บนไหล่เขาของูเาซิ่วซี
หลัวจิ่งนั่งอยู่บนก้อนหินที่นูนขึ้นมาแล้วทอดมองลงไป ทิวทัศน์ใต้เชิงเขากว้างขวางเห็นทุกอย่างได้ทั่ว
เื้ัแว่วเสียงทำความเคารพแ่เบาขององครักษ์ลับ
หลัวจิ่งพยักหน้า “เ้าให้คนไปตรวจสอบที สองพี่น้องสกุลโหยวที่มาเมื่อวานทำไมถึงมาปรากฏอยู่หมู่บ้านวั้งหลิน แล้วก็สืบเื่สิบกว่าปีก่อนด้วย สาเหตุอะไรที่ทำให้ฮูหยินสกุลหูถูกกรอกยาใบ้และขายออกมา
“ขอรับ ข้าน้อยจะไปตรวจสอบทันที” เสียงองครักษ์ลับตอบ “แต่... กำลังคนของพวกเราที่เหลืออยู่ในเมืองหลวงไม่มาก หากจะตรวจสอบเกรงว่าต้องเสียเวลาอยู่บ้างขอรับ”
“ไม่เป็ไร ตรวจสอบเื่ของสองพี่น้องสกุลโหยวให้แน่ชัดก่อน”
“ขอรับ ข้าน้อยขอลา”
ลมบนูเาลอยมาเอื่อยเฉื่อย พัดเอาชายเสื้อของหลัวจิ่งพลิ้วไหว
เขามองไปยังหมู่บ้านในเขตูเาเล็กๆ ใตู้เาสงบเงียบและเรียบง่าย ความสบายใจท่ามกลางจิตใจที่อิสระและเงียบสงบตีแผ่กระจายขึ้น
เขาอดคิดขึ้นไม่ได้ คำพูดที่เด็กสาวผู้นั้นเคยกล่าวว่านางไม่ชอบประเพณีการผูกมัดของครอบครัวใหญ่ ชื่นชอบชีวิตอิสระสบายใจในหมู่บ้านเขตูเามากกว่า
มุมปากหลัวจิ่งยกยิ้มขึ้น เขาก็ชื่นชอบชีวิตอิสระสบายใจมากกว่าเช่นกัน
คิดถึงเด็กสาวผู้นั้นขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็หยุดลงทันที ทำไมนางยังไม่กลับมาอีก? ในเมืองสนุกเพียงนั้นเชียวหรือ? หรือหยุดอยู่ที่ใดที่หนึ่งแล้วมีความสุขจนลืมกลับบ้าน?
ดวงตาสีเข้มครึ้มของเขาหยุดอยู่ตรงทางเข้าหมู่บ้าน ลมหายใจตรงทรวงอกติดขัดขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้
เจินจูปะทะเข้ากับโหยวอวี่เวยโดยบังเอิญ
หลังถามสาเหตุชัดเจนแล้ว กู้ฉีให้นางไม่จำเป็ต้องทุกข์ใจอีก นางอยู่คุยเล่นกับเขามาพักหนึ่งจึงลุกขึ้นยืนและกล่าวลา เพราะผู้เป็บิดายังรอนางอยู่ในตลาด
เมื่อกำลังจะออกจากหลังร้านของฝูอันถัง ได้ปะทะเข้ากับเงากายหนึ่งที่พุ่งเข้ามา เจินจูเอียงกายหลบทางให้แต่ยังถูกชนเล็กน้อย
“คุณหนู ท่านรอข้าน้อย ให้ข้าไปแจ้งสักหน่อยเถอะ” กู้จงรีบวิ่งเข้ามาจากด้านหลัง
คุณหนูลูกผู้น้องนี่ เพิ่งลงจากรถม้า ยังไม่ทันรอให้เขาไปรายงานให้ทราบก็วิ่งมาทางหลังร้านแล้ว ท่าทางเหมือนคุณหนูครอบครัวขุนนางเสียที่ไหน
