บทที่ 21 ท่านปู่ของเซียวฉินกับขนนกเพลิง
ณ ปากถ้ำ
“ศิษย์สายตรงหลี่ผู้นั้น เข้าไปถึงชั้นสามของถ้ำเทพศาสตราเชียวหรือ?”
“ให้ตายเถอะ! เขาเข้าไปได้ยังไงกัน?”
“ไม่รอดแน่! เมื่อหลายปีก่อน มีศิษย์ที่เพิ่งเข้าสู่ขั้นปราณภายในบังเอิญเข้าไปในชั้นสาม พอช่วยออกมาได้ก็เต็มไปด้วยาแ ทั้งสติยังเลอะเลือน สุดท้ายแม้รักษาหายก็กลายเป็คนวิกลจริต”
“เฮือก... เขาคงไม่ตายอยู่บนยอดเขาของเราหรอกกระมัง?”
“นั่นมันศิษย์ของซางอู่เลยนะ..”
“ข้านึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ตากผ้าเลย ขอตัวกลับก่อนนะ”
บริเวณปากถ้ำเต็มไปด้วยความคึกคัก ศิษย์หลายคนถึงกับหยุดตีเหล็กมายืนถกเถียงกันอย่างเซ็งแซ่
หากศิษย์สายตรงเกิดเื่ในถ้ำเทพศาสตรา นั่นคงเป็ข่าวใหญ่ที่สุดของสำนักชิงเยวียนเลยทีเดียว
มู่หรงเซียวเดินไปมาอย่างกระวนกระวายใจ ราวกับมดที่ถูกวางบนกระทะร้อน
“พี่หลี่เป็คนดีขนาดนั้น ขออย่าให้เกิดเื่ร้ายเลยนะ...”
ขณะที่เขากำลังพึมพำกับตัวเอง จู่ๆ ก็มีเสียงดังจากปากถ้ำ
“มารวมตัวกันตรงนี้ทำไมกัน ไปทำงานของตัวเองไป!”
หานเฮ่อเดินนำหน้า พลางเอ็ดศิษย์ชั้นในที่กำลังซุบซิบพูดคุยกันอยู่ ส่วนซางอู่และหลี่โม่ก็เดินตามออกมาจากด้านหลังเขา
ศิษย์น้องหลี่ผู้นั้นยังคงมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า
“พี่หลี่ท่านไม่เป็อะไรใช่ไหม? ยังจำข้าได้ไหม? นี่กี่นิ้ว?”
มู่หรงเซียว ก้าวพรวดพราดมาตรงหน้าหลี่โม่ พลางชูนิ้วไหวไปมา
“ห้า... เอ่อ เ้าก็มีแค่ห้านิ้วอยู่แล้วไม่ใช่รึ?”
หลี่โม่นึกว่านี่เป็ปริศนาอะไรบางอย่าง
“ห้าบวกห้าได้เท่าไหร่?”
“...สิบ”
หลังจากผ่านการทดสอบเชาวน์ปัญญา
“ท่านไม่กลายเป็คนโง่นี่ ดีใจจริงๆ”
มู่หรงเซียวถอนหายใจอย่างโล่งอก ใบหน้าเต็มไปด้วยความปลื้มปิติ
“...ขอบคุณนะ?” หลี่โม่
ทั้งสองยังไม่ทันได้พูดคุยกันเท่าไร หลี่โม่ก็ถูกซางอู่ยกตัวขึ้นรถม้าเสียแล้ว
“ไปได้ไอ้แก่” ซางอู่อารมณ์ดี ตีเข้าที่บั้นท้ายม้าหนึ่งที
รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป
“พี่หลี่เดินทางปลอดภัยขอรับ”
มู่หรงเซียวโบกมือให้หลี่โม่
หานเฮ่อเห็นดังนั้นก็อดรู้สึกแปลกใจในใจไม่ได้
ศิษย์รักของเขาผู้นี้ ไปรู้จักกับหลี่โม่ได้อย่างไร แถมยังดูสนิทสนมกันไม่น้อย?
ช่างเถอะ ไม่เป็ไรหรอก
การประลองเก้ายอดเขาของสำนัก ไม่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ส่วนตัว ถึงเวลาก็ต้องตัดสินกันอยู่ดี
ต่อให้หลี่โม่มีพร์พิเศษเพียงใด ท้ายที่สุดเขาก็เพิ่งจะเข้าสู่ขั้นพลังปราณเท่านั้น ยังห่างไกลจากระดับพลังของมู่หรงเซียวอยู่มาก
ส่วนในอนาคตนั้น ก็พูดยากอยู่...
