“หุบปาก!”
หวงอี้้าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกหวงไท่ตวาดขัดขึ้นในทันที เวลานี้บิดาของเขากำลังจ้องมองมายังเขาด้วยสายตาดุดัน
มู่เทียนคือใคร? ทั่วทั้งอาณาจักรหนานหลิงเกรงว่าคนที่ไม่รู้จักเขาคงมีเพียงหยิบมือเท่านั้น
เขาคือผู้แข็งแกร่งที่มีวรยุทธ์ระดับหยวนตาน ในอาณาจักรหนานหลิงเขาได้ชื่อว่าเป็บุคคลที่ทรงพลังอย่างมาก ทั้งยังมีอำนาจทางกองทัพอยู่ในมือ แม้เวลานี้มู่เทียนจะจบชีวิตลงในสนามรบไปแล้ว แต่เกียรติยศและชื่อเสียงของเขายังคงอยู่
นอกจากนี้ตระกูลของอีกฝ่ายก็ยังอยู่ ทั้งยังเป็ตระกูลใหญ่ที่ตระกูลหวงไม่สามารถแตะต้องได้
ในฐานะที่มู่เฟิงคือบุตรชายของมู่เทียน และยังเป็ทายาทสายตรงของตระกูลมู่ ในตอนนี้อีกฝ่ายจึงเป็บุคคลที่เขาไม่สามารถล่วงเกินได้ แม้สถานการณ์ในปัจจุบันของตระกูลมู่จะเกิดความสั่นคลอนขึ้นมาเพียงใดก็ตาม แต่อูฐผอมตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า*
(*ถึงแม้ว่าจะพบเจอปัญหาที่ทำให้ต้องสะดุด แต่สภาพความเป็อยู่ของเขาก็ยังดีกว่าใครอีกหลายคน)
ดังนั้นหากเขากล้าแตะต้องมู่เฟิง ทางตระกูลมู่สายหลักจะต้องส่งผู้ฝึกยุทธ์ระดับหยวนตานมาทำลายตระกูลหวงของเขาจนพังพินาศย่อยยับเป็แน่
บุคคลอื่นที่เหลือของตระกูลหวงต่างรีบร้อนคำนับตามหวงไท่ทันที ในเวลาเดียวกันนั้น ท่าทีของพวกเขาพลันเปลี่ยนเป็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรต่อไป
เมื่อมู่เฟิงเห็นฉากนี้ ภายในใจของเขาไม่ได้มีความรู้สึกภูมิใจแต่อย่างใด สิ่งที่อีกฝ่ายหวาดกลัวคืออำนาจที่อยู่เื้ัของเขา ไม่ใช่ตัวเขา ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดให้เขาต้องรู้สึกภาคภูมิ
หากวันหนึ่งบุคลอื่นสามารถให้ความเคารพเขาหลังจากได้ยินชื่อของเขาโดยไม่ได้สนใจอำนาจเื้ั แบบนี้ต่างหากจึงจะเรียกได้ว่ามีเกียรติอย่างแท้จริง
“คุณชายเฟิง เมื่อครู่เป็ข้าที่ล่วงเกินทำให้ท่านต้องขุ่นเคืองใจ ลูกสุนัขตัวนี้ตาต่ำไม่รู้จักสถานะของท่าน ขอคุณชายเฟิงโปรดอภัยและเข้าใจในการกระทำเมื่อครู่ของข้าด้วย”
หวงไท่กล่าวอย่างนอบน้อม
“ช่างเถอะ อย่างไรเขาก็ได้รับบทเรียนที่สมควรได้รับแล้ว ข้าไม่ได้คิดจะสืบสาวหาความอะไรอีก ท่านอาไห่ หากไม่มีเื่อันใดแล้ว เสี่ยวเฟิงขอตัว”
มู่เฟิงโบกมือ จากนั้นเขาได้หันไปคำนับมู่ไห่ ก่อนจะเดินนำมู่จงออกไป
“น้อมส่งคุณชาย”
เหล่าคนตระกูลมู่ต่างลุกขึ้นยืนอีกครั้งเพื่อคำนับส่งอีกฝ่าย ในขณะที่หวงไท่และคนของเขาต่างมองมู่เฟิงจากไปเช่นกัน