“เชอะ รอให้เ้ารายงาน ก็ไม่รู้ว่าพี่ห้าจะเดินทางออกไปไหนอีก” โหยวอวี่เวยกล่าวด้วยความโมโห
เมื่อวาน่บ่าย เมื่อกลับมาถึงฝูอันถัง กู้ฉีดูแลให้พวกนางเข้ามาดื่มชาถ้วยหนึ่ง แล้วจึงใช้ข้ออ้างว่าไม่สบายกลับห้องไปพักผ่อน โหยวอวี่เวยไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงกลับจวนไปทางเดิมกับโหยวเสวี่ยชิง
วันนี้นางเตรียมรถม้าเร่งมาแต่เช้าตรู่ เพื่อป้องกันเขาหลบเลี่ยงนางแล้วออกไปข้างนอกอีก โหยวเสวี่ยชิงออกจากบ้านอืดอาดนัก นางจึงไม่รอแล้วพาคนรับใช้กับหญิงชรามากันเอง
ในใจเจินจูมีความสุขทันที ที่แท้กู้ฉีไม่้าพบลูกผู้น้องคนนี้ของเขานี่นา
กู้จงลมหายใจสะดุดไปชั่วขณะ ในใจโอดครวญร้องทุกข์ คุณชายไม่อยากพบท่าน เขาจะทำอย่างไรได้ล่ะ
เขาเงยหน้ามาเห็นเจินจูที่อยู่ด้านข้างจึงรีบยิ้มแล้วกล่าว “แม่นางหู ท่านจะกลับแล้ว?”
แม่นางหู? โหยวอวี่เวยใเล็กน้อย เมื่อครู่นางไม่ทันได้ใส่ใจ เด็กสาวที่อยู่ด้านข้างผู้นี้ที่แท้เป็หูเจินจูที่เจอเมื่อวานนี่เอง
โหยวอวี่เวยหันหน้าไปจ้องเด็กสาวตรงหน้าทันที ชุดกระโปรงผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดบนกายสีชมพูลูกท้อ ผูกเชือกรัดเอวสีเดียวกัน ขับให้รอบเอวเพรียวบางปานกิ่งต้นหลิว แก้มขาวปรากฏสีแดงเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ดวงตาสีดำเปล่งประกายแวววับ
นาง... ละสายตาไม่ได้ไปชั่วขณะ
“อื้ม นำของมามอบให้เสร็จ จึงเตรียมจะกลับแล้วเ้าค่ะ” เจินจูหันไปพยักหน้ากับกู้จง
“นำของมามอบให้? นำของอะไรมามอบให้?” โหยวอวี่เวยตั้งสติกลับมาได้ ถามซักไซ้ทันที
เจินจูมองนางแวบหนึ่ง เด็กสาวคนหนึ่งที่ค่อนข้างงดงามอย่างมาก แต่เพราะสีหน้าท่าทางกระตือรือร้นเกินไปทำให้สูญเสียความงามไปเล็กน้อย
“แค่ผักพวกแตงกับถั่วจำนวนหนึ่งของที่บ้านปลูกไว้” นางยิ้มบางๆ แล้วตอบกลับไป
ทันทีหลังจากนั้น ลูกตาเจินจูกวาดไปหนึ่งครั้ง เห็นหญิงชราที่คอยติดตามโหยวอวี่เวยอยู่ข้างหลังไม่ไกล
หญิงชราผู้นั้นใบหน้าเคร่งขรึม ยืนอยู่ข้างนอกห่างออกไปไม่กี่ก้าวด้วยสายตาจ้องตรงไปข้างหน้า
“ผักพวกแตงกับถั่ว? บ้านเ้าขายของพวกนี้โดยเฉพาะหรือ?” โหยวอวี่เวยถามด้วยความประหลาดใจ เมื่อวานดูแล้วบ้านนางท่าทางไม่เหมือนยากจนเช่นนั้นเลยนี่
