ไหวตงคลานเข่าไปโขกหัวลงพื้นสามครั้งต่อหน้าต้วนเสี่ยวโหลวและเหอตังกุยด้วยสีหน้าหวาดกลัวผิดปกติ พลางร้องะโและร้องไห้อย่างหนัก “โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย โปรดไว้ชีวิตข้าเถิด แม้ข้าจะเอาจี้ทองไป แต่ข้ามิใช่คนวางเพลิงแน่นอน ใต้เท้าโปรดตัดสินอย่างเป็ธรรม ข้าใส่จี้ทองไว้ในถุงเสื้อตลอด ไม่เคยเอาออกมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว จะนำขี้เถ้ามาวาดบนกำแพงได้เยี่ยงไร?”
เหอตังกุยยิ้มเยาะในใจ แน่นอนว่าเ้าไม่เคยวาดมัน เพราะข้าเป็ผู้แกะสลักหัวไชเท้าแล้วขอให้ต้วนเสี่ยวโหลวกับพวกวาดลงบนกำแพงตามลวดลายที่สลักไว้ ไหวตงหนอไหวตง ชาติที่แล้วข้าถูกเ้าวางแผนชั่วทำร้าย ชาตินี้ข้าก็ยังถูกเ้าเล่นกลอุบายอีก ข้ากับเ้าช่างมีวาสนาต่อกันเสียจริง
ต้วนเสี่ยวโหลวขมวดคิ้วมองใบหน้าหวาดกลัวของไหวตงที่ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เขาอดกลั้นไม่ได้จึงเอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึม “เื่สืบหาคนวางเพลิงค่อยเป็ค่อยไปก็ได้ แต่เื่ขโมยของนั้นหลักฐานชัดเจน ในราชสำนักระบุโทษสูงสุดของคดีลักขโมยคือเนรเทศสามร้อยลี้ เ้าเป็สตรี อีกทั้งยังเป็นักบวช หากคุณหนูเหออภัยให้ โทษอาจเบาลงได้ตามที่เ้าสารภาพผิด ดีหรือไม่”
ดวงตาของไหวตงทอประกายระยิบระยับราวกับได้จับฟางช่วยชีวิตเส้นหนึ่งท่ามกลางมหาสมุทร นางคลานเข่าเข้าไปกอดขาแล้วคว้ามือของเหอตังกุยเขย่าไปมาพลางเอ่ย “คุณหนูเหอ น้องเหอ ได้โปรดให้อภัยข้าเถอะ ข้ามิได้ตั้งใจ ข้าลำบากและ้าเงิน จึงขโมยจี้ทองของเ้า... ข้าความรู้น้อยนัก นึกว่าจี้ทองหนักไม่กี่สลึงนี้ มากที่สุดก็ขายได้ยี่สิบสามสิบตำลึง คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีค่าเพียงนี้ มิเช่นนั้นข้าคงไม่กล้าขโมย”
สีหน้าของเหอตังกุยพลันเปลี่ยนไปในทันที นางเอื้อมจับชีพจรบนข้อมือของไหวตงที่กำลังสิ้นไร้สติ หยาดน้ำตานองหน้าและมองมาที่นางด้วยสายตาคาดหวัง
เหอตังกุยปล่อยมือพลางหรี่ตา นางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเหลือบมองไหวตง เอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงเบาที่สุด “สองเดือนแล้วหรือ? เ้าจะ...เก็บเขาไว้หรือไม่? จะเลี้ยงเขาจนเติบใหญ่หรือไม่? สัญญาได้หรือไม่ ไม่ว่าเป็หญิงหรือชาย เ้าจะเลี้ยงดูจนกว่าเขาจะเติบใหญ่?”
ไหวตงประหลาดใจยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าเพียงนางแตะข้อมือก็สามารถล่วงรู้ความลับของตนได้
“ตอบข้ามา” เหอตังกุยเร่งรัด ทว่าไหวตงกลับอ้ำอึ้ง
แม่ชีที่คุกเข่าอยู่ห่าง ๆ มองพวกนางด้วยความประหลาดใจ กระซิบกระซาบอะไรกัน? ต้วนเสี่ยวโหลวและลู่เจียงเป่ยอยู่ใกล้พวกนางที่สุด จึงได้ยินคำพูดและเดาความหมายของนางออกทั้งหมด
เหอตังกุยเอ่ยถามอย่างไม่ลดละด้วยเสียงแ่เบา “ตอบข้ามา”
ไหวตงจับมือเหอตังกุยแน่นทั้งน้ำตา พลางเอ่ยขอร้องเสียงแ่ “คุณหนูเหอ อย่านำเื่นี้ไปบอกผู้ใด มิเช่นนั้นข้าจะอาศัยอยู่ที่นี่ไม่ได้อีก หากมิใช่เพราะข้าอับจนหนทาง คงไม่กล้าขโมยของในห้องเ้า แต่เพราะบิดาที่น่าผิดหวังของลูกในท้องข้า ทำให้ข้าต้องทำเื่น่าละอายเช่นนี้...”
เหอตังกุยเอ่ยแทรกเสียงเบา “บอกข้ามา ไม่ว่าเขาจะเป็ชายหรือหญิง ไม่ว่าจะมีบิดาหรือไม่ เ้าจะไม่เอาเขาออกและจะเลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่ใช่หรือไม่?”
ไหวตงตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงถามคำถามเช่นนี้ ทำได้เพียงพยักหน้าเอ่ยเสียงเบา “แน่นอนอยู่แล้ว แม่ที่ไหนจะไม่อยากเลี้ยงลูกตัวเอง ข้าขโมยของก็เพื่อเก็บเป็เงินใช้จ่ายยามลูกข้าลืมตาดูโลก คุณหนูเหอ ข้าขอร้องเ้า...”
เหอตังกุยถอนหายใจเบา ๆ ด้วยความโล่งอก ก่อนจะหลุดจากมือซ้ายของไหวตงที่จับมือนางไว้แน่น
เหอตังกุยหันมองต้วนเสี่ยวโหลวครู่หนึ่ง พลางเอ่ยด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “ใต้เท้าต้วน จี้ทองก็ได้คืนแล้ว ข้าไม่อยากนำเื่นี้ไปรายงานต่อศาล จบคดีเพียงเท่านี้เถิดเ้าค่ะ เื่วางเพลิงก็ถือเป็อุบัติเหตุ ไม่มีผู้ใดเสียชีวิต ได้โปรดตัดสินตามสถานการณ์จริงเถอะเ้าค่ะ วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว ขอตัวก่อนเ้าค่ะ” นางกล่าวจบก็นำจี้ทองเก็บไว้อย่างดี ก่อนจะเดินผ่านซากไหม้เกรียมของห้องครัวมุ่งหน้าไปยังห้องปีกซ้ายฝั่งตะวันออก
ต้วนเสี่ยวโหลวมองแผ่นหลังชุดสีชมพูอย่างละเอียดด้วยความรู้สึกอธิบายไม่ได้ ราวกับมีหน้ากากมากมายบดบังใบหน้าที่แท้จริงของเด็กสาวผู้นั้น ทุก ๆ หน้ากากทำให้เขาอยากใกล้ชิดนาง อยากรู้จักนางมากขึ้น นางทำให้เขาคาดเดาอยู่ในใจว่าใบหน้าที่แท้จริงภายใต้หน้ากากนั้นเป็เช่นไรแน่?
