ่งนัก ข้าไปค้นหามาหกแห่งแล้ว ทั้งหมดเป็คนปรุงโอสถที่มีชื่อเสียงมายาวนาน เพียงแต่ความสำเร็จนั้นอยู่ไกลเกินเอื้อม คงไม่คุ้มหากจะเสียเวลากว่าร้อยปีเพื่อสิ่งนี้”
ผู้เฒ่ารองลู่หงชาง กล่าวว่า “ท่านผู้เฒ่าสูงสุด แต่ข้าคิดว่า แม้ว่าการปรุงยาครั้งนี้จะใช้เวลาพอสมควร แต่วัตถุดิบยาที่รวบรวมมาได้ก็ล้ำค่าอย่างยิ่ง หากค่อยๆ รวบรวม จริงๆ ก็ยังไม่แน่ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไร หากเกิด่ระยะเวลานี้เจอกับคนปรุงโอสถที่สามารถปรุงยาอายุวัฒนะนี้ได้ จะไม่เสียดายจนตายเลยหรือ? ตอนนี้คงต้องรอดูโอกาสอีกครั้ง หากกันไว้ก่อนคงดีกว่ามาตามแก้ภายหลัง”
ทันใดนั้นผู้เฒ่าสามลู่หงจีก็ตาเปล่งประกายขึ้น และถามว่า “แม้ว่าจะไม่น่าเป็ไปได้ แต่ตระกูลลู่ของเราก็มีคนปรุงโอสถขั้นห้าเช่นเดียวกัน ข้าว่าระดับความสามารถยังสูงกว่าคนจากเขาหนิงชุยเฟิงนัก ไม่ทราบว่าท่านผู้เฒ่าสูงสุดอยากจะลองถามเขาดูหรือไม่ หากตระกูลของเราสามารถปรุงยาอายุวัฒนะนี้ขึ้นมาเองได้ เช่นนั้นแล้วเหตุใดคงไม่ต้องไปขอความช่วยเหลือจากคนนอกอีก”
คนอื่นๆ ก็พลันตาเป็ประกายขึ้นมาเช่นกัน เพียงเอ่ยปากถามและลองดูคงใช้เวลาไม่นาน
ลู่ไท่ชังจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ตระกูลของเรามีคนปรุงโอสถขั้นห้าด้วยหรือ? เป็ไปได้อย่างไรกัน? หรือว่าจะเป็ลู่หงิ? แต่ข้าจำได้ว่าเขาเพิ่งเป็คนปรุงโอสถขั้นเจ็ดเท่านั้น? เพียงระยะเวลาสั้นๆ ก็กลายเป็คนปรุงโอสถขั้นห้าแล้วหรือ?”
ผู้เฒ่าสามผู้นี้ปกติเป็คนพูดน้อยยิ่งนัก แต่วันนี้กลับพูดขยายความซ้ำอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “ยังมีเื่ที่ผู้เฒ่าสูงสุดยังไม่ทราบ ลูกชายของเหว่ยจุน ลู่อวี่ ไม่รู้ไปโชคดีอะไรมา ถึงบังเอิญได้รับความโปรดปรานจากผู้าุโขั้นเทพลึกลับท่านหนึ่งและถูกรับเป็ศิษย์ ทั้งยังได้รับการถ่ายทอดวิชาปรุงยาอายุวัฒนะมาอีกด้วย ตอนนี้กลายเป็คนปรุงโอสถขั้นห้าที่หนุ่มแน่นที่สุดในเทียนตูของเราไปแล้ว แม้ว่าการปรุงยาศักดิ์สิทธิ์ชำระล้างเทียนเฟิงนั้นจะยากไม่น้อยไปกว่าการปรุงยาอายุวัฒนะขั้นสี่ แต่ก็ไม่เสียหายหากจะลองดู อย่างไรเสีย ก็เป็คนในตระกูลของเราเอง เช่นนั้นแม้ว่าจะเสียวัตถุดิบยาบางอย่างไป อย่างไรก็ย่อมคุ้มค่ากว่า ถือเสียว่าให้โอกาสลู่อวี่น้อยได้ฝึกฝนฝีมือ!”