“ไม่ใช่หรอก แค่ทางผ่านจึงนำมามอบให้เล็กน้อย คุณหนูโหยว ท่านพ่อข้ายังรอข้าอยู่ ไม่ขอคุยเล่นกับท่านแล้ว” เจินจูผงกศีรษะไปทางนาง หลังจากนั้นเดินสวนจากไป
เห็นภาพด้านหลังของนางจากไป จื่อผิงคนรับใช้หญิงข้างกายโหยวอวี่เวยขมวดคิ้วกล่าว “คุณหนู เด็กสาวในชนบทช่างไม่รู้จักมารยาทเสียจริง พูดคุยกับนางแล้วเสื่อมเกียรติของท่านนัก ทางที่ดีอย่าสนใจนางเลยจะดีกว่าเ้าค่ะ”
โหยวอวี่เวยชำเลืองตามองแวบหนึ่ง “นั่นเป็คนที่พี่ห้ายินดีไปมาหาสู่ด้วย เ้าไม่เข้าใจก็อย่ากล่าวมั่วซั่ว”
แต่พี่ห้าไปมาหาสู่กับครอบครัวนางสนิทสนมเกินไปหน่อยหรือไม่ เมื่อวานเขาไปบ้านนาง วันนี้กลับกันนางมาหาเขา ท่าทางเด็กสาวผู้นั้นเห็นได้ชัดว่าคุ้นเคยต่อร้านฝูอันถังเป็อย่างมาก
จื่อผิงก้นม้าตบบนเท้าม้า [1] ก้มหน้ายอมรับผิด
โหยวอวี่เวยเบะปาก หมุนกายเดินไปทางหลังร้าน จื่อผิงรีบตามไปทันที เมอเมอหวังมองไปยังทิศทางที่เจินจูจากไป แล้วถึงตามไปข้างหลังคุณหนูของนางอย่างไม่รีบร้อนและไม่ช้า
เวลาชั่วครู่ชั่วยามนี้ กู้จงได้รายงานเื่ราวขึ้นไปแล้ว
กู้ฉีจึงกุมหน้าผากอย่างจนปัญญา ช่างเถอะ นางเดินทางไกลมาพันลี้ ถึงอย่างไรก็ต้องทำหน้าที่เป็เ้าบ้านต้อนรับแขกผู้มาเยือนให้ดีที่สุด
...เมื่อหูฉางกุ้ยและเจินจูกลับมาถึงหมู่บ้านวั้งหลินก็เป็ยามอู่พอดี
นี่เป็่เวลาหาได้ยากที่ริมฝั่งแม่น้ำจะเงียบสงบ โรงเรียนเลิกเรียนแล้ว คนทำงานก็กลับบ้านไปทานข้าวกันแล้ว
เกวียนล่อควบเข้าถนนแผ่นอิฐสีฟ้า เดิมทีที่เกวียนสั่นะเืมาตลอดทางในที่สุดก็ปลอดภัยไม่โคลงเคลงอย่างมาก
“เป็ถนนแผ่นอิฐสีฟ้าที่ปลอดภัยไม่โคลงเคลงดีมากนัก!” หูฉางกุ้ยอุทานออกมา
ตอนแรกที่เจินจูเรียกร้องให้ใช้แผ่นอิฐสีฟ้าปูถนน หูฉางกุ้ยเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม นั่นต้องใช้จ่ายเงินไปมากเท่าไรกัน เขาคัดค้านเสียงเบาอย่างหาได้ยากเล็กน้อย แต่กลับถูกคำยืนกรานของเจินจูปฏิเสธ นางกล่าวว่าลงทุนให้มั่นคงไปเลยทีเดียว ดีกว่าต้องมารักษาซ่อมแซมหลายครั้งในภายหลัง
ไม่นานหูฉางกุ้ยก็รับรู้ได้ถึงข้อดีของถนนอิฐสีฟ้าแล้ว วันที่ฝนตกไม่เป็กองโคลน ฤดูใบไม้ผลิที่สดใสฝุ่นไม่คลุ้ง เกวียนวัวรถม้าเดินทางได้ปลอดภัยและราบรื่น
คุ้มค่ากับการลงทุนจริงๆ