ลู่เจียงเป่ยมองซากปรักหักพังของห้องครัวพลางถอนหายใจยาวเหยียด
เช้าตรู่วันนี้ ในที่สุดเขาและเกาเจวี๋ยก็ขจัดพิษยาปลุกกำหนัดได้ด้วยวิธีการนอนแช่ยาสมุนไพรตามที่เหอตังกุยเขียนในใบสั่งยา เมื่อผ่านการแช่ยาสมุนไพรหนึ่งคืน ขาของลู่เจียงเป่ยและเกาเจวี๋ยก็รู้สึกอ่อนแรง จึงหยุดพักจนถึงยามพลบค่ำค่อยเดินขึ้นเขา เมื่อเข้ามาในประตูอารามก็ถูกเสี่ยวต้วนและเสี่ยวเลี่ยวลากไปด้านข้างทันที เขาบอกว่าตอนบ่ายที่นี่เกิดเื่ใหญ่ มีขโมยขึ้นห้องคุณหนู จี้ทองที่มารดาให้หายไป ตอนนี้นางร้อนใจยิ่งนัก เสี่ยวต้วนและเสี่ยวเลี่ยวคิดหาทางนำจี้ทองกลับคืน จึงถามพวกเขาว่าจะร่วมมือช่วยเหลือหรือไม่ ลู่เจียงเป่ยยอมให้ความร่วมมือแน่นอน แต่สิ่งที่ทำให้เขาใคือเกาเจวี๋ยผู้ไม่เคยยุ่งเื่ของคนอื่นกลับยอมตกลงรับปากช่วยเหลือ
เสี่ยวต้วนและเสี่ยวเลี่ยวมีสีหน้าประหลาดใจราวเห็นฝนสีแดงตกจากฟากฟ้าก็ไม่ปาน เมื่อครู่ที่พวกเขาถามเกาเจวี๋ยว่าจะไปหรือไม่ถือเป็การถามไปเท่านั้น มิได้คาดหวังอันใด... เพราะรู้ว่าคนอย่างเกาเจวี๋ยไม่มีทางและไม่มีเหตุผลใดที่จะทำให้เขาไปอย่างแน่นอน นอกจากนี้ “การดำเนินภารกิจตามหาจี้ทอง” จะเริ่มขึ้นคืนนี้ เกาเจวี๋ยผู้รักการนอนเท่าชีวิต มีหรือจะยอมสูญเสียเวลานอนอันมีค่าเพื่อช่วยคุณหนูเหอตามหาของ? ต้วนเสี่ยวโหลวรีบเอ่ยถามเกาเจวี๋ยอย่างเคร่งเครียดว่าเหตุใดจึงยอมร่วมมือช่วยเหลือ มีเจตนาเป็อื่นกับคุณหนูเหอหรือไม่ สิ้นคำถาม...คางของต้วนเสี่ยวโหลวก็ได้ลิ้มรสหมัดซ้ายของเกาเจวี๋ยทันที
ลู่เจียงเป่ยเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน ยากจะจินตนาการว่าผู้อยู่เื้ัแผนการ “ตามหาจี้ทอง” นี้จะเป็เพียงเด็กสาวยังไม่บรรลุนิติภาวะผู้หนึ่ง
ลู่เจียงเป่ยรู้สึกว่านางไม่เพียงวางแผนทั้งหมดแต่ยังพิจารณาทุกรายละเอียดด้วย ไม่ว่าจะเป็ตัวเขา เสี่ยวต้วน เลี่ยวจือหย่วนและแม่ชีทุกคนในวัดสุ่ยซัง ต่างเป็ตัวละครฉากหนึ่งที่นางสร้างขึ้น ทว่าหลังจากหาจี้ทองพบแล้วกลับบอกว่าจะไม่เอาความผู้กระทำผิดเพียงเพราะขโมยผู้นั้นท้องสองเดือน
ช่างเป็สตรีที่ลึกลับยิ่งนัก...
