เซียวจิ่นขบฟันแน่น กล่าวว่า“ดูไม่ออกว่าแม่นางน้อยเช่นเ้าจะหยาบคายเช่นนี้”
ซินหรูถามเสียงอ่อย “ฝ่าาจะทรงลงทัณฑ์หม่อมฉันหรือไม่เพคะ?”
เซียวจิ่นกล่าว “ในเมื่อเ้าเป็เด็กถือล่วมยาของชิงเวยเจิ้นไม่ลงโทษเ้า”
หลังจากซินหรูทำงานแล้วเสร็จ ร่างกายของเซียวจิ่นเต็มไปด้วยเหงื่อบางๆชั้นหนึ่งซินหรูเช็ดตัวให้เขาหนึ่งรอบแล้วช่วยสวมอาภรณ์และให้เขานอนพักอยู่บนเตียง
กระดูกทั่วทั้งร่างล้วนส่งเสียงไม่ยินดีทว่าปลอดโปร่งโล่งสบายจริงๆ...นี่เป็ความคิดที่อยู่ในสมองของเซียวจิ่นความรู้สึกที่ปล่อยให้สมองว่างเปล่า เป็ความอิสระและผ่อนคลายอย่างแท้จริง
“ขอบคุณเ้า” เซียวจิ่นกล่าว
ซินหรูได้ความปิติเสียจนตื่นตระหนก เซียวจิ่นสุภาพเรียบร้อยมีมารยาทอย่างยิ่งอีกทั้งยังไม่วางท่าของฮ่องเต้ นางอดที่จะรู้สึกดีกับเขาไม่ได้ “ฝ่าาไม่ต้องตรัสขอบคุณเพคะเื่เหล่านี้ล้วนเป็สิ่งที่หม่อมฉันควรทำ”
เซียวจิ่นนอนอยู่บนเตียงตลอด่เช้า ไม่มีกะจิตกะใจจะสะสางราชกิจ
ด้านนอกตำหนักบรรทมเกิดความวุ่นวายเล็กน้อยเขาได้ยินเสียงหลินชิงเวยพูดอยู่ด้านนอก “ขัดพื้นไม้ด้านนี้ให้เรียบลื่นกว่านี้สักหน่อย”
ยามอู่ ถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้ว
โต๊ะเสวยถูกยกเข้าไปในตำหนักบรรทมไม่แตกต่างจากเมื่อวานแต่กลางโต๊ะกลมกลับมีไม้กระดานความสูงประมาณหนึ่งฉื่อวางอยู่ตรงกลางต่อมามีโต๊ะทรงกลมอีกตัวหนึ่งถูกยกเข้ามาวางลงไปโต๊ะนี้มีขนาดเล็กกว่าหน้าโต๊ะเดิมเล็กน้อยมันถูกวางลงบนไม้กระดานแผ่นนั้น
หลินชิงเวยยุ่งวุ่นวายกับเื่นี้ตลอดเช้า บัดนี้นางยกมือเท้าสะเอวถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่งอยู่ข้างโต๊ะนางมองเซียวจิ่นด้วยสายตาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ประหลาดใจหรือไม่เพคะมีโต๊ะนี้แล้วพระองค์จะเสวยพระกระยาหารทั้งหมดที่อยู่บนโต๊ะได้ตามแต่พระทัยเพคะ”พูดแล้วก็ยื่นมือขาวๆ นั้นออกมากดลงบนผิวโต๊ะชั้นบน แล้วออกแรงหมุนเบาๆต่อมาแผ่นไม้บนโต๊ะนั้นเริ่มหมุนขึ้นมา
เซียวจิ่นเห็นแล้วตกตะลึงในคราแรกต่อมาจึงหัวเราะขึ้นมาด้วยเสียงอันอบอุ่นอ่อนโยนรอยยิ้มนั้นทำให้ตำหนักบรรทมทั้งตำหนักพลันสว่างไสวเจิดจ้าขึ้นราวกับวสันตฤดูซินหรูถึงกับโง่งม ยืนทึ่มทื่อมองอยู่ที่นั่น
หลินชิงเวยยื่นมือไปดีดนิ้วเบื้องหน้าซินหรูครั้งหนึ่งซินหรูได้สติกลับมา
ต่อมาอาหารกลางวันถูกลำเลียงขึ้นมาจัดวางบนโต๊ะที่ตระเตรียมไว้อย่างดีหลินชิงเวยเข้ามาอุ้มเซียวจิ่นจากบนเตียงแล้ววางเขาลงบนเก้าอี้รถเข็น เข็นเขามาที่โต๊ะเสวยเขายื่นมือมากดบนผิวโต๊ะตัวนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นเช่นกันโต๊ะตัวนั้นทั้งเบาและเคลื่อนไหวไหลลื่นดียิ่ง
เซียวจิ่นอดที่จะกล่าวทั้งหัวเราะไม่ได้ว่า “ชิงเวยเ้าคิดถึงสิ่งนี้ได้อย่างไรกัน?”
