บทที่ 4 : พิมพ์เขียวใต้แสงตะเกียง (และวิศวกรรมฉบับ D.I.Y.)
สามทุ่มตรง
บรรยากาศยามค่ำคืนในชนบทปี 1999 เงียบสงัดจนได้ยินเสียงจิ้งหรีดเรไรระงมไปทั่ว ต่างจากกรุงเทพฯ ที่เต็มไปด้วยแสงสีเสียงที่ฉันจากมา (หรือจะเรียกว่าจากไปในอนาคตดีนะ)
ฉันนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นไม้กระดาน เบื้องหน้าคือกระดาษสมุดวาดเขียนเล่มใหญ่ที่ไปขุดเจอในลังเก็บของ มือขวากำดินสอ 2B แน่น สายตาจ้องมองหน้าต่างโฮโลแกรมที่ลอยอยู่กลางอากาศ
[Blueprint: ผานะเิดินดาน (Subsoiler) รุ่นประหยัดพลังงาน]
Components: ขาไถเหล็กกล้า (Shank), หัวเจาะ (Point), โครงยึด 3 จุด Grade Requirement: เหล็กกล้าคาร์บอนสูง (High Carbon Steel)
“โอเค... ขาไถต้องทำมุม 45 องศา...”
ฉันพึมพำพลางตวัดปลายดินสอ ลอกแบบจากระบบลงบนกระดาษอย่างขะมักเขม้น แม้ลายเส้นจะไม่เนี้ยบเท่าคอมพิวเตอร์เขียนแบบ (CAD) แต่ก็พอดูรู้เื่แหละน่า
เมื่อวาดเส้นสุดท้ายเสร็จ ฉันก็ม้วนกระดาษ คว้าไฟฉายกระบอกถ่าน แล้วค่อยๆ ย่องลงจากบ้าน
เป้าหมาย: อู่ช่างดิน
แสงไฟนีออนสีขาวจากอู่ยังเปิดสว่างจ้า เสียงเคาะเหล็ก โป๊ก... แป๊ง! ดังเป็จังหวะ แสดงว่าเ้าของอู่ยังไม่เลิกงาน
“พี่ดิน...” ฉันส่งเสียงเรียกเบาๆ เมื่อเดินไปถึงหน้าประตูอู่
ร่างสูงใหญ่ที่กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่กับ่ล่างรถกระบะชะงัก เขาเลื่อนตัวออกมา ใบหน้าเปื้อนคราบน้ำมันสีดำเป็ปื้น แต่ดวงตายังคงเป็ประกายคมกริบ
“ดึกป่านนี้แล้ว มาทำไม?” เขาถามเสียงเข้ม ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหยิบผ้ามาเช็ดมือ
“เอา ‘แผนที่สมบัติ’ มาให้ดูค่ะ”
ฉันยิ้มแฉ่ง กางกระดาษวาดเขียนลงบนโต๊ะทำงานช่างที่เต็มไปด้วยน็อตและสกรู
พี่ดินขมวดคิ้ว เดินเข้ามาดูใกล้ๆ กลิ่นสบู่จางๆ ผสมกลิ่นบุหรี่อ่อนๆ (ที่เขาคงเพิ่งสูบไป) ลอยมาแตะจมูก
“นี่มัน...” เขาไล่นิ้วไปตามลายเส้นยึกยือของฉัน “ผานไถ? แต่ทรงมันแปลกๆ นะ ปกติเขาใช้ผานจานกลมๆ ไม่ใช่เหรอ?”
“อันนี้เรียกว่า ‘Subsoiler’ หรือ ผานะเิดินดาน ค่ะ” ฉันเริ่มอธิบายอย่างกระตือรือร้น นิ้วจิ้มไปที่ส่วนหัวเจาะ
“ผานจานทั่วไปมันลงลึกได้แค่ 15-20 เซนฯ พลิกได้แค่หน้าดิน แต่เ้านี่... ออกแบบมาให้แทงทะลุลงไปได้ลึกถึง 50 เซนฯ! เพื่อทำลายชั้นดินแข็งๆ ข้างล่างให้น้ำซึมผ่านได้ โดยไม่ทำลายหน้าดิน้าค่ะ”
พี่ดินนิ่งฟัง สายตาจับจ้องไปที่แบบแปลนอย่างพินิจพิเคราะห์ สมองวิศวกรเครื่องกลของเขากำลังประมวลผล
“หลักการเข้าท่า...” เขาพยักหน้าช้าๆ “ใช้หลักการ Wedge Action (ลิ่ม) แหวกดินสินะ... แต่ปัญหาคือ...”
