“บอกท่านโหวว่า ข้าจะไปทันที” เฉินอี้เหอเอ่ยพลางหยัดกายยืน มองเฉินจิ้งเจียที่ท่าทีคร่ำเคร่งขึ้นตามเช่นกัน
ไฉนถึงได้บังเอิญขนาดนี้? ไท่จื่อเสด็จถวายธูปวันนี้เช่นกันหรือ?
ท่าทีความคิดของเฉินอี้เหอ ส่งผลให้เฉินจิ้งเจียอดที่จะเริ่มพิจารณาถึงสาเหตุอย่างจริงจังขึ้นอย่างเสียมิได้
“เจียเอ๋อร์เ้าพักผ่อนอยู่ในห้องนี้เถิด ด้านนอกลมแรงมาก เ้าไม่ต้องออกไปหรอก” เฉินอี้เหอกำชับก่อนเปิดประตูออกจากห้องไป
เมื่อเห็นบานประตูค่อยๆ ปิดลง รอยยิ้มบนใบหน้าก็จางหายตามไปเช่นกัน
วันนี้เซี่ยยู่จางก็มาวัดอันเหรินหรือ ทั้งยังโผล่มาเจอท่านพ่ออีก?
เขาคงกำลังหาโอกาส เลือกเวลาเช่นนี้ เพราะคงมาดหมายให้ท่านพี่ช่วยนางโน้มน้าวใจท่านพ่อสินะ?
ขณะนางกำลังครุ่นคิดร้อยแปดพันประการ หนานจือที่ยืนด้านข้างพลันโพล่งขึ้นมา “คุณหนู ที่ท่านบอกว่าจะแต่งงานกับคุณชายเผยนั้น คงไม่จริงใช่หรือไม่เ้าคะ?”
ด้วยเหตุนี้เฉินจิ้งเจียจึงหันหน้ามองไปทางหนานจือที่กำลังยืนนิ่ง มองตนด้วยสายตาเป็กังวล ราวกับเขียนคำว่าไม่ยินยอมสามคำนี้ติดหน้าผากตนไว้แล้ว
“แน่นอนว่าจริง คุณชายเผยผู้นั้น…”
“คุณชายเผยผู้นั้นเป็สุภาพบุรุษ รูปร่างหน้าตามีเสน่ห์” หนานจือชิงเอ่ย
อย่าคิดว่าที่นางออกไปเชิญคุณชายใหญ่มาก่อนหน้านี้ จะไม่ได้ยินว่าคุณหนูของตนคุยอันใดกับเฉินจิ้งโหรวเชียว
โดนหนานจือชิงตัดหน้าไปเช่นนี้ เฉินจิ้งเจียเริ่มคิดถึงใบหน้าเผยฉางชิงขึ้นแล้วจริงๆ ถือว่าเหมาะสมกับคำว่าเป็สุภาพบุรุษ รูปร่างหน้าตาเปี่ยมเสน่ห์จริงๆ
หนานจือถอนหายใจ “คุณหนู แม้บ่าวจะโน้มน้าวใจท่านมิได้ แต่บ่าวอยากบอกท่านเอาไว้ บุรุษนี้หนา มิอาจมองกันแค่รูปลักษณ์ภายนอก”
หึ ต่อล้อต่อเถียงต่อไปไม่ไหวแล้วหรือ?
ไหนเลยนางจะมองคนที่รูปลักษณ์ภายนอกกัน?
“หนานจือ ที่ข้ามองคุณชายเผยนั้น หาใช่เพียงเพราะเขาหน้าตาดี” เฉินจิ้งเจียขมวดคิ้ว
“เ้าค่ะๆ คุณหนูท่านไม่ได้มองว่าคุณชายเผยหน้าตาดี ท่านมองว่าน้ำจิตน้ำใจเขาไม่ธรรมดา นั่นมิใช่เพราะเขากลวงจนท่านมองเห็นเขาในสายตาหรอกหรือ”
สองประโยคของหนานจือนี้รับรู้ได้ว่าตอบแบบขอไปที
เ้าหนูน้อยนี่ นางโน้มน้าวใจไม่ไหวแล้ว
เฉินจิ้งเจียยืนขึ้นอย่างจนปัญญา ก่อนทิ้งตัวลงบนเตียงด้านข้าง “หนานจือ ข้าเหนื่อยแล้ว ขอพักก่อน”
หลังจากเฉินจิ้งเจียพักผ่อน หนานจือที่นั่งอยู่ไม่ไกลเตียงมากจึงหยิบสะดึงขึ้นมาปักลาย
“หากคุณหนูอยากแต่งงานกับคุณชายเผยจริง เช่นนั้นหนานจือจะดูแลลูกเขยให้ดีเอง จะไม่ยอมให้เขาเ้าชู้ไม่เลือกหน้าจนผิดต่อคุณหนูอย่างแน่นอน”
นางพึมพำกับตัวเอง หาได้รู้ว่าเฉินจิ้งเจียที่นอนบนเตียงมิได้หลับใหลแต่อย่างใด ครั้นได้ยินคำนางเอ่ยเช่นนั้น ดวงตาก็แดงก่ำขึ้น
...