หูฉางกุ้ยยิ่งยอมรับความคิดเห็นของบุตรสาวมากขึ้น ตอนนี้นาง้าสร้างอะไร หูฉางกุ้ยล้วนเห็นด้วยโดยไม่มีข้อแม้
“ใช่ไหมเล่า ข้าเคยบอกแล้ว การสร้างถนนจะประหยัดเงินไม่ได้ คำโบราณไม่ใช่กล่าวไว้หรือว่าอยากร่ำรวยต้องสร้างถนนก่อน [2] ถนนสร้างดีแล้วการสัญจรราบรื่น บ้านเราจะเข้าจะออกก็สะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็ขายกระต่ายหรือขายอาหารหมักล้วนจำเป็ต้องขนส่งทั้งสิ้น ฐานการก่อสร้างสำคัญเป็อย่างมากนะเ้าคะ” เจินจูมองผิวถนนที่สร้างได้อย่างราบเรียบกว้างขวางด้วยใบหน้าภาคภูมิใจ
นี่เป็นางกัดฟันยืนกรานจะสร้าง หูฉางกุ้ยกับหลี่ซื่อตอนแรกล้วนไม่เห็นด้วยอยู่บ้าง นางทำการครุ่นคิดแผนงานอยู่สองสามวันถึงพยายามให้สร้างขึ้นมาได้
หูฉางกุ้ยหันมายิ้มซื่อๆ ทางนาง บุตรสาวของเขากล่าวได้ถูกไปเสียหมดเลยเชียว
กลับมาถึงบ้าน ผู้ที่เปิดประตูเป็ผิงอัน
ทว่าเห็นใบหน้าเขากำลังตื่นเต้นดีใจ “ท่านพี่ เมื่อสักครู่เสี่ยวจินโยนแพะป่าูเาลงมาหนึ่งตัว เขาแพะยาวมากเลยล่ะ”
เจินจูชะงักงัน เ้านกอินทรีนี่กินเนื้อกวางเบื่อแล้วอยากเปลี่ยนมากินเนื้อแพะหรือ?
ครั้งก่อนไม่ใช่เคยเตือนมันแล้วหรือว่า่นี้ที่บ้านคนมาก ลดการโยนอาหารป่าลงในบ้านให้น้อยหน่อย ถูกคนเห็นเข้าไม่รู้ว่าจะแต่งเติมคำพูดอะไรกันออกมาแล้ว
มันไม่เข้าใจคำพูดที่นางกล่าว?
“เสี่ยวจินมาเมื่อไร ถูกคนเห็นเข้าหรือไม่?” เจินจูถาม
“เพิ่งมา เป็พี่ชายยู่เซิงที่เห็น น่าจะไม่มีคนอื่นเห็นกระมัง ครั้งก่อนท่านไม่ใช่ให้มันเลี่ยงคนหน่อยหรือ มันช่างฉลาดนัก”
หูฉางกุ้ยจูงเกวียนล่อมาถึงหน้าห้องโถง เริ่มรื้อของบนเกวียนลง
“นกอินทรีตัวนั้นฉลาดมาก มีครั้งหนึ่งเกาะอยู่บนกำแพง มันเหยียบดอกกุหลาบพันธุ์ไม้เลื้อยที่กำลังบานได้สวยงามพอดี ท่านแม่เ้าทนไม่ได้ ชี้ไปสันกำแพงอีกส่วนหนึ่งที่ไม่มีดอกไม้ ให้มันย้ายออกไป มันก็ย้ายออกไปจริงๆ ทำเอาท่านแม่เ้าดีใจแทบแย่” หูฉางกุ้ยย้ายของไปพลางกล่าวอย่างขำขันไปพลาง
เสี่ยวจินัักับคนสกุลหูมานาน จึงค่อยๆ ลดความระมัดระวังตัวกับพวกเขาลงไปมากแล้ว
“ใช่แล้วๆ มีครั้งหนึ่ง มันใช้แรงมากเกินไป จิกเอาเสียจนถาดแตกละเอียด มันก็เลยแอบคาบส่วนที่แตกไปทิ้งบนูเาหมดเลย มันนึกว่าข้าไม่รู้แต่ข้าอยู่ตรงหน้าต่างจึงเห็นมันได้ทุกอิริยาบถ ฮ่าๆ” ผิงอันหัวเราะจนเห็นแต่ฟันไม่เห็นดวงตา