เขาเคาะนิ้วลงบนกระดาษ ตรงส่วนที่เป็ขาไถ
“วัสดุ... ถ้าจะให้แทงดินแข็งๆ แบบนั้นโดยไม่งอหรือหัก ต้องใช้เหล็กแข็งพิเศษ อย่างน้อยก็พวกเหล็กแหนบสปริงเกรดดีๆ ซึ่งราคาแพงหูฉี่... เธอมีงบเท่าไหร่?”
ฉันชูนิ้วชี้กับนิ้วโป้งทำเป็รูปวงกลม “ศูนย์บาทค่ะ”
พี่ดินถอนหายใจพรืด มองหน้าฉันเหมือนจะถามว่า ‘ล้อเล่นใช่ไหม’
“งั้นก็พับโครงการเก็บไปได้เลย ไม่มีเหล็กกล้า ก็ทำไม่ได้”
“โธ่พี่ดิน! นายช่างใหญ่แห่งตำบล จะไม่มีวิธี D.I.Y. หน่อยเหรอคะ?” ฉันแกล้งยุ “ไหนว่าซ่อมได้ทุกอย่างไง”
พี่ดินชะงัก เขาหรี่ตามองฉันอย่างมันเขี้ยว ก่อนจะหันหลังเดินหายเข้าไปในกองเศษเหล็กหลังร้าน
โครม! คราม! กริ๊ก!
เสียงรื้อของดังลั่น สักพักเขาก็เดินกลับมาพร้อมกับแท่งเหล็กโค้งๆ สนิมเขรอะ 3-4 อัน
“นี่ไง เหล็กแหนบรถสิบล้อ เก่า” เขาโยนมันลงบนพื้นดัง ตึง!
“รถสิบล้อมันรับน้ำหนักเป็ตันๆ เหล็กพวกนี้ค่า Yield Strength (จุดคราก) สูงมาก เหนียวและแข็งพอจะงัดดินดานได้สบาย... แค่ต้องเอามาเผาไฟ ดัดทรงใหม่ แล้วก็เจียรคมนิดหน่อย”
ฉันตาโตเท่าไข่ห่าน
“สุดยอด! พี่ดินจีเนียสมาก!” ฉันเผลอปรบมือรัวๆ ด้วยความตื่นเต้น
พี่ดินยิ้มมุมปากนิดๆ ยืดอกขึ้นเล็กน้อย (อาการคนบ้ายอเริ่มออก)
“แต่ค่าแรงแพงนะ”
“หือ?” ฉันชะงัก “เท่าไหร่คะ... ขวัญติดไว้ก่อนได้ไหม ขายลำไยได้แล้วจะรีบมาใช้”
พี่ดินโน้มตัวลงมา เท้าแขนกับโต๊ะ ใบหน้าคมคายอยู่ห่างจากฉันแค่คืบ แสงไฟนีออนตกกระทบสันจมูกโด่งเป็เงาคมชัด
ตึกตัก... ตึกตัก...
หัวใจเ้ากรรมเต้นรัวอีกแล้ว!
“ไม่ได้คิดเป็เงิน” เขาพูดเสียงทุ้ม “่นี้งานอู่เยอะ พ่อกับแม่เธอคงทำกับข้าวเลี้ยงไม่ไหว...”
“...”
“ทำข้าวกลางวันมาส่งผมทุกวัน จนกว่าเครื่องนี้จะเสร็จ”
ฉันกระพริบตาปริบๆ
แค่นี้อะนะ?
“ได้เลย! สบายมาก!” ฉันรีบรับคำ “งั้นพรุ่งนี้เจอกันนะพี่ช่างใหญ่!”
ฉันรีบม้วนกระดาษแล้ววิ่งจู๊ดออกจากอู่ด้วยความเขิน (หรือกลัวเขาเปลี่ยนใจก็ไม่รู้)
ลับหลังฉัน พี่ดินมองตามร่างเล็กที่วิ่งหายไปในความมืด เขาหยิบเหล็กแหนบสนิมเขรอะขึ้นมาดู แล้วส่ายหัวเบาๆ พร้อมรอยยิ้มที่กว้างกว่าเดิม
“ยัยด็อกเตอร์ตัวแสบ...”