แม้นบอกว่าเฉินจิ้งโหรวใกลัวเฉินอี้เหอจนหนีกลับเรือนตัวเอง ทว่าเมื่อเห็นจ้าวอี๋เหนียงยืนอยู่ตรงนั้น จิตใจก็สงบลงไม่น้อย
“ท่านแม่!” นางส่งเสียงเรียก
ครั้นได้ยินเสียง จ้าวอี๋เหนียงจึงหันกลับมามองบุตรสาวของตน “กลับมาแล้วหรือ? ไม่อยู่กับคุณหนูใหญ่อีกสักนิดหรือ?”
อันที่จริงนางก็อยากอยู่ต่ออีกนิด แต่ใครเล่าจะรู้ว่ายัยเด็กตัวแสบหนานจือจะเชิญเฉินอี้เหอมา นางตื่นใจนขาสั่นระริก จำต้องชิงวิ่งหนีออกมาก่อนน่ะสิ
“ไยเ้าถึงกลัวเขาปานนี้ ต่อให้เขาเป็แม่ทัพใหญ่ชายแดน แต่นั่นก็พี่ชายเ้า ในอนาคตเ้าก็ต้องตบแต่งอยู่แล้ว อย่างน้อยก็ต้องคุยกันบ้าง”
จ้าวอี๋เหนียงวางแผนไว้อย่างชัดเจน จวนป๋อชางโหวมีคุณชายทั้งคน แม้นบุตรสาวของตนจะมิได้มีแม่เดียวกัน ทว่าเฉินจิ้งโหรวจะใช้ชีวิตในบ้านสามีอย่างไร ก็ต้องดูที่บ้านบิดามารดาฝ่ายหญิงแล้วว่ามีคนช่วยหนุนหลังหรือไม่?
ประจวบเหมาะกับที่หญิงสารเลวซูเหยานั่น เตรียมทุนทรัพย์ไว้สำหรับการแต่งงานของโหรวเอ๋อร์ไว้แล้ว
“ท่านแม่ พูดถึงแต่งงาน มิใช่ว่าท่านให้ข้าไปสืบข่าวจากเฉินจิ้งเจียมาหรือ ท่านทายดูสิว่าข้ารู้เื่อะไรมา?”
เมื่อนึกถึงเื่ที่เฉินจิ้งเจียพูดเมื่อครู่ เฉินจิ้งโหรวก็แทบกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่
“คุณหนูใหญ่ทะเลาะกับท่านโหวด้วยเหตุใดกัน?” จ้าวอี๋เหนียงถาม
เฉินจิ้งโหรวดื่มชาที่ส่งมาอึกหนึ่ง ก่อนเอ่ยอย่างสนอกสนใจ “เฉินจิ้งเจียชอบบัณฑิตยาจกคนหนึ่ง บอกว่าเป็บัณฑิตที่เข้าเมืองหลวงมาสอบ”
เมื่อได้ยินดังว่า จ้าวอี๋เหนียงสีหน้าพลันแปรเปลี่ยนไป “บัณฑิต? เป็อย่างไร?”