“เซียวเอ๋อร์ อีกสิบกว่าวัน ศิษย์ใหม่ทุกคนจะต้องเข้าร่วมการทดสอบของสำนัก ่นี้ทุกบ่ายเ้าจงตามอาจารย์มาฝึกวิชาให้ก้าวหน้าขึ้น”
“ขอรับ”
ยามค่ำคืน
เทือกเขาชิงเยวียนที่กว้างใหญ่เงียบสงัด
ภายในเรือนพักของศิษย์ชั้นนอก มีห้องหนึ่งที่ยังคงมีแสงไฟสว่างจ้า
เซียวฉินกำลังกำหยกทมิฬอยู่ในมือ และระดับพลังของเขาก็ฟื้นคืนมาถึงขั้นปราณโลหิตสิบเส้นชีพจรแล้ว
หยกทมิฬก้อนนั้นกว่าครึ่งกลายเป็สีเทาขาวไปแล้ว
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่แค่เพราะตัวเขาคนเดียว
“ฟู่ว...”
“สิบเส้นชีพจร! ข้ากลับมาสู่ขั้นปราณโลหิตสิบเส้นชีพจรได้อีกครั้งแล้ว!”
เซียวฉินลืมตาขึ้น ใบหน้าอันมุ่งมั่นของเขาเผยความปรีดีออกมา
แต่แล้วเขาก็อดแปลกใจไม่ได้เมื่อมองไปที่หยกทมิฬในฝ่ามือ
มันกลายเป็สีเทาขาวไปทั้งก้อน เหมือนก้อนหินธรรมดาๆ ไม่มีผิด
“ทั้งก้อนถูกดูดพลังไปหมดเลย? ข้าไม่น่าจะทำได้ด้วยตัวเองนี่...”
“เ้าทำไม่ได้หรอก แต่เป็เพราะเฒ่าผู้นี้ต่างหาก”
ทันใดนั้นเอง เสียงชราเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหูเขา
“ท่านคือใคร?!”
“นามของท่านผู้นี้ หากจะกล่าวไปก็ยาวนานนัก...”
เซียวฉินนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น ทั้งประหลาดใจและสับสนงุนงง
ที่แท้ การที่ระดับพลังของเขาตกต่ำลง ก็เป็เพราะหยกที่แขวนอยู่บนหน้าอกของเขาชิ้นนี้นี่เอง
พูดให้ถูกคือ เป็เพราะท่านปู่ที่เรียกตัวเองว่า ‘มหาปราชญ์พันร่าง’ ซึ่งสถิตอยู่ในหยกชิ้นนี้
หากสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเป็ความจริง ท่านปู่ผู้นี้ในยามรุ่งเรืองเต็มที่ แข็งแกร่งยิ่งกว่าเ้าสำนักของสำนักชิงเยวียนเสียอีก!
ยิ่งไปกว่านั้น
อีกฝ่ายยังบอกอีกว่า สามารถเป็อาจารย์ของเขาได้ และเขาจะต้องช่วยอีกฝ่ายสร้างร่างใหม่เมื่อตนเองแข็งแกร่งขึ้น
“ดูท่าหยกโบราณเจ็ดดาราไม่ได้เลือกคนผิด เ้าสามารถยืนหยัดมาได้นานขนาดนี้โดยไม่ยอมแพ้ในวิถีแห่งยุทธ์ เหตุผลนี้เองที่ปลุกข้าให้ตื่นขึ้น”
เสียงชราเอ่ยด้วยความชื่นชม
เขารู้สึกพอใจอย่างยิ่งต่อความมุ่งมั่นและพร์ของเซียวฉิน
“ในเมื่อเป็เช่นนั้น ก็ถึงเวลาที่จะมอบของขวัญรับศิษย์ให้เ้า เพื่อที่เ้าจะได้ไม่เก็บงำความรู้สึกแย่ๆไว้ในใจ”
สิ้นเสียงนั้น หยกโบราณเจ็ดดาราพลันส่องแสง ราวกับมีช่องเล็กๆ เปิดออก
ถุงผ้าไหมใบหนึ่งลอยออกมาจากด้านใน
“ภายในถุงผ้าไหมนี้ บรรจุขนนกของนกขมิ้นเพลิงไว้หนึ่งชิ้น แม้จะมีสายเืของหงส์ะเก้าสีอยู่เพียงเล็กน้อย แต่หลังจากที่ข้าขัดเกลามาหลายครั้ง ก็ยังถือว่าล้ำค่ายิ่งนัก”
“เมื่อสวมติดตัวไว้ สิ่งชั่วร้ายทั้งหลายจะถอยหนี อีกทั้งยังสามารถบำรุงร่างกายได้อีกด้วย มีประโยชน์อเนกอนันต์”
เซียวฉินกำถุงผ้าไหมไว้ในมือ พลันรู้สึกอบอุ่นไปทั่วทั้งตัว
“หากพึ่งพาเพียงตนเอง ข้าก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่กว่าอาจารย์จะฟื้นคืนชีพ ”เขากล่าวอย่างซื่อสัตย์
“หลักๆ แล้ว เป็เพราะศิษย์น้องหลี่มอบหยกทมิฬให้ข้า”
“หยกทมิฬ?”
เสียงชราหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะสังเกตเห็นหยกทมิฬในมือของเซียวฉินที่ถูกดูดพลังจนหมดไปแล้ว
“ในดินแดนอันกันดารอย่างแดนบูรพานี้ หยกทมิฬควรจะหายากและล้ำค่าอย่างยิ่ง...”
“เขากลับยอมมอบให้เ้าเชียวหรือ?”
“ขอรับ ศิษย์น้องหลี่เป็ผู้มีคุณธรรมอันสูงส่ง อาจารย์ ข้าอยากตอบแทนน้ำใจด้วยการมอบถุงผ้าไหมขนนกหงส์เพลิงนี้ให้เขาขอรับ”
เซียวฉินกล่าวด้วยแววตาเป็ประกาย
ตอนนี้เขามีผู้าุโผู้นี้คอยติดตามอยู่ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่น่าจะพบเจอกับอันตรายใหญ่หลวงนัก
แต่ถึงอย่างไร นี่ก็เป็ของที่อาจารย์มอบให้เขา
จะส่งต่อให้คนอื่นไปทันทีโดยที่อาจารย์ไม่อนุญาตย่อมไม่ได้
“การที่เ้ามีความคิดเช่นนี้เป็เื่ที่ดี”
“หากเ้าประสบความสำเร็จในภายภาคหน้า ก็สามารถช่วยเหลือเขาได้”
เฒ่าที่ถูกเรียกว่ามหาปราชญ์พันร่าง ไม่ได้ห้ามปรามเขา
เขาเองก็อยากให้เซียวฉินเป็ผู้ที่รู้จักตอบแทนบุญคุณ เพื่อที่ในอนาคตจะได้ช่วยเขาสร้างร่างกายขึ้นใหม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายยังมอบหยกทมิฬให้โดยง่าย แสดงว่าอย่างน้อยก็ต้องมีเื้ัอยู่ในแดนบูรพาไม่น้อย
“ช่วยเหลือศิษย์น้องหลี่?”
เซียวฉินเผยสีหน้าขมขื่น พลางส่ายหน้า “เขาเป็ถึงศิษย์สายตรง ส่วนข้าเป็เพียงศิษย์ชั้นนอกเท่านั้น”
เขาเคยััด้วยตนเองมาแล้ว ว่าศิษย์น้องหลี่มีพร์มากเพียงใด
วิชาหมัดหกประสานบรรลุขั้นแตกฉานได้ภายในวันเดียว
ไม่สามารถใช้คำว่าอัจฉริยะมาอธิบายได้ ควรเรียกว่าอสูรกายจึงจะเหมาะสม
“ศิษย์สายตรงที่มีอนาคตสดใสที่สุด ในภายภาคหน้า ก็เป็ได้แค่ผู้าุโคนหนึ่ง”
“สำนักชิงเยวียนก็เป็แค่สำนักหนึ่งในแคว้นจื่อหยางของแดนบูรพาเท่านั้น”
เสียงชรากล่าวมาถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง
จากนั้นจึงกล่าวอย่างจริงจัง “ในไม่ช้า เ้าจะได้จากที่นี่ไป เพื่อไปสร้างชื่อเสียงในโลกที่กว้างใหญ่กว่านี้”
“ในฐานะศิษย์ของเฒ่าผู้นี้ อย่าได้ดูถูกตัวเองเป็อันขาด”
“น้อมรับคำสั่งสอนของอาจารย์”
เซียวฉินพยักหน้าเล็กน้อยด้วยความลังเล
“เ้าไม่มั่นใจในตนเอง และก็ไม่มั่นใจในตัวเฒ่าผู้นี้ด้วยสินะ”
“เอาเถอะ พรุ่งนี้เฒ่าผู้นี้จะไปพบศิษย์น้องหลี่ของเ้า เพื่อดูว่าเขาเป็อัจฉริยะที่น่าทึ่งเพียงใด”
เมื่อเห็นความคิดของเซียวฉิน มหาปราชญ์พันร่างอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัยใคร่รู้ขึ้นมาเล็กน้อย
แต่ไม่นาน เขาดึงบทสนทนากลับมาสู่เื่หลัก
“วิชาแก่นแท้ที่เ้าฝึกนั้นไม่ค่อยเหมาะกับเ้าเท่าไหร่”
“ตั้งใจฟังให้ดี เฒ่าผู้นี้จะถ่ายทอดเคล็ดวิชาแปรเปลี่ยนสู่ความมืดมิดให้เ้า”
“ขอบคุณอาจารย์!”
เซียวฉินฮึดสู้ขึ้นมา
ครู่ต่อมา มหาปราชญ์พันร่างเข้าสู่ความเงียบงัน ราวกับจะกลับไปหลับใหลต่อในหยก
เขาเก็บถุงผ้าไหมไว้ในอก และตั้งใจฝึกฝนวิชาแก่นแท้ที่เพิ่งเรียนมาใหม่อย่างหนัก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้