จิตใจของเหอตังกุยสงบสุขมาก ราวกับเป็จิตใจที่สงบสุขที่สุดในชีวิตของนาง
หลังจากตื่นนอน เหอตังกุยสดใสและมีชีวิตชีวายิ่ง นางอยากทำมวยผมทรงเฟยเหยียนที่งดงามแต่เห็นได้ชัดว่านางไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้ จึงเรียกเจินจิ้งมาช่วย เจินจิ้งหาวหวอดพลางมีหยาดน้ำตาไหลออกมา มือข้างหนึ่งของนางชูหวีสองแบบ อีกข้างหนึ่งชูปิ่นไม้ พลางบอกเหอตังกุยอย่างมั่นใจว่าตนชำนาญการทำผม เช้าวันนี้คือโอกาสแสดงความสามารถของนาง
เวลาผ่านไปครึ่งถ้วยชา เหอตังกุยก็ร้องไห้ เหตุเพราะนางรู้สึกว่าเส้นผมถูกดึงออกมาอย่างน้อยสิบเส้น เจินจิ้งพยายามปลอบใจอย่างสุดความสามารถ พลางบอกว่านั่นเป็เพียงภาพลวงตาเท่านั้น
เหอตังกุยตัดสินใจยอมแพ้กับผมยาวสลวยของตน แล้วบอกว่าตนตัดสินใจแล้วว่าวันนี้จะปล่อยผม ไม่คิดจะหวีผมหรือทำทรงอะไรอีก เจินจิ้งจึงนำเส้นผมยี่สิบสามสิบเส้นที่หลุดออกมาเมื่อครู่ รวมไปถึงหวีที่หักเป็สามท่อนออกไป เจินจิ้งััจมูกพลางเอ่ยพึมพำด้วยความน้อยใจ นี่เป็ครั้งแรกของข้าที่ทำเช่นนี้ แตะเ้าเพียงนิดเดียว เ้าก็ร้องเสียเสียงดัง ข้าใกลัวก็เลยทำมันหัก...
เหอตังกุยสาบานอยู่ในใจ เมื่อไหร่ที่กลับไปตระกูลหลัว นางจะต้องหาเด็กรับใช้ที่ชำนาญการทำผมโดยเฉพาะสักคน ส่วนเจินจิ้งนั้นนางจะส่งไปทำงานอย่างอื่น ทำอะไรก็ได้แต่จะต้องอยู่ห่างจากโต๊ะเครื่องแป้ง
สักพักไหวเวิ่นก็แอบส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้เหอตังกุยเงียบ ๆ กล่าวจบก็ใช้แขนเสื้อบังหน้าแล้ววิ่งไป
เหอตังกุยเปิดดูจดหมาย มีข้อความเขียนว่า หลังจากแม่ชีไท่ซั่นกลับไปก็โมโหมาก สิ่งแรกที่นางทำหลังปิดประตูคือก่นด่าเหอตังกุย จากนั้นจึงด่าไหวซินและไหวตง ใช้คำหยาบคายสกปรกทั้งคืนไม่ยอมหยุด เจินจูจึง้าเอ่ยเตือนเหอตังกุย อย่างไรเสียนางก็แตกหักกับแม่ชีไท่ซั่นแล้ว เื่จัดการโรงยาก็ไม่จำเป็ หากต้องใช้ยาอะไรก็ให้เจินจิ้งเขียนใบสั่งยาส่งไปให้นาง อีกสองวันจะนำยาเ่าั้ไปให้
เหอตังกุยคลี่ยิ้มบาง นางนำสมุนไพรที่ต้องใช้มาจากโรงยาั้แ่เมื่อวานแล้ว ไม่จำเป็ต้องกลับไปทำงานที่นั่นอีก และนางก็ไม่้าออกไปพบปะผู้คนด้านนอกด้วยเส้นผมกระเซอะกระเซิงเช่นนี้ เหอตังกุยจึงย้ายโต๊ะไปตั้งตรงหน้าต่าง เริ่มจัดระเบียบยาสมุนไพรโดยแบ่งเป็สองกอง
เมื่อเจินจิ้งเห็นนางไม่โกรธเื่เมื่อครู่แล้ว จึงถือโอกาสเดินเข้าไปพูดใกล้ ๆ “เสี่ยวอี้ ความรู้ด้านยาสมุนไพรของเ้ามีมากเสียจริง เ้าเรียนได้อย่างไรรึ” เมื่อเห็นว่าเหอตังกุยไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ นางจึงหาเื่เอ่ยถามอีกครั้ง “เหตุใดเ้าจึงแยกเป็สองกองเล่า?”