“เป็อย่างไรหรือ เป็พวกใจซื่อมือสะอาด ภาคภูมิในตนเอง นี่เป็สิ่งที่เฉินจิ้งเจียบอกมาเ้าค่ะ” เฉินจิ้งโหรวเย้ยหยันอย่างไม่ปิดบัง
จ้าวอี๋เหนียงชะงักงันไปชั่วครู่ “อะไรนะ”
“ใจซื่อมือสะอาด ก็บ่งบอกว่าเขาไม่มีข้อดีอย่างไรล่ะ อีกทั้งต้นตระกูลก็มิได้ดีแต่อย่างใด ส่วนภาคภูมิในตนเองก็คือไม่รู้จักน้ำใจคนอย่างไรล่ะ”
เฉินจิ้งโหรวเอ่ยพลางแสยะยิ้ม “หากจะพูดถึงเื่ข้อดีจริงๆ ละก็ ก็คงรูปงามเสียกระมัง? อย่างไรเสียเฉินจิ้งเจียก็บอกว่าเขาเป็สุภาพบุรุษ ทั้งยังมีเสน่ห์อีกด้วย”
“พูดมาขนาดนี้ คุณหนูใหญ่คงให้ใจคุณชายเผยไปแล้วละ” จ้าวอี๋เหนียงยิ้มมุมปาก ท่าทางดูเหมือนอารมณ์ดียิ่ง
เฉินจิ้งโหรวยิ้มเยาะขึ้นเช่นกัน “ก็ใช่น่ะสิเ้าคะ เมื่อครู่นางบอกข้าว่าท่านพ่อไม่ตกลงยินยอม ทำให้นางทุกข์ใจมาก หากท่านแม่ช่วยนางพูดสักนิด นางต้องรู้สึกเป็บุญเป็คุณกับท่านแน่”
“โหรวเอ๋อร์พูดถูก อย่างไรเสียนี่เป็ความปรารถนาของคุณหนูใหญ่ ไหนเลยแม่เลี้ยงอย่างข้าจะไม่ช่วยนางเล่า”
จ้าวอี๋เหนียงเอ่ยเสียงอ่อนโยน นางมั่นใจมากว่าตนต้องได้รับแต่งตั้งเป็ฮูหยิน กลายเป็นายหญิงแห่งจวนป๋อชางโหวได้เป็แน่
ขณะกำลังพูด แม่นมซุนพลันสาวเท้าเดินเร็วเข้ามา “จ้าวอี๋เหนียง ไท่จื่อเสด็จเยือนวัดอันเหรินเ้าค่ะ”
ไม่รอให้จ้าวอี๋เหนียงทันอ้าปาก เฉินจิ้งโหรวพลันหยัดกายยืนทันใด “ไท่จื่อเสด็จมาหรือ? เช่นนั้นข้าควรเข้าไปถวายบังคมเสียหน่อยเป็อย่างไร”
“คุณหนูใหญ่ล่ะ?”
จ้าวอี๋เหนียงมิได้ร้อนรนเหมือนเฉินจิ้งโหรว แต่กลับถามอย่างสงบเสงี่ยม
“คุณหนูใหญ่อยู่ในเรือนตนเองไม่ยอมออกมา คุณชายใหญ่ก็ถูกนายท่านเรียกตัวไปแล้วเ้าค่ะ” แม่นมซุนตอบกลับอย่างยินดีปรีดา
เฉินจิ้งโหรวพอใจจนไม่สนสิ่งใด “ข้าว่าเฉินจิ้งเจียเทใจให้คุณชายเผยอะไรนั่นไปหมดแล้ว ก็คงไม่สนใจไท่จื่อเช่นกัน”
สิ้นเสียง นางจึงเร่งจัดแจงอาภรณ์ของตน ลูบผมจัดแต่งทรง “ท่านแม่ ข้าขอตัวไปก่อนเ้าค่ะ ไปถวายบังคมไท่จื่อมิอาจรอช้าได้”
“อืม เ้าไปเถิด” จ้าวอี๋เหนียงเองก็มิได้ขัด ปล่อยให้เฉินจิ้งโหรวไปตามใจ้า
คอยกระทั่งเ้าตัวจากไปไกล แม่นมซุนที่อยู่ข้างๆ จึงเอ่ยขึ้น “จ้าวอี๋เหนียง ให้คุณหนูรองไปหาไท่จื่อในเวลาเช่นนี้ดีแล้วหรือเ้าคะ? อย่างไรเสียสถานะของนาง...”
เอ่ยถึงประโยคท้าย นางก็คิดว่าตนควรหยุดพูด ไม่กล้าเอ่ยต่อไป
หากแต่จ้าวอี๋เหนียงเป็คนเฉลียวฉลาด ต่อให้แม่นมซุนไม่พูด นางก็เดาความหมายแฝงในนั้นออกอยู่ดี
“เ้าจะบอกว่าสถานะของนางไม่เหมาะสมพอเอื้อมหาไท่จื่ออย่างนั้นหรือ?”
แม่นมซุนปิดปากเงียบ แต่โค้งกายอย่างเคารพยำเกรง
จ้าวอี๋เหนียงหาได้ใส่ใจ “ไม่เป็ไร แม้นยามนี้นางเป็เพียงบุตรสาวของอนุ แต่ใช่ว่านางจะมิอาจกลายเป็บุตรสาวของฮูหยินได้เสียเมื่อไร”
กล่าวจบ นางก้มหน้าจิบชาในถ้วย มุมปากเหยียดยิ้มแทบหุบไม่ลง รอยยิ้มราบเรียบกลับเสริมเสน่ห์บนใบหน้างดงามให้มากขึ้น ไม่ต่างกับยามยังเป็สาวเยาว์วัย
อย่างอื่นนางไม่กล้าพูด แต่เื่การล่วงรู้ความคิดของป๋อชางโหวนั้น จ้าวอี๋เหนียงกลับเชี่ยวชาญยิ่ง รอให้ผ่านไปอีกสักไม่กี่วัน นางต้องทำให้ท่านโหวแต่งตั้งนางเป็ฮูหยินให้ได้
ถึงเวลานั้น ก็ดูกันว่าใครจะกล้าดูแคลนแม่ลูกอย่างพวกนางอีก!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้