หลินชิงเวยกล่าว “ไม่ใช่หม่อมฉันคิดถึงเพคะทุกอย่างล้วนเพื่อการกินทั้งสิ้น อย่างไรก็ต้องมีคนคิดเื่นี้ออกมาเพคะ”
อย่างไรเซียวจิ่นย่อมไม่ต้องกินแต่อาหารที่อยู่ตรงหน้าเขาเท่านั้นอีกต่อไป
ก่อนเสวยหลินชิงเวยกล่าวขึ้นอีกว่า“วันนี้เสด็จอาจะมาร่วมเสวยอาหารกลางวันหรือไม่เพคะ?ต้องรอให้เขามากินพร้อมกันหรือไม่เพคะ?”
เซียวจิ่นยิ้มบางๆ “ไม่ต้องรอแล้ว ในสองวันนี้เสด็จอาล้วนไม่มาที่นี่”
ต่อมาหลินชิงเวยไม่ได้ถามอะไรอีกเซียวจิ่นดูเหมือนได้ยินเสียงกลืนน้ำลายของใครบางคนเข้าจึงเงยหน้าขึ้นมองซินหรูที่ยืนอยู่ด้านข้าง “เ้าก็เข้ามานั่งเถิด”
คนทั้งสามกินอาหารอย่างเงียบๆ เซียวจิ่นหมุนโต๊ะตัวนั้นเป็พักๆไม่รู้ว่าเป็เพราะเขา้ากินอาหารที่อยู่ด้านนั้นจริงๆหรือเพียงแค่รู้สึกว่าการหมุนโต๊ะตัวนี้เป็เื่แปลกใหม่ราวกับเขา้าหาใครสักคนมาพูดคุยด้วย จึงกล่าวขึ้นเหมือนเป็เื่ปกติธรรมดาว่า“คดีของหลายวันก่อนได้ข้อสรุปแล้ว เสนบดีกรมกลาโหมกู้ซื่อซ่องสุมกำลังทหารรวบรวมทหารนับหมื่นในอวิ๋นหนานและยังไม่รู้ว่าไปที่ใด”
หลินชิงเวยตื่นตะลึง “ฝ่าาหมายความว่าเขากำลังรวบรวมกำลังทหารแทนผู้อื่นหรือเพคะ?”
นาทีนั้นบนใบหน้าวัยเยาว์ของเซียวจิ่นพลันปรากฏความขุ่นมัวจางๆชนิดหนึ่งออกมาแต่สีหน้าท่าทางนั้นปรากฏบนใบหน้าของเขาเพียงชั่วครู่ก็ถูกเขาปิดบังอำพรางอย่างดีเขากล่าวว่า “น่าจะเป็เช่นนั้นกระมังกู้ซื่อยอมตายก็ไม่ยอมพูดชื่อคนที่อยู่เื้ัออกมา บอกเพียงว่าเขาถูกปรักปรำแต่หลักฐานมัดตัวแ่าต่อให้เขาบอกว่าเขาถูกใส่ความเสด็จอาได้ตัดสินโทษของเขาไปแล้ว”
หลินชิงเวยกล่าว “ตัดสินโทษสถานใดเพคะ?”