“กองนี้ใช้บำรุงร่างกาย อีกกองใช้ทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์กว่า” เหอตังกุยขยิบตาอย่างมีเลศนัย “ประโยชน์ที่ว่านั้นเป็ความลับสุดยอด ไม่สามารถแพร่งพรายได้” เจินจิ้งยู่ปากก่อนจะเดินหิ้วถังออกไปตักน้ำ
ลู่เจียงเป่ยเดินมาถึงหน้าประตู เห็นเด็กสาวร่างเล็กสวมชุดสีขาวนั่งก้มหน้าก้มตาแยกยาสมุนไพรอยู่ริมหน้าต่าง
แสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่พาดผ่านกรงหน้าต่างกระทบใบหน้าด้านข้างของนาง ขับผิวให้ขาวเนียนยิ่งขึ้น แววตานั้นช่างสดใสนัก สดใสดุจน้ำในมหาสมุทรที่ไร้ซึ่งฝุ่นละออง จมูกเล็กและคางแหลมทำให้นางน่ารักยิ่งขึ้น ผู้คนที่พบเห็นล้วนเอ็นดูนางอย่างอธิบายเป็คำพูดไม่ได้ เส้นผมสีดำขลับประบ่าทำให้ผิวของนางขาวดั่งเนื้อหยก ลู่เจียงเป่ยแทบลืมหายใจเพราะไม่เคยพบสตรีที่ยังไม่แต่งหน้าหวีผมแล้วงดงามเช่นนี้มาก่อน
เหอตังกุยที่กำลังจัดแยกยาสมุนไพรััได้ถึงความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่าง นางจึงเงยหน้ามองดู สายตาพลันสบประสานกับผู้ที่ยืนอยู่ด้านนอกพอดี เมื่อพบว่าผู้มาเยือนคือลู่เจียงเป่ย นางใเล็กน้อยจึงไม่ได้ลุกขึ้นต้อนรับในทันที
ทันใดนั้นลู่เจียงเป่ยพบว่าเหอตังกุยไม่ได้สวมเสื้อคลุม นางสวมเพียงชุดด้านในธรรมดาเท่านั้น ทว่าตนกลับจ้องตาไม่กะพริบเช่นนี้ ช่างไร้มารยาทเสียจริง เขาจึงรีบหันหลังก่อนจะเอ่ยขอโทษทันที “ขออภัยแม่นาง เมื่อครู่ข้ารออยู่ด้านนอก แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่พบคนเดินมาต้อนรับ ข้าจึงถือวิสาสะเดินเข้ามา”
เหอตังกุยหยิบเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อนขึ้นมาสวมอย่างช้า ๆ ติดกระดุมพลางเอ่ยถาม “เหตุใดใต้เท้าลู่จึงมีเวลาว่างมาที่นี่ได้ล่ะเ้าคะ?”