‘มีข่าวลือว่าเส้นลมปราณและวรยุทธ์ระดับจื่อฝู่ของมู่เฟิงถูกทำลายไปแล้ว เวลานี้เขายังมาปรากฏตัวในเมืองเล็กๆ แห่งนี้อีก ตระกูลมู่คิดจะวางแผนทำอะไรกันแน่’
ดวงตาของหวงไท่เป็ประกาย เขากำลังครุ่นคิดกับตัวเอง
‘เป็ไปได้อย่างไร เ้าเดรัจฉานนั้นกลับกลายเป็คุณชายสายหลักของตระกูลมู่ กระทั่งบิดาข้ายังต้องให้ความเคารพเขา เช่นนี้แค้นของข้า... ไม่ได้ จะให้เื่นี้ยุติลงเพียงเท่านี้ไม่ได้’
เมื่อหวงอี้เห็นเงาหลังของมู่เฟิงเดินจากไป ภายในใจของเขาก็เกิดความรู้สึกไม่ยินยอมขึ้นมา กระทั่งความเกลียดชังในแววตาของเขาก็ไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย
“ท่านมู่ เื่ในวันนี้เป็พวกข้าที่รบกวนท่านแล้ว เช่นนั้นพวกข้าขอตัวลา”
หวงไท่รู้สึกอับอายเกินกว่าจะนั่งอยู่ในตระกูลมู่ต่อไป ดังนั้นเขาจึงกำหมัดคำนับมู่ไห่ตามมารยาทและเตรียมจะจากไป
“ข้าขอไม่ส่ง”
มู่ไห่ยกถ้วยน้ำชาขึ้น ก่อนจะเอ่ยปากไล่แขก
จากนั้นคนตระกูลหวงได้พาหวงอี้จากไปด้วยความอับอาย
หลังจากหวงไท่และคนตระกูลหวงจากไป มู่ไห่ได้หรี่ตาลงและกล่าวขึ้นว่า “ท่านลุงฝู ส่งคนไปลอบจับตาดูตระกูลหวงเอาไว้ อย่าให้พวกเขาแพร่งพรายเื่ที่คุณชายเฟิงอยู่ในเมืองอันหนานไปยังเมืองหลวงได้เด็ดขาด หวงไท่ผู้นี้นิสัยเ้าเล่ห์ ข้าจำได้ว่าบุตรชายคนโตของเขาทำงานอยู่ในเมืองหลวง”
“รับทราบขอรับ!”
ท่านลุงฝูพยักหน้ารับทันที เหตุผลที่ตระกูลหลักส่งเด็กหนุ่มมาที่นี่ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับตามอง ดังนั้นจะปล่อยให้เื่ของมู่เฟิงเล็ดลอดออกไปไม่ได้เด็ดขาด สำหรับเื่นี้ แม้แต่ผู้นำตระกูลมู่สาขาย่อยอย่างมู่ไห่ยังต้องขบคิดให้รอบคอบ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด
“ท่านพ่อ ข้าไม่เต็มใจ เราต้องปล่อยผ่านเื่นี้ไปเช่นนี้หรือ?”
หลังออกมาจากจวนตระกูลมู่ หวงอี้รีบเอ่ยถามบิดาของตนด้วยความไม่พอใจ
“ฮึ่ม ปล่อยผ่าน แน่นอนว่าข้าไม่มีทางปล่อยผ่าน เื่ที่มู่เฟิงมายังเมืองอันหนานแห่งนี้ต้องรายงานให้เป่ยอ๋องผู้นั้นทราบ ข้ารู้มาว่าระหว่างท่านอ๋องและตระกูลมู่นั้นมีเื่บาดหมางกันอยู่ หากข่าวนี้สามารถทำให้ท่านอ๋องผู้นั้นพอใจได้ ไม่แน่ว่าพี่ชายของเ้าอาจได้ทำงานขึ้นตรงต่อท่านอ๋องในภายภาคหน้า คืนนี้ข้าจะส่งคนให้ไปติดต่อพี่ชายของเ้า”
หวงไท่กล่าวอย่างเ็า ดูเหมือนว่าการมาของมู่เฟิงจะทำให้เขามองเห็นถึงโอกาสบางอย่าง แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าในขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นี้ ได้มีเงาร่างสองเงากำลังเฝ้าดูพวกเขาจากไปอยู่บนตึกสูงของจวนตระกูลมู่...
