ความคิดแล่นมาในหัวอย่างรวดเร็ว ภายในชั่วพริบตาซูิเยว่ก็ตัดสินใจ “ประตูหน้าไปไม่ได้แล้ว ที่นี่ยังมีประตูอื่นๆ อีกหรือไม่?”
“มี” หวังซวินรีบชี้ไปทางที่เขาเพิ่งจะออกมา “ที่นั่นมีรูอยู่หนึ่งรู พวกเราออกทางนั้นได้”
“เช่นนั้นก็ดี” ซูิเยว่ดันเสี่ยวอวี่หนึ่งทีก่อนจะหันกลับไปมองหนิงหยวน “หนิงหยวนเ้าตามมาด้านหลัง”
“ขอรับ”
รูเล็กที่ว่านั่นมีขนาดแค่หนึ่งคนผ่าน พวกเขาทยอยกันออกจากวัดเฉิงหวางผ่านรูนั้น พอออกมาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหลายสิบคู่จากด้านใน ทั้งยังมีเสียงคนตามมาอีก
ซูิเยว่เอานิ้วชี้ทาบริมฝีปากแล้วทำเสียงชู่ จากนั้นก็ชี้ให้พวกเขาไปยังที่จอดรถม้า โชคดีที่ตอนมาถึงซูิเยว่ฉลาด นางได้เอารถม้าไปจอดในที่ที่ไม่สะดุดตา
พวกเขาเดินผ่านพงหญ้าไปอย่างเงียบเชียบจนมาถึงรถม้า
ทั้งสี่คนขึ้นรถม้าก่อนที่ซูิเยว่จะสั่งให้หนิงหยวนฟาดแส้เร่งม้าให้รีบวิ่งไปทางเมืองหลวง
เสียงม้าร้องฮี้ออกมาก่อนจะเริ่มควบวิ่งออกไป
นักฆ่าที่ไล่ตามมาถึงวัดเฉิงหวางก็หาใครไม่เจอ แต่พวกเขากลับเจอรอยเท้าหลายรอยที่รูตรงนั้นแทนจึงได้เดินตามรอยเท้านั้นออกมา พอมาถึงก็ได้ยินเสียงม้าลากรถม้าวิ่งไปไกลแล้ว
แววตาของคนชุดดำผู้เป็หัวหน้าซึ่งปกปิดใบหน้าเอาไว้โเี้ขึ้น ด้านหลังเขายังมีคนชุดดำปกปิดใบหน้าอีกนับสิบคน “ตามไป”
“ขอรับ”
หวังซวินในรถม้านั่งหน้าขาวซีด ขาสั่นไม่หยุด
เสี่ยวอวี่เองก็มีสีหน้ากังวล นางคอยแหวกม่านดูด้านหลังอยู่เป็ระยะ กลัวว่าคนพวกนั้นจะตามมา ตอนนี้กลับเป็ซูิเยว่ที่นิ่งกว่าตอนขาไปมาก
หนิงหยวนที่อยู่ด้านนอกไม่พูดอะไรสักคำ ในใจคอยสนใจการเคลื่อนไหวรอบๆ
วิทยายุทธการต่อสู้ของพวกคนชุดดำนั้นดีมาก พวกเขาบินตามมาทันในไม่กี่นาที
เพียงไม่นานก็ตามมาอยู่ด้านหน้ารถม้าแล้ว
“จะทำอย่างไรดี?”
เสี่ยวอวี่หน้าซีดมองเงาดำที่บินตามมาด้านหลัง “คุณหนู พวกเขาตามมาแล้วเ้าค่ะ”
ซูิเยว่ครุ่นคิดแล้วถาม “เสี่ยวหยวน ยังห่างจากทางเข้าเมืองอีกไกลหรือไม่?”
“อีกหนึ่งลี้โดยประมาณขอรับ”
“เช่นนั้นก็ดี เ้าสนใจแค่เื่ขับรถม้าก็พอ ข้าจะถ่วงเวลาพวกเขาไว้เอง”
หนิงหยวนได้ยินก็ร้อนใจ “คุณหนู ท่านจะทำอะไร?”