ลู่เจียงเป่ยทอดตามองก้อนเมฆบนท้องฟ้าแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “คุณหนูเหอ ข้ามีข่าวดีจะบอก”
เมื่อเหอตังกุยติดกระดุมเสร็จแล้วจึงกลับไปนั่งลงข้างหน้าต่างอีกครั้ง ก่อนจะใช้เชือกสีน้ำเงินผูกผมยาวสลวยของนางพลางเอ่ยถาม “ข่าวดีอันใดหรือเ้าคะ? เชิญใต้เท้าพูดเถิดเ้าค่ะ”
ลู่เจียงเป่ยได้ยินเสียงสวมเสื้อผ้าของนางหยุดลงแล้วจึงหันกลับมา “จริง ๆ แล้ว เื่นี้ไม่ควรบอกคุณหนูเหอโดยตรง บุรุษเช่นข้ายิ่งไม่ควรบอกเื่นี้กับเ้า อย่างไรเสีย ตอนนี้มีคนบนยอดเขาไม่กี่คนที่พอจะเจรจาได้ ขั้นตอนจึงรวบรัดไปหลายส่วน ดังนั้นข้าจึงขอเป็ผู้ใช้อำนาจทำให้เื่นี้ถูกต้องและเหมาะสม”
เหอตังกุยมองลู่เจียงเป่ยผู้สวมชุดสีน้ำเงินที่กำลังกล่าววาจาคลุมเครือตรงหน้า แล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย “สรุปแล้วมีเื่ใหญ่อันใดกันแน่เ้าคะ เหตุใดจึงกล่าวจริงจังเพียงนี้?”
ลู่เจียงเป่ยนั่งลงฝั่งตรงข้าม ก่อนจะนำกล่องสีแดงขนาดเท่าฝ่ามือวางตรงหน้านาง พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แม่นางโปรดเปิดดู”
เหอตังกุยรับและเปิดกล่องใบนั้นออกจึงพบว่าภายในกล่องคือกระดาษปึกหนึ่ง เมื่อเห็นดังนั้นก็งุนงงยิ่งกว่าเดิม ลู่เจียงเป่ยใช้สายตาเป็เชิงบอกให้นางเปิดดู นางจึงหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาเปิดอ่าน สายตาพลันปรากฏความประหลาดใจขึ้น
นี่คือโฉนดที่ดินร้านผ้าไหมในเมืองหลวงที่ชื่อว่า “อวี้เป่าชิ่ง”
นางหยิบกระดาษขึ้นมาดูอีกสองสามแผ่น เป็โฉนดที่ดิน “ปอหยวน” ในเมืองหลวง รวมไปถึงโฉนดที่นาร้อยหมู่
จากนั้นก็หยิบกระดาษหลากสีที่วางซ้อนกันอยู่ปึกหนึ่ง ในนั้นมีตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงห้าใบและตั๋วเงินยี่สิบห้าตำลึงอีกสามใบ
เหอตังกุยมองทั้งหมดโดยไม่เอ่ยสิ่งใด นางหยิบกระดาษซ้อนไว้อย่างเคย ก่อนจะนำกลับไปวางในกล่องแล้วปิดฝาลง ลู่เจียงเป่ยจ้องมองใบหน้าของนางตลอดเวลา พลางนึกในใจว่านางเป็สตรีแบบไหนกันถึงไม่มีสีหน้าใหรือดีใจเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในกล่องเ่าั้?
เหอตังกุยส่งกล่องใบนั้นคืนแก่ลู่เจียงเป่ย เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่แม้แต่จะยื่นมือรับ นางจึงวางกล่องลงบนโต๊ะด้วยรอยยิ้มพลางเอ่ย “ใต้เท้าลู่ ท่านคงมิได้นำเงินกว่าหกพันตำลึงมาที่นี่แต่เช้าตรู่เพื่อโอ้อวดข้ากระมัง? มีสิ่งใดก็พูดตรง ๆ เถิดเ้าค่ะ”
ลู่เจียงเป่ยนึกขันเพราะคำว่า “โอ้อวด” เพียงไม่นานความขบขันก็แปรเปลี่ยนเป็ความโศกเศร้า ลู่เจียงเป่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้มสดใส “คุณหนูเหอช่างเป็คนตรงไปตรงมาเสียจริง เช่นนั้นข้าก็ไม่ขอพูดอ้อมค้อม วันนี้ข้ามาในฐานะพ่อสื่อ เสี่ยวต้วนนั้นรักแม่นางอย่างจริงใจและ้าขอแม่นางแต่งงาน”