ยามราตรีอันเงียบสงัด บนท้องถนนที่ร้างไร้ผู้คนในเมืองอันหนาน เวลานี้กลับมีม้าเร็ววิ่งออกมาจากจวนตระกูลหวงมุ่งหน้าไปยังประตูเมือง
ในความมืดมิด เงาร่างของคนผู้หนึ่งกำลังเฝ้าดูม้าเร็วและเร่งติดตามไปด้วยความว่องไว
หลังจากคนของตระกูลหวงผู้นั้นควบม้าเร็วออกจากเมืองไปตามถนนสายหลักของทางการได้เพียงห้าถึงหกลี้
ฮี้!
ทันใดนั้นม้าของเขาก็สะดุดเชือกที่ถูกตรึงไว้บนพื้นถนน ก่อนที่มันล้มคะมำและเกลือกกลิ้งไปกับพื้น
“อ๊าก…!”
ชายจากตระกูลหวงผู้นั้นไม่อาจตั้งตัวได้ทัน ร่างของเขาจึงร่วงตกลงจากหลังม้า
พรึ่บ! พรึ่บ!
ในชั่วพริบตานั้น ก็ปรากฏเงาร่างของคนสองคนพุ่งตัวออกมาจากสองฝั่งถนน โดยหนึ่งในนั้นได้เหยียบลงบนร่างของคนตระกูลหวง ทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถขยับกายได้
“พวกเ้าเป็ใคร?”
ชายจากตระกูลหวงผู้นั้นใบหน้าซีดลงด้วยความใ แต่ยังพยายามทำใจกล้าเอ่ยถามอีกฝ่าย
“หุบปาก ไม่อย่างนั้นข้าจะสังหารเ้าเสียเดี๋ยวนี้”
คนที่เหยียบอยู่บนร่างของเขาตะคอกออกมาอย่างเ็า แรงจากฝ่าเท้าของอีกฝ่ายทำให้เขาไม่อาจขยับตัวได้เลยแม้แต่น้อย
“ค้นตัว”
ส่วนอีกคนก็รีบลงมือค้นตัวของเขาอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานอีกฝ่ายก็พบจดหมายจากกระเป๋าด้านในตัวเสื้อ ก่อนจะส่งจดหมายนั้นให้ชายร่างกำยำ
ชายร่างกำยำเปิดจดหมายขึ้นเพื่ออ่านเนื้อหาภายใน ฉับพลันนั้นใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็เย็นะเืในทันที
“คุณชายกับท่านผู้นำตระกูลคาดเดาได้ถูกต้องแล้ว”
เขาเก็บจดหมายฉบับนั้นลง ก่อนจะก้มมองชายที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าอย่างเ็า และพูดอย่างเย้ยหยันว่า “หากพวกเ้าย่อมนิ่งเฉยไม่เคลื่อนไหว พวกข้าก็คงไม่จำเป็ต้องลงมือเช่นนี้ ในเมื่อเ้าเป็คนของตระกูลหวง เช่นนั้นเ้าก็จะเป็ศพแรกที่ถูกฝัง”
“ช้าก่อน เ้าจะ...”
ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะกล่าวจบ ชายร่างกำยำได้กระทืบฝ่าเท้าลงอย่างแรง ส่งผลให้กระดูกคอของอีกฝ่ายแตกหักในทันที เขาอาเจียนออกมาเป็เืก่อนจะเสียชีวิตลง
“นายท่าน ศพของคนผู้นี้จะจัดการอย่างไรดีขอรับ?”
ชายอีกคนเอ่ยถาม
“เอาไปฝัง อย่าให้เื่นี้แพร่งพรายออกไปได้”
“ขอรับ!”