ตระกูลลู่มีคนปรุงโอสถขั้นหาอย่างนั้นหรือ? เื่นี้ทำให้ลู่ไท่ชังอดใไม่ได้ หากตามที่เขารู้มา คนปรุงโอสถขั้นห้าที่อายุน้อยที่สุดในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรของเทียนตูในตอนนี้ คือาาโอสถเสิ่นตานเจวี๋ยของเขาหนิงชุยเฟิง ซึ่งได้เป็คนปรุงโอสถขั้นห้าเมื่อห้าร้อยปีก่อน เหตุการณ์ยามนั้นได้สั่นะเืไปทั่วทั้งเทียนตูแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะมีลูกหลานที่มีพร์และเก่งกาจกว่าาาโอสถ ยามที่เื่ราวน่าปีติยินดีมาเยือน มักจะมาอย่างกะทันหันเสียจริงๆ
ลู่เหว่ยจุนและผู้เฒ่าคนอื่นๆ รู้ว่าเื่นี้ช่างน่าใไม่น้อย แต่หากไม่ใช่เพราะพวกเขาเห็นมาเองกับตา ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางเชื่อเช่นเดียวกัน คนอื่นใช้เวลากว่าร้อยปีหรือหลายร้อยปีถึงจะประสบผลสำเร็จ แต่ลูกหลานของตัวเองใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี หรืออาจเพียงไม่กี่เดือน สิ่งนี้มันทำให้คนที่ต้องเสียเงินทองไปมากจนนับไม่ถ้วนต้องเสียใจ!
เมื่อนึกถึงตัวเองที่วิ่งไปทั่วใน่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา รวมถึงความน้อยเนื้อต่ำใจที่ได้รับ เพียงเพื่อตามหาคนปรุงโอสถขั้นห้า? แต่ตอนนี้ตระกูลลู่ของเขาเองก็มีคนปรุงโอสถขั้นห้าเช่นกัน แม้ว่าอาจจะไม่สามารถปรุงยาศักดิ์สิทธิ์ชำระล้างเทียนเฟิงออกมาได้ และอาจสูญเสียวัตถุดิบไปกับการฝึกซ้อมฝีมือ แต่เขากลับรู้สึกสบายใจ หลังจากผ่านไปได้สักพักลู่ไท่ชังถึงได้สติกลับคืนมา เมื่อเห็นลู่เหว่ยจุนและคนอื่นๆ หันมาจ้องมองตัวเองอยู่ตรงนั้น ก็อดตำหนิตัวเองด้วยความโกรธไม่ได้ “มองอะไรกันนัก! ยังไม่รีบไปเรียกเ้าเด็กคนนั้นมาอีก นั่งเหม่อลอยอะไรอยู่?”
ผู้เฒ่าหลายคนถึงกับก้มหน้างุดและไม่กล้าพูดอะไรสักคำ ทางด้านลู่เหว่ยจุนจึงรีบหยิบยันต์ศักดิ์สิทธิ์ม้วนตำราหยกออกมาทันที หลังจากนั้นก็ร่ายเวทใช้งานมัน แผ่นหยกก็กลายร่างเป็แสงศักดิ์สิทธิ์และหายวับไปทันที มาถึงจุดนี้แล้วของสิ่งนี้จะเป็ของล้ำค่าหรือไม่ นั่นไม่ใช่เื่สำคัญ เพราะอย่างไรเสียตระกูลลู่ก็เป็ตระกูลใหญ่ หากจะสิ้นเปลืองบ้างคงไม่เป็อะไร
ลู่ไท่ชัง ผู้เฒ่าสูงสุดของตระกูลลู่ เวลานี้ยังคงรู้สึกว่าใจเต้นตึกตัก สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วถามว่า “หงิเล่า เขาอยู่ที่ใด? เหตุใดเขาไม่อยู่ที่ตระกูล? ข้าจำได้ว่าเ้าเด็กนั่น นอกจากอยู่แต่ในห้องปรุงโอสถแล้ว ก็ไม่มีที่ไหนที่จะหาตัวเขาพบได้ หรือว่าเขาออกไปเปิดหูเปิดตา ออกไปท่องโลกแสวงหาความรู้แล้ว? ตระกูลลู่ของเรามีคนปรุงโอสถขั้นห้าเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าคนที่ควรมีความสุขที่สุดในตระกูลลู่จะเป็เขาหรือ!”
แม้ว่าลู่ไท่ชัง จะเหมือนกับผู้เฒ่าสูงสุดของทุกตระกูล ที่เอาแต่สนใจการบำเพ็ญเพียร และไม่สนใจเื่ราวใดๆ แต่ก็คุ้นหน้าคุ้นตากับลูกหลานในตระกูลที่มีความพิเศษไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นลู่หงิยังดำรงตำแหน่งเป็ถึงผู้เฒ่าห้าด้วย แม้ว่าคนผู้นี้จะมีความคล้ายคลึงกับท่านผู้เฒ่าสูงสุด แต่ก็ไม่สนใจอะไรเลยนอกจากปรุงยาอายุวัฒนะ
ลู่หงเซิ่งจึงหันไปกล่าวว่า “หงิตอนนี้เป็คนปรุงโอสถขั้นหกแล้วเช่นเดียวกัน เมื่อไม่กี่เดือนก่อน หลังจากที่ลู่อวี่น้อยกลายเป็คนปรุงโอสถขั้นห้าก็ไปเที่ยวเล่นในเมืองเทียนตูเซียน เพื่อเยี่ยมชมและซื้อวัตถุดิบยา แล้วก็พักอาศัยอยู่ที่นั่นต่อ หงิ เพื่อที่จะขอคำชี้แนะจากเขา จึงเดินทางไปหาพร้อมลูกหลานที่มีพร์เก่งกาจในด้านการปรุงโอสถ จนกระทั่งลู่อวี่น้อยประมูล ‘ผลิญญาหยกเขียว’ มาได้เมื่อไม่นานมานี้ ทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ขึ้น จนในที่สุดก็เปิดเผยตัวตนว่าเขาเป็คนปรุงโอสถขั้นห้า เช่นนั้นแล้วถึงได้รีบเดินทางกลับมา แต่หงิยังคงอยู่ในเมืองเทียนตูเซียนต่อไป!”
