ตอนนี้เหล่าตัวเอกที่อยากเปิดตัวในวันที่ 4 เดือน 4 ล้วนอยู่ในเรือนหลัก พวกเยี่ยนเจาเจาไม่จำเป็ต้องฉกฉวยชื่อเสียงจอมปลอมนั่นจึงปลีกตัวออกมา
เยี่ยนเจาเจาคิดว่าสักวันหนานิเหอต้องโตเป็ชายหนุ่ม เขาหมกตัวอยู่ในสวนมวลบุปผาหอมคนเดียวเช่นนี้คงไม่ดีนัก เพียงแต่เห็นท่าทางเยือกเย็นและไม่ยินดีคบค้าสมาคมกับใครที่มีมาแต่เกิดของเขา นางก็ลำบากใจขึ้นมา
ขณะที่เยี่ยนเจาเจากำลังครุ่นคิด เฉินเซียงอี๋ก็นิ่งเงียบไม่เอ่ยอันใดคล้ายมีเื่ราวในใจเลยพูดน้อยลง ใบหน้าที่เคยสดใสก็มืดครึ้มลงเล็กน้อย
หนานิเหอกางร่มให้เยี่ยนเจาเจา ส่วนเฉินเซียงอี๋ไม่้าคนปรนนิบัติจึงเดินคนเดียว โดยมีเสี่ยวชุ่ยกับหญิงรับใช้ของนางเดินตามมาห่างๆ อยู่ข้างหลัง
ครู่เดียวทั้งสามก็ถึงหอเก็บดารา
ประตูหอเก็บดารามีสาวใช้เฝ้าอยู่ เมื่อสาวใช้คนนั้นเห็นผู้สูงศักดิ์เดินมาก็กุลีกุจอเลิกม่านประตูไข่มุกแล้วเชิญพวกนางเข้าไป
ตอนกลางวันมองไม่เห็นดวงดาวจึงไม่ค่อยมีคนมาที่นี่ เฉินเซียงอี๋เองก็ไม่ได้อยากมาจริงๆ พอมาถึงเลยเอ่ยด้วยสีหน้าทุกข์ระทมกับหนานิว่าตนอยากพูดคุยกับเยี่ยนเจาเจาเป็การส่วนตัวสักหน่อย อยากให้เขาไปเดิมชมรอบๆ ก่อน
สายตาหนานิเหอจับจ้องใบหน้าเยี่ยนเจาเจานิ่งๆ พอเห็นนางพยักหน้า เขาจึงหมุนตัวจากไป
เมื่อเห็นว่าเขาขึ้นไปชั้นบนแล้ว เฉินเซียงอี๋ก็จูงเยี่ยนเจาเจาไปที่ห้องส่วนตัวขนาดเล็กตรงชั้นหนึ่ง ก่อนจะทรุดตัวนั่งบนตั่งนุ่มด้วยหน้าตาหม่นหมอง
เยี่ยนเจาเจาไม่เคยเห็นท่าทีเช่นนี้ของเฉินเซียงอี๋มาก่อน เลยรีบซักถามทันที “นี่มันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดไม่เจอกันครึ่งปีเ้าซึมเยี่ยงนี้เล่า?”
เฉินเซียงอี๋โอดครวญด้วยความเ็ป “ญาติผู้พี่มาที่บ้านข้า แล้วบอกว่าจะไปมาหาสู่กับข้า”
่นี้ในชาติก่อน เฉินเซียงอี๋กับเยี่ยนเจาเจามีความสัมพันธ์ไม่ดีต่อกันสักเท่าไหร่ แต่ชาตินี้เจาเจายอมจำนนก่อน และทั้งสองยังมีความผูกพันกันมาจากอดีต จึงสนิทสนมขึ้นในพริบตา
แม้ว่าชาติก่อนเฉินเอ้อร์จะไม่เคยเอ่ยถึงเื่นี้ ทว่าเยี่ยนเจาเจารู้จักบุคคลสำคัญผู้นี้ดี ญาติผู้พี่คนนี้จะเป็สามีในอนาคตของเฉินเซียงอี๋ ทั้งยังรักกันมากด้วย หากจำไม่ผิด เขาคือคุณชายเล็กของสกุลกู้จากซั่งจิง
“เขามาเที่ยวกับเ้าหรือ?”
เยี่ยนเจาเจาย่อมบอกไม่ได้ว่าคนผู้นี้คือสามีในอนาคตของนาง แต่พอเห็นเฉินเซียงอี๋แสดงความเ็ปรวดร้าวบนใบหน้าเลยอยากหัวเราะขึ้นมานิดหน่อย
“หากแค่มาเที่ยวคงไม่มีอะไร แต่ท่านแม่บอกว่าเขาอยากมาเรียนเพิ่มเติมที่สถาบันศึกษาขั้นสูงในเมืองเซียงเฉิง เมื่อเข้าสู่วสันตฤดูปีหน้าก็จะให้เขาเข้าสถาบันศึกษาขั้นสูงกับข้า”
สถาบันศึกษาขั้นสูง...