“กู้ซื่อคิดคดทรยศ ย่อมต้องตัดสินด้วยโทษปะาชีวิตเก้าชั่วโคตร”เซียวจิ่นพูดอย่างสงบ เขามองหลินชิงเวย “ปะาพรุ่งนี้ยามอู่สามเค่อ”
ยามบ่ายน้ำสมุนไพรได้ต้มเรียบร้อยแล้ว ถังอาบน้ำขนาดใหญ่ใบหนึ่งถูกขนย้ายเข้ามาในตำหนักบรรทมเทน้ำสมุนไพรสีเขียวลงไปกลิ่นของสมุนไพรลอยเข้ามาปะทะจมูกทันที
เซียวจิ่นถูกโยนลงไปในถังอาบน้ำ แช่น้ำสมุนไพรสองชั่วยาม กระทั่งเวลาใกล้พลบค่ำจึงออกมาจากถังอาบน้ำไอน้ำร้อนทำให้ใบหน้าของเขาแดงเรื่อเล็กน้อย สีหน้าท่าทางดูผ่องใสขึ้นมาก
หลินชิงเวยถาม “ฝ่าาทรงรู้สึกอย่างไรบ้างเพคะ?”
เซียวจิ่นหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง “ผ่อนคลายกว่าเมื่อก่อนมาก”
ต่อมาเซียวเยี่ยนมาถึงตำหนักซวี่ยางในเวลากลางคืน มีเซียวเยี่ยนอยู่งานที่เหลือจึงไม่จำเป็ต้องให้หลินชิงเวยและซินหรูต้องกังวลดังนั้นคนทั้งสองจึงออกมาจากที่นั่น
ประตูตำหนักหนักอึ้งนั้นปิดลงกลายเป็ความมืดมิด
หลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนได้พบกันระหว่างประตูตำหนักคนทั้งสองต่างไม่ได้พูดจาราวกับเป็คนแปลกหน้าสองคน
เซียวเยี่ยนงานยุ่งมาหลายวัน ความเหนื่อยล้าอิดโรยปรากฏขึ้นที่หว่างคิ้วของเขาสีหน้าท่าทางเ็าคล้ายราตรียามรัตติกาลนี้ทางเส้นนี้ทั้งสองข้างทางมีดอกไห่ถังที่ยื่นออกมากิ่งของมันโน้มลงมาด้วยน้ำหนักของมัน ท่ามกลางแสงสว่างภายใต้โคมไฟภายในวังหลวง เป็ทัศนียภาพงดงามที่มิอาจมองผ่านเซียวเยี่ยนเดินผ่านใต้ต้นไม้เ่าั้สีแดงของดอกไห่ถังทำให้ร่างอันเยือกเย็นของเขาเพิ่มความชวนมองขึ้นอีก
เขาไม่มีอารมณ์จะหยุดเดินแล้วหันมาทักทายหรือสาดวาจาเ็าสักประโยคสองประโยคกับนาง
ส่วนหลิงชิงเวยนั้นงดงามประดุจดอกไห่ถังและยากที่จะเข้าใกล้
นางพาซินหรูเดินสวนทางกับร่างของเซียวเยี่ยนไปเงียบๆฝีเท้าของเซียวเยี่ยนไม่หยุด แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาเห็นหลินชิงเวยเป็อากาศธาตุเขาตวัดหางตามองนางเรียบๆ แวบหนึ่ง
เดินออกมาไกลสักหน่อยแล้ว ซินหรูจึงถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า“เมื่อสักครู่เป็เซ่อเจิ้งอ๋องนี่นา เหตุใดพี่สาวจึงไม่กล่าวทักทายเขาล่ะเ้าคะ?”