“…”
เจินจูมองเขาอย่างเสียมิได้ สำหรับสัตว์ในบ้านเหล่านี้ น้องชายของนางชื่นชอบมากจริงๆ เลยเชียว
มีครั้งหนึ่งเสี่ยวฮุยสีเทาสุดแสนจะน่ารักถูกเขาเห็นเข้า ดวงตานั่นก็ประกายขึ้นมาในชั่วพริบตาเดียว ดั่งพบขุมทรัพย์ล้ำค่าก็ไม่ปาน ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าตื่นเต้นดีใจมากเพียงใด หากไม่ใช่นางดึงเขาไว้ เกรงว่าคงจะโผเข้าไปอุ้มเสี่ยวฮุยไว้แล้ว
เอาสิ่งของลงจากเกวียนจนหมด สามคนก็เดินไปทางหลังบ้าน
อาชิงกำลังลับมีด
ตอนเย็นสามารถเพิ่มอาหารได้แล้ว เขากลืนน้ำลายเตรียมชำแหละแพะป่าูเา
เสี่ยวจินยังอยู่มุมหนึ่งของลานบ้าน กินเนื้อพะโล้ที่หั่นเป็ชิ้น “ปึกๆๆ”
่นี้มีเพียงเครื่องในพะโล้ให้กิน มันไม่ค่อยสุขใจเท่าไร
ด้วยเหตุนี้... วันนี้จึงมีแพะป่าูเาตกลงมาจากฟ้า
เจินจูจนปัญญา เข้าไปใกล้มันแล้วตบเบาๆ “หากเ้าอยากกินเนื้อกวางหรือเนื้อแพะจริงๆ เช่นนั้นต่อไปก็รอจนฟ้ามืด ข้างนอกไม่มีคนแล้วค่อยนำมาส่งให้”
นางชี้ไปที่ดวงอาทิตย์ ทำท่าทางดวงอาทิตย์ไปทางทิศตะวันตก
เสี่ยวจินมองนางอยู่สองสามทีและร้องสองครั้ง “แว้กๆ” นับเป็คำตอบ
เจินจูก็ไม่รู้ว่ามันจะเข้าใจหรือไม่เช่นกัน ทำได้เพียงพูดซ้ำอยู่สองรอบ แล้วจึงตบปีกมันเบาๆ ลูบจัดระเบียบขนมันให้เรียบ
เสี่ยวจินกินเนื้อพะโล้ไประยะหนึ่ง ไม่เพียงดูสูงขึ้น รูปร่างก็กำยำขึ้นไม่น้อยด้วย ขนทั้งร่างนุ่มลื่นเปล่งประกายอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์
เนื้อแพะเหม็นคาว ต้องใส่ขิงฝานกับต้นหอมซอยลงไปในหม้อ เติมน้ำลงไปต้มให้เดือด หลังจากนั้นใส่ชิ้นเนื้อแพะลงไปลวกน้ำแล้ววางไว้ให้เย็นเตรียมนำไปใช้
เนื้อแพะป่าูเาเกือบร้อยชั่ง หั่นแยกออกมาแล้ว แบ่งเนื้อสดให้ครอบครัวอาชิงกับซิ่วฉายหยางบ้านละห้าชั่ง ที่บ้านเก่าคนมากแบ่งไปแปดชั่ง ส่วนเนื้อที่เหลืออยู่นำมาลวกผ่านน้ำแล้วเอามาพะโล้ขึ้นทั้งหมด
ส่วนหัวแพะ เท้าแพะ เครื่องในแพะเหล่านี้หลี่ซื่อทำไม่ค่อยเป็ หูฉางกุ้ยจึงหิ้วกลับไปที่บ้านเก่าสกุลหูทั้งหมด หวังซื่อนำหัวแพะกับเท้าแพะตุ๋นทำน้ำแดงขึ้นหนึ่งหม้อใหญ่ แบ่งออกครึ่งหนึ่งให้ครอบครัวจ้าวสี่เหวินข้างบ้าน