ถือเป็สถานที่เรียนรู้ที่ดีจริงๆ ชาติก่อนเยี่ยนเจาเจาก็เข้าเรียนพร้อมเฉินเซียงอี๋ และคบหากับเหลียงอินั้แ่เล็กที่สถาบันศึกษาขั้นสูงเช่นกัน
ในราชวงศ์ต้าซีนี้ แม้นชายหญิงยังมีบรรทัดฐานทางเพศอยู่ ทว่าสตรีจะมีสถานะค่อนข้างสูงกว่าก่อนอยู่มาก ก่อนหน้าก็เคยมีฮองเฮาปกครองแว่นแคว้นมาแล้วหลายพระองค์ และสตรียังสามารถปรากฏตัวในวงสังคมเหมือนบุรุษได้อีกด้วย
โดยเฉพาะตอนนี้ที่ฮองเฮาเหลียงฮุ่ยหรือพระเ้าฮุ่ยตี้[1] ทรงทุ่มเทสร้างแคว้นให้เจริญรุ่งเรือง ประกอบกับองค์หญิงฉงหยางองอาจห้าวหาญเก่งกาจการรบ ตอนนี้เลยได้ยินว่ากระทั่งการสอบเคอจวี่ก็ค่อยๆ กำหนดรูปแบบสำหรับขุนนางหญิงแล้ว
ซ่งฝูจินที่เคยปรนนิบัติท่านป้าอ่านหนังสือคนนั้นก็เป็หนึ่งในตัวทดลองนำร่อง หากแรงคัดค้านน้อย คาดว่าไม่ถึงสองปีคงจะเปิดการสอบขุนนางสำหรับสตรีเหมือนชาติก่อน
“ไปสถาบันศึกษาขั้นสูงด้วยกันก็ไม่ใช่เื่ใหญ่โตอันใด หากเ้ารู้สึกเบื่อ ข้าไปเรียนกับเ้าด้วยก็ได้”
เยี่ยนเจาเจาลูบมวยผมของเฉินเซียงอี๋เหมือนลูบหัวน้องสาว ทั้งยังหยิบขนมหวานอร่อยๆ ออกมาปลอบนาง
คาดไม่ถึงว่านางจะห่อเหี่ยวหนักกว่าเดิม แม้แต่ขนมยัดไส้เนื้อหย็องของโปรดยังเรียกรอยยิ้มจากนางไม่ได้
เฉินเซียงอี๋กุมแก้มนุ่มนิ่มตนเองอย่างหดหู่พลางกล่าวต่อ “เ้าไม่รู้จักญาติผู้พี่คนนั้นของข้า เขาน่ากลัวมากเลย”
ชาติที่แล้วเยี่ยนเจาเจาไม่เคยพบพานคุณชายเล็กสกุลกู้ เพราะภายหลังเฉินเซียงอี๋แต่งงานออกไปไกลถึงซั่งจิง แต่เื่ราวน่าสนใจระหว่างสามีภรรยาคู่นี้กลับแพร่สะพัดในวงกว้าง กระทั่งนางยังได้ยินว่าเขาเป็คนกลัวเมียเข้าขั้น
ยามนี้เมื่อได้ฟังเฉินเซียงอี๋ร้องเรียนคุณชายเล็กสกุลกู้ นางเลยอดขำในใจไม่ได้ แต่เฉินเซียงอี๋ก็รู้ทัน
“เยี่ยนเจาเจา เ้ามันคนใจร้าย ข้าอุตส่าห์ตั้งใจเล่าเื่ของข้าให้เ้าฟัง แต่เ้ากลับหัวเราะข้า! ต่อไปข้าไม่เล่นกับเ้าแล้ว!”
เฉินเซียงอี๋ขู่เยี่ยนเจาเจาด้วยเสียงอ่อนแรง ทั้งยังทิ้งตัวมาทางเจาเจาราวกับไม่มีกระดูก “ข้ารู้สึกว่าข้ากำลังจะตาย”
เยี่ยนเจาเจาผลักนางสองที ก่อนฉีกขนมไส้เนื้อหย็องยัดเข้าปากนาง “ญาติผู้พี่เ้าคนนั้นเป็ใครกันแน่ ถึงทำให้เฉินเอ้อร์ผู้ไม่กลัวฟ้าดินของพวกเราหวาดกลัวขนาดนี้”
“เขาเป็คนหลอกลวงอันดับหนึ่ง! ข้าบอกเ้าเลยนะ เขาหน้าคล้ายจางเฟย[2] ดวงตาถลนดุร้าย ปากอ้ากว้างเหมือนสัตว์ป่า อารมณ์ร้อนจนผมตั้งชัน น่ากลัวที่สุดเลย!”