หลินชิงเวย “เ้าช่างสังเกตเหมือนกันนี่เมื่อกลางวันไม่ได้ยินฝ่าาบอกหรือไรว่าเซ่อเจิ้งอ๋องยุ่งเื่คดี เซ่อเจิ้งอ๋องเป็ผู้ตัดสินโทษปะาเก้าชั่วโคตรบนร่างของเขาเต็มไปด้วยรังสีสังหาร จะมีเวลามาพูดจากับพวกเราหรือไร?”
“อ้อ...” ซินหรูคล้ายเข้าใจคล้ายไม่เข้าใจ
คิดไม่ถึงว่าเมื่อหลินชิงเวยไปถึงตำหนักซวี่หยางในวันรุ่งขึ้นมีคนจำนวนไม่น้อยคุกเข่าอยู่หน้าประตูตำหนักเมื่อพิศดูเครื่องแต่งกายของพวกเขาแล้วล้วนสวมชุดขุนนางของราชสำนักเป็ขุนนางในราชสำนักอย่างไม่ต้องสงสัยหลินชิงเวยเดินผ่านไปได้ยินพวกเขากล่าวเสียงดังว่า“ใต้เท้าเซี่ยเป็ขุนนางซื่อสัตย์จงรักภักดี เขาถูกใส่ร้ายป้ายสีพวกกระหม่อมขอฝ่าาละเว้นโทษตายให้กับเขา ตรวจสอบเื่นี้ให้ชัดเจนคืนความยุติธรรมให้กับใต้เท้าเซี่ยพะยะค่ะ!”
นี่เป็ครั้งแรกที่หลินชิงเวยได้พบกับขุนนางของราชสำนักฝ่ายหน้าล้วนเป็ผู้ที่มีอายุาุโแล้วทั้งสิ้น อายุราวๆ สามสี่สิบปีนี่ไม่ใช่เื่ผิดแปลกอันใดขึ้นมาเป็ผู้นำของแผ่นดินได้ย่อมต้องมีความรู้และประสบการณ์จึงจะใช้ได้
ทว่าดูท่าทีแล้ว เสนาบดีกรมกลาโหมผู้แซ่เซี่ยผู้นั้นมีคนในราชสำนักสนับสนุนอยู่ไม่น้อย ถึงกับมีคนมากมายเช่นนี้มาขอความเมตตาแทนเขาขณะหลินชิงเวยเดินผ่านได้หยุดฝีเท้าครู่หนึ่งเพื่อหันไปมองสีหน้าท่าทางบนใบหน้าของขุนนางเ่าั้ความวิตกกังวล ร้อนใจ แววตาล้วนเป็ความจริง ไม่เหมือนโกหกหลอกลวง เห็นได้ว่าเสนาบดีกรมกลาโหมสกุลเซี่ยผู้นี้มีชื่อเสียงในทางดียิ่งยวด
เห็นได้จากจุดนี้ เมื่อวานขณะที่เซียวจิ่นเอ่ยถึงเื่นี้เหตุใดใบหน้าของเขาจึงปรากฏสีหน้าท่าทางเช่นนั้น อาจเป็เพราะผิดหวังเขาคิดว่าเขาเชื่อคนผิด
เพียงแต่เื่ราวเหล่านี้ล้วนเป็เื่ราวของฝ่ายหน้านางเป็คนของตำหนักในคนหนึ่งไม่มีสิทธิ์ที่จะก้าวก่ายดังนั้นนางจึงรีบเดินผ่านพวกเขาเข้าประตูตำหนักไป
สีหน้าของเซียวจิ่นไม่ดีนักเมื่อหลินชิงเวยเข้าไปถึงดูเหมือนเขากำลังมีโทสะ บนพื้นเต็มไปด้วยหนังสือและถ้วยชาฝาน้ำชาที่กระจัดกระจาย
เขาหันกลับมาเห็นหลินชิงเวยจึงไม่อาจไม่พยายามควบคุมสีหน้าโกรธเกรี้ยวนั้นแล้วหันมาคลี่ยิ้มบางๆ “ชิงเวยเ้ามาแล้ว”