เดิมที เมื่อลู่หงเซิ่งพูดถึงลู่หงิว่าเป็คนปรุงโอสถขั้นหก น้ำเสียงก็ยังฮึกเหิมไม่น้อย แต่ใครจะรู้ว่าพูดไปพูดมา ใบหน้าของผู้เฒ่าสูงสุดกลับยิ่งบึ้งตึงมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายเขาก็ดูเหมือนจะรู้ตัว เสียงจึงแ่เบาลงเรื่อยๆ จนสุดท้าย เขาถึงได้รู้ว่าเหตุใดท่านผู้เฒ่าสูงสุดถึงทำหน้าเช่นนี้ ไม่เพียงจะรู้สึกละอายใจและขลาดเขินเท่านั้น แต่รีบก้มหน้ายอมรับความผิดแล้วพูดออกมาทันทีว่า “หงเซิ่งสำนึกผิดแล้ว!”
คนอื่นๆ อีกหลายคนรวมถึงลู่เหว่ยจุน ก็สังเกตเห็นสายตาที่คมราวกับใบมีดของท่านผู้เฒ่าสูงสุดกวาดมองมาที่พวกเขา ก็แอบเ็ปใจยิ่งนัก ตอนแรกๆ ก็ยังดีอยู่ จะหาเื่ไม่สบายใจให้ตัวเองไปด้วยเหตุใดกัน แต่ลู่หงเซิ่งได้หลุดปากพูดออกไปแล้ว พวกเขาจะทำอะไรได้ นอกจากรีบก้มหน้ายอมรับผิดเสียดีกว่า แม้ว่ายามปกติท่านผู้เฒ่าสูงสุดจะอารมณ์ดี และยิ้มแย้มอยู่เสมอ แต่โกรธเมื่อไรก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะทนรับมันได้
ดังนั้นเขาจึงรีบก้มหน้าตามลู่หงเซิ่งและกล่าวว่า “ผู้เฒ่าสูงสุดโปรดให้อภัย พวกเราสำนึกผิดแล้ว!”
“ฮึ่ม!” ลู่ไท่ชังถอนหายใจด้วยความไม่พอใจ ทำให้ทั่วทั้งห้องโถงสั่นะเืเพราะเสียงจนเศษฝุ่นละอองลอยคละคลุ้งกลางอากาศ ลู่เหว่ยจุนและคนอื่นๆ ตกตะลึงจนลมปราณและโลหิตเดือดพล่าน แต่ก็พยายามอย่างสุดความสามารถถึงยังยืนนิ่งอยู่ได้ “พวกเ้าก็ไม่ใช่เด็กๆ กันแล้ว ฝึกฝนมาอย่างน้อยก็หลายร้อยปี เื่เช่นนี้ ยังต้องให้ข้ามาอธิบายให้ฟังอีกกี่ร้อยครั้ง? ใช้ชีวิตกันมาจนปูนนี้แล้ว พวกเ้ามีชีวิตกันมาอย่างเปล่าประโยชน์หรืออย่างไร?”
แรกเริ่มเดิมทีน้ำเสียงของลู่ไท่ชังยังคงสุภาพและเยือกเย็น แต่หลังจากผ่านไปเพียงสองประโยคสั้นๆ น้ำเสียงก็พลันเข้มงวดและดุดันมากขึ้น ในตอนท้ายประโยคก็เอ่ยตำหนิด้วยน้ำเสียงเ็า จนผู้เฒ่าทั้งห้าคนของตระกูลลู่ที่อยู่เบื้องล่าง เหงื่อตกเมื่อได้ยินเช่นนี้ แต่ก็ทำได้เพียงก้มหน้าลงอย่างยอมจำนน แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกไม่เป็ธรรมอยู่บ้าง แต่ลู่อวี่ก็ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ อย่างผิดแปลกไปจริงๆ ใครจะคาดคิดว่าเด็กชายในวัยเพียงสิบเจ็ดสิบแปดปีจะเปลี่ยนจากคนเสเพล กลายมาเป็คนปรุงโอสถอย่างกะทันหันได้เช่นนี้ และใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็กลายเป็คนปรุงโอสถขั้นห้าได้ นี่มันปีศาจในปีศาจชัดๆ!