ซูิเยว่หยิบถุงกระดาษออกมาจากในอกแล้วแบ่งให้เสี่ยวอวี่กับหวังซวินคนละอัน
“วางใจเถิด ข้ารู้จักประมาณตนเอง อีกเดียวพอพวกคนชุดดำเข้ามาใกล้ พวกเ้าก็โปรยของที่อยู่ในถุงกระดาษนี้ทันที แต่ต้องจำไว้ว่าเวลาโปรยออกไปให้ปิดปากปิดจมูกด้วย อย่าให้ตัวเองสูดดมเข้าไปล่ะ”
“ได้ขอรับ/ได้เ้าค่ะ”
ซูิเยว่พูดจบก็หยิบผ้าปิดหน้าสีดำสี่อันออกมาจากในอก จากนั้นก็แบ่งส่งให้หวังซวินกับเสี่ยวอวี่รวมถึงหนิงหยวนที่อยู่นอกรถม้าด้วย “เอาไปปิดหน้า อย่าให้คนอื่นจำได้”
ทุกคนนับถือในความรอบคอบของซูิเยว่มาก พวกเขาจึงเชื่อฟังคำสั่งนางแต่โดยดี
แต่ตอนที่พวกเขาเพิ่งจะเตรียมตัวเสร็จ พวกคนชุดดำด้านหลังก็ตามมาทันแล้ว หัวหน้าของพวกคนชุดดำเป็ผู้มีวิทยายุทธล้ำเลิศ เขาไม่ได้โจมตีหนิงหยวนที่ขับรถอยู่ด้านนอก แต่กลับพังหน้าต่างเข้าไป ภายในชั่วพริบตาวัตถุแสงสีเงินแล่นผ่านวาบพร้อมกับปลายดาบแหลมด้านหนึ่งแทงเข้ามาจากหลังคารถทำลายแผ่นไม้กระดานตรงฝั่งซูิเยว่และเข้าโจมตีนาง
“คุณหนู” หนิงหยวนที่อยู่นอกรถม้าะโเสียงดังด้วยความโกรธ
จะบอกว่าช้าก็ช้า จะบอกว่าไวก็ไว ซูิเยว่เอียงตัวหลบเอาครึ่งตัวออกไปด้านนอกรถ นางยกถุงกระดาษในมือขึ้นก่อนจะโปรยยานอนหลับใส่หน้าคนชุดดำที่อยู่นอกรถม้า
คนชุดดำหลบไม่ทันก็ถูกผงยาในมือของซูิเยว่สาดเข้าหน้าเต็มเปา ผงยานั้นไม่ได้มีประโยชน์อื่น เพียงแค่ััโดนผิวหรือสูดดมเข้าจมูกก็จะทำให้ชาที่ระบบประสาทและสูญเสียการรับรู้ไป
ดาบในมือของคนชุดดำร่วงหล่นลงพื้นภายในชั่วพริบตา ก่อนที่ทั้งตัวคนจะร่วงลงจากหลังคารถ
ผงยาของซูิเยว่นั้นหากเป็คนธรรมดาสูดดมเข้าไปหรือทาิัเล็กน้อยก็จะทำให้สูญเสียการรับรู้และสลบไปทันที แต่พวกคนชุดดำสูญเสียแค่พลังการต่อสู้ชั่วคราวและยังพอมีสติแจ่มชัด
คนชุดดำคนอื่นๆ ด้านหลังเองก็ตามรถม้าต่อไป
“เสี่ยวอวี่ หวังซวิน” ซูิเยว่ออกคำสั่งเสียงเข้ม “เอาผงยาในมือของพวกจ้าโปรยไปด้านหลังจากทางหน้าต่าง”
“รับทราบ” ทั้งสองคนพูดพร้อมกัน มือหนึ่งปิดปากปิดจมูก อีกมือหนึ่งก็ยกถุงกระดาษขึ้น
พวกเขายื่นมือออกไปทางหน้าต่างพร้อมกับโปรยผงใส่คนชุดดำที่ตามมาด้านหลังทั้งหมด ต่อมาคนชุดดำหลายคนก็พากันร่วงหล่นเพราะสูญเสียกำลังต่อสู้ แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่คล่องแคล่วว่องไวสามารถหลบหลีกผงพ้น ทว่าในเวลาแค่นี้ก็เพียงพอที่พวกเขาจะอาศัยจังหวะวุ่นวายนี้ขับรถไปถึงประตูเมือง
หนิงหยวนที่อยู่นอกรถม้าสะบัดแส้ที่อยู่ในมือขึ้น ก่อนที่ฝีเท้าม้าจะวิ่งกระโจนไปด้านหน้า
“คุณ....คุณหนู” ตอนนี้มือของเสี่ยวอวี่ยังสั่น ใบหน้าขาวซีดไปหมด “เป็อย่างไรบ้างเ้าคะ?”