ส่วนเครื่องในแพะเมื่อล้างกลิ่นคาวออกไปแล้ว จึงนำไปตุ๋นเครื่องในแพะเผ็ดหอมหนึ่งหม้อ
หลังทำเสร็จ่บ่าย หูฉางหลินหิ้วตะกร้าหนึ่งใบนำมาส่งให้
อาหารมื้อค่ำของสกุลหู โดยรวมแล้วเป็มื้ออาหารที่เต็มไปด้วยเนื้อแพะทั้งหมด
เครื่องในแพะเผ็ดหอม หัวและเท้าแพะน้ำแดง และเนื้อแพะตุ๋นไม่ใส่เครื่องปรุง ล้วนใช้ถ้วยใหญ่ใส่มาเต็มๆ
นอกเหนือจากนั้นยังตุ๋นน้ำแกงกระดูกแพะหัวไชเท้า ผัดโหยวหมาไช่มันเลื่อมหนึ่งถาด ปริมาณล้วนมากเพียงพอ
หลิงซีกับพานเสวี่ยหลันมองจนน้ำลายเอ่อล้นขึ้นมา
พวกเขามาถึงบ้านสกุลหูได้ไม่กี่วัน โดยรวมแล้วทุกวันต่างมีอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อสัตว์ทั้งสิ้น แต่อุดมสมบูรณ์เต็มโต๊ะเช่นนี้สำหรับพวกเขาแล้วยังเป็มื้อแรก
หลี่ซื่อรับผิดชอบไปเรียกพวกเขามาอย่างสุดกำลัง
เดิมทีตามประเพณีที่ยึดถือ พวกเขาควรแยกโต๊ะออกไปรับประทานอาหาร
แต่หลิงเสี่ยนอายุมาก หลิงซีกับพานเสวี่ยหลันก็นับเป็เด็กค่อนข้างโต พวกเขายังต้องอาศัยอยู่บ้านสกุลหูไปอีกสักพัก แยกโต๊ะทานข้าวทุกวันช่างวุ่นวายเกินไป
เมื่อตอนหลิงเสี่ยนกับหลานสองคนเพิ่งมาถึง ล้วนผ่ายผอมกันจนเสื้อผ้าจะหลุดรุ่ย เมื่อสวมอยู่บนกายของพวกเขาแล้วต่างหลวมโพรก
หลี่ซื่อเห็นแล้วปวดใจ สามมื้อจึงเติมเนื้อเพิ่มไข่ทุกครั้ง หุงหาอาหารในปริมาณที่เพียงพออย่างยิ่ง กลัวมากว่าสามคนจะเกร็งจนเกินไปแล้วทานไม่อิ่ม
หลิงเสี่ยนมีชีวิตอยู่มาครึ่งค่อนชีวิต ตนเองย่อมเคยพบเคยเจอคนและเื่ราวมาไม่น้อย ผู้อื่นทำการแสดงหรือจริงใจเขารับรู้ได้
เขารับรู้ได้ถึงความจริงใจและมีเมตตาของทั้งครอบครัวสกุลหูจริงๆ
ไม่ได้ฝืนและไม่ได้ทำการแสดงเสแสร้ง
เป็ธรรมชาติและเป็กันเอง ไม่มีสักนิดที่ทำให้พวกเขาอึดอัด
แต่สกุลหูมีส่วนที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจไม่น้อยอยู่ตลอด
เชิงอรรถ
[1] ก้นม้าตบบนเท้าม้า หมายถึง การประจบสอพลอไม่ถูกจังหวะไม่ถูกที่
[2] อยากร่ำรวยต้องสร้างถนนก่อน หมายถึง การคมนาคมที่สะดวกจะส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ และยังรวมไปถึงการสร้างลู่ทางเส้นสายเพื่อนำไปสู่ความก้าวหน้าได้อีกด้วย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้