จากนั้นเงาร่างของชายทั้งสองก็พลันเลือนหายไปกับความมืดในยามราตรี
สองวันต่อมา
ทางทิศตะวันตกของเมืองอันหนาน เวลานี้ทุ่งนาผืนใหญ่กำลังเต็มไปด้วยรวงข้าวสาลีสีทองที่กำลังสุกงอม มันพลิ้วไหวเอนเอียงไปตามสายลม ดูคล้ายกับมหาสมุทรสีทองอร่ามที่ทอดยาวออกไปไกล ให้ความรู้สึกสบายตาเป็อย่างยิ่ง สถานที่แห่งนี้ค่อนข้างห่างไกลจากหัวเมือง
่เวลาสารทฤดูนั้น แม้แสงอาทิตย์จะเจิดจ้าแต่ก็ไม่ถือว่าร้อนแรง ส่วนสายลมแ่เบาที่พัดผ่านก็ให้ความรู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย ช่างเป็ฤดูกาลที่เข้าอกเข้าใจผู้คนเป็ที่สุด
ทันใดนั้นท่ามกลางทุ่งข้าวสาลีได้ปรากฏอาชาไนยจำนวนสี่ตัววิ่งมาตามท้องถนน โดยในบรรดาคนสี่คนที่ควบขี่อยู่บนนั้นมีสามคนเป็เด็กหนุ่มและอีกหนึ่งคนเป็เด็กสาว
เด็กหนุ่มสาวทั้งสี่คนนี้ก็คือ มู่เฟิง มู่ขวง ไป๋จื่อเยว่และมู่หลาน
“ฮ่าๆ จื่อเยว่ เ้านี่เป็สัตว์ประหลาดขนานแท้เลย คาดไม่ถึงว่าเ้าจะกลายเป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับทงม่ายขั้นแปดไปเสียแล้ว”
มู่ขวงกล่าวอย่างอิจฉา
“คิกๆ ใครใช้ให้ข้ามีร่างกายพิเศษที่ไม่ธรรมดากันเล่า เ้าอิจฉาไปเถอะ รออีกไม่นานข้าต้องแซงหน้าเ้าแน่”
ไป๋จื่อเยว่ยิ้มอย่างมีชัย
“ฮึ่ม แค่เ้าพูดว่าจะแซงก็จะสามารถแซงได้หรือ ข้ากำลังเปิดเส้นลมปราณเพื่อทะลวงสู่ระดับจื่อฝู่แล้ว ถึงเวลานั้นข้าก็จะกลายเป็ผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริงได้”
“ฮ่าๆ หากพวกเ้าสองคนไม่ได้ทะเลาะกันสักวันคงจะไม่สบายใจสินะ จื่อเยว่ แม้เ้าจะทะลวงผ่านเส้นลมปราณได้แล้ว แต่หากเ้าไม่สามารถบ่มเพาะพลังปราณออกมาได้ เ้าก็ยังไม่ถือว่ามีความแข็งแกร่งหรอกนะ เ้าต้องหมั่นฝึกฝนตามวิธีการที่ข้าสอน เมื่อใดที่เ้าสามารถเติมเต็มพลังปราณจนถึงจุดที่แปดของเส้นลมปราณได้ เ้าก็จะสามารถทะลวงผ่านจุดที่เก้าได้เอง”
มู่เฟิงหัวเราะ
“แฮะๆ พี่เฟิง ข้าทราบแล้ว”
ไป๋จื่อเยว่เกาหัวด้วยรอยยิ้ม เขาเชื่อฟังคำพูดของมู่เฟิงเป็อย่างมาก
“คุณชายเฟิง คราวนี้พวกเราไปยังเทือกเขาอันหนานที่อยู่ด้านหลังของตระกูลจะดีหรือเ้าคะ ที่แห่งนั้นไม่เพียงมีสัตว์อสูรดำรงอยู่ กระทั่งอสูรร้ายหรืออสุรกายก็ยังมีนะเ้าคะ”
มู่หลานกล่าวขึ้นด้วยความกังวล
“ไอหยามู่หลาน ข้าบอกเ้าแล้วว่าไม่ต้องตามมาเ้าก็ยังจะตามมาอีก ในเมื่อมาแล้วก็ไม่ต้องกลัว วางใจเถอะ พวกเราจะปกป้องเ้าเอง”
มู่ขวงตบลงบนอกของตัวเอง พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มแบบลูกผู้ชาย
ห่างจากเมืองอันหนานไปทางทิศตะวันตกสามร้อยลี้จะเป็เทือกเขาที่ทอดยาวออกไปไกลอีกหลายร้อยลี้ ซึ่งเทือกเขาแห่งนี้ถูกเรียกว่าเทือกเขาอันหนาน บนเทือกเขานั้นมีสัตว์และแมลงพิษดำรงอยู่มากมาย รวมถึงอสูรร้ายและอสุรกายที่ค่อนข้างอันตรายด้วยเช่นกัน
มู่เฟิงวางแผนจะไปยังเทือกเขาอันหนานเพื่อทำการฝึกฝนอย่างหนัก ส่วนมู่ขวงกับไป๋จื่อเยว่นั้นยืนยันจะติดตามเขามาด้วย กระทั่งท้ายที่สุด แม้แต่มู่หลานเองก็้าจะติดตามมาด้วยเช่นกัน และด้วยเหตุนี้จึงได้เกิดการเดินทางในครั้งนี้ขึ้น