ซูิเยว่มองออกไปด้านหลังผ่านทางหน้าต่างรถม้า พวกคนชุดดำหายไปแล้ว อย่างไรก็ใกล้จะเข้าเมืองแล้ว หลังจากเข้าเมืองไปก็ยากที่พวกเขาจะลงมือกับพวกนางในตอนกลางวันแสกๆ แบบนี้ ดังนั้นพวกนางจึงปลอดภัยชั่วคราว
ซูิเยว่ถอนหายใจหนัก นางถอดผ้าปิดหน้าออกแล้วพิงเข้ากับกำแพงรถม้า หัวใจเต้นแรงเล็กน้อย “ไม่เป็ไรแล้ว ตอนนี้พวกเขาทำอะไรพวกเราไม่ได้ชั่วคราว”
หนิงหยวนที่อยู่นอกรถม้าพอได้ยินคำนี้หัวใจที่ตุ๊มๆ ต่อมๆ ก็สงบลง “คุณหนู เช่นนั้นตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรดีขอรับ กลับจวนเลยหรือไม่?”
“ตอนนี้ยังกลับจวนไม่ได้” ซูิเยว่พูดโดยไม่คิด “ไปที่หอฉวินฟางก่อน อย่าลืมไปที่ประตูหลัง”
“ขอรับ” หนิงหยวนไม่ได้ถามหาเหตุผล
หวังซวินที่ั้แ่ขึ้นรถม้ามาจนถึงตอนนี้ก็เงียบไม่พูดอะไรเท่าไร ยามนี้เขาได้แต่เอ่ยปากพูดเสียงอ่อนมองซูิเยว่ด้วยแววตาซาบซึ้ง “เ้า....เ้าเป็ใครกันแน่? เหตุใดถึงช่วยข้า อีกทั้งเ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาจะมาฆ่าข้า?”
ขาของหวังซวินสั่นไม่หยุด เหงื่อที่หน้าผากไหลลงมาทีละหยด แต่แววตาไม่ได้มีความระมัดระวังให้กับซูิเยว่เหมือนเมื่อครู่ก่อนแล้ว
ซูิเยว่ปรายตามองเขาพลางยกมุมปากขึ้น นางไม่ได้ปกปิดฐานะของตัวเองและบอกออกมาตรงๆ “ข้ามีนามว่าซูิเยว่ เป็บุตรสาวของโม่หลินสกุลซู ส่วนข้าช่วยเ้าทำไมนั้น แน่นอนว่าข้ามีเหตุผลของข้า ถึงตอนนั้นเ้าก็จะรู้เอง”
หวังซวินที่ได้ยินซูิเยว่แนะนำตัวเสร็จก็ชะงักไป
ดวงตาเบิกกว้าง สีหน้าแสดงชัดว่าไม่อยากจะเชื่อ ริมฝีปากอ้าออกครึ่งหนึ่ง เขาจ้องซูิเยว่ หลังจากตะลึงค้างอยู่ครู่หนึ่งถึงได้พูดตะกุกตะกักออกมาจากลำคอได้ “เ้า...เ้าก็คือคุณหนูสกุลซูอย่างนั้นหรือ?”
ซูิเยว่บุตรสาวสกุลซูนั้นเขารู้จักดี เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าคนที่เสี่ยงอันตรายมาช่วยเขากลับเป็คุณหนูใหญ่สกุลซู อีกทั้งอายุก็ยังไม่มากด้วย
ถึงแม้เจอเื่แบบนี้ไป แต่นางกลับมั่นคงไม่หวั่นไหว นี่ไม่เหมือนกับคุณหนูชนชั้นสูงอายุไม่กี่สิบปีที่อยู่แต่ในเรือนไม่ออกจากจวนเท่าไรเลย
หวังซวินก้มหน้าลงแล้วทำความเข้าใจกับข้อมูลทั้งหมดเงียบๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้