เฉินเซียงอี๋พูดรัวเร็วไม่หยุดจนเอ่ยจบในอึดใจเดียว ทั้งยังทำสีหน้าหวาดหวั่นด้วย
เยี่ยนเจาเจาที่กำลังดื่มน้ำถึงกับสำลักคำพูดของนาง “อะไรนะ?”
“เป็ชายหยาบกระด้างที่อัปลักษณ์หาใครเทียบ!”
เฉินเซียงอี๋กุมหน้าร้องโหยหวน ก่อนจะได้ยินเสียงกระแอมเบาๆ ดังมาจากห้องถัดไป แล้วม่านประตูก็ยกขึ้นจนเผยให้เห็นเด็กหนุ่มอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปีคนหนึ่งที่ยืนพิงประตูอยู่
“คาดไม่ถึงว่าข้าจะมีลักษณะแบบนั้นในใจญาติผู้น้อง”
ใบหน้าประดุจหยกเนื้อดี รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาดีโดยธรรมชาติ ทั้งยังแฝงความทรงพลังองอาจที่ผู้เยาว์ในเมืองเซียงเฉิงไม่มี โดยเฉพาะดวงตาราวดอกท้อแต้มรอยยิ้มคู่นั้น และยังมีไฝสีแดงเืตรงหางตาของเขาที่ช่วยขับไฝเ้าแม่กวนอิมสีชาดตรงกลางหว่างคิ้วของเฉินเซียงอี๋ให้โดดเด่นยิ่งขึ้น
“ข้าน้อยกู้เจี้ยน นามรองชิงซานขอรับ”
ทุกอารมณ์ความรู้สึกบนหน้าเฉินเซียงอี๋แข็งค้าง
รอยยิ้มบนดวงหน้าเยี่ยนเจาเจาก็ชะงักตามเช่นกัน
ขนมยัดไส้ชิ้นเล็กในปากเฉินเซียงอี๋พลันติดคอขึ้นมา กว่าจะรู้สึกตัว นางก็ไอค่อกแค่กอย่างหนักแล้ว
“ค่อยๆ เคี้ยวสิ เ้าลนลานอะไร”
กู้เจี้ยนรีบเข้ามาทันที เขาก้าวพรวดเดียวก็โอบเฉินเอ้อร์ไว้ในอ้อมแขน ทั้งยังไม่ถือสาขนมยัดไส้ในปากของเฉินเอ้อร์ กลับล้วงมันออกมาทีละนิดๆ ให้นางคายลงบนมือของเขา และหยิบน้ำมาให้นางดื่มต่อ
จู่ๆ เยี่ยนเจาเจาก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมา
ประจวบเหมาะกับที่หนานิเหอมาพอดี เมื่อเยี่ยนเจาเจาสังเกตเห็นว่าใบหน้าเฉินเอ้อร์ไม่ได้ต่อต้านขนาดนั้น จึงลอบยิ้มแล้วเดินออกไป
ชาติก่อนพวกเขาเป็คู่ครองกัน ชาตินี้ก็คงเหมือนกัน
เยี่ยนเจาเจาเดินอมยิ้มออกมา หนานิเหอก็เข้ามาจูงมือนาง พลางยกยิ้มจางๆ ที่มุมปากคล้ายกำลังถามว่านางยิ้มทำไม
เขาอ่อนโยนเช่นนี้เสมอยามอยู่ต่อหน้าเยี่ยนเจาเจา ราวกับว่าแม้กาลเวลาคล้อยผ่าน หรือโลกแปรเปลี่ยนพลิกผันจนต้องเผชิญอุปสรรคเพียงใด เขาก็ไม่เคยเ็ากับนางสักนิดเดียว
ไม่รู้ว่าเพราะเมื่อครู่เห็นกู้เจี้ยนกับเฉินเอ้อร์พูดคุยกันหรือเปล่า เยี่ยนเจาเจาถึงได้รู้สึกเ็ปใจขึ้นมากะทันหัน
หากพี่ชายรองของนางพูดได้ เขาก็คงไม่ต้องอยู่คนเดียวเงียบๆ เช่นนี้ใช่ไหม?
เยี่ยนเจาเจานึกถึงเื่ที่เคยคิดก่อนหน้านี้ว่าจะหาหมอมารักษาหนานิเหอ จึงดึงเขาไปสถานที่ลับตาคนก่อนเอ่ยถาม “พี่ชายรอง ท่านเคยไปหาหมอไหมเ้าคะ?”
นางกลัวทำร้ายความภาคภูมิใจของเด็กหนุ่มเลยปรับคำพูดให้อ่อนลง พลางชี้มือไปที่ลำคอของตนเองอย่างระมัดระวังยิ่งขึ้น
เชิงอรรถ
[1] ตี้ หมายถึง จักรพรรดิ
[2] จางเฟย หมายถึง ชื่อเรียกภาษาจีนกลางของเตียวหุย ซึ่งเป็ตัวละครในเื่สามก๊ก