กู้จวิ้นเฉินกำลังกินแผ่นมันฝรั่งทอด ได้ยินจ้าวหนิงฮ่องเต้ตรัสถามมาถึงเขา เขาหัวเราะออกมาครั้งหนึ่ง “ให้สิ่งของอันใดไม่สำคัญพ่ะย่ะค่ะ นี่เป็สิ่งของที่เสี่ยวโหวเหฺยตั้งใจตระเตรียมมา ดังนั้นขอเพียงเป็สิ่งของที่เสด็จอาประทานให้ เขาย่อมต้องชมชอบแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่ลั่วกล่าวขึ้นอย่างถ่อมตน “กระหม่อมมิ้าสิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ มาถวายของว่างเป็น้ำใจของกระหม่อม หากต้องให้ของขวัญตอบแทนกลับ เช่นนั้นการมาถวายของว่างย่อมมีจุดประสงค์เป็อื่นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ? จ้าวหนิงฮ่องเต้เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เจตนาลากเสียงให้ยาวขึ้น “วันเกิดเจิ้นใกล้ถึงแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นทูตจากแคว้นเล็กๆ ทั้งสี่ทิศต่างก็มาอวยพร พวกเขาล้วนตั้งใจตระเตรียมของขวัญมาให้เจิ้น ลั่วเอ๋อร์คิดว่าเจิ้นรับของขวัญของพวกเขาแล้วควรจะมอบของขวัญอันใดตอบแทนพวกเขาดีเล่า?”
นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน ความคิดของฝ่าานั้นหลี่ลั่วเดาไม่ออก แต่เมื่อปะติดปะต่อเื่ราวตามสถานการณ์ในตอนนี้ หลี่ลั่วรู้แล้วว่าตนควรจะตอบเช่นใด “วันพระราชสมภพของฝ่าา พวกเขาย่อมต้องมามอบของขวัญ เช่นนั้นก็รอให้ถึงวันพระราชสมภพของฝ่าาจากแคว้นเล็กๆ เ่าั้ พวกเราค่อยส่งของขวัญไปก็ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวหนิงฮ่องเต้ประหลาดใจ “เพราะเหตุใดเล่า?”
“เพราะพวกเขามาอวยพรวันพระราชสมภพของฝ่าา ครั้งต่อไปพวกเราส่งทูตไป นี่ก็คือการได้รับมาแล้วตอบแทนไปตามธรรมเนียมมารยาทพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงใสกังวานของหลี่ลั่วที่ดังขึ้นในห้องทรงพระอักษรที่เงียบสงบนั้น สะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ
ในรัชสมัยปัจจุบันแคว้นใหญ่ไม่เคยส่งของขวัญอวยพรให้แก่แคว้นเล็กๆ มาก่อน และทุกครั้งที่แคว้นเล็กส่งทูตมามอบของขวัญอวยพร พวกเขาจะได้สิ่งของกลับไปมากมาย เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วมีราคาค่างวดมากกว่าสิ่งของที่พวกเขาส่งมามากมายนัก ที่จริงแล้วสำหรับแคว้นใหญ่เป็เื่ที่เสียเปรียบยิ่ง แคว้นเล็กเ่าั้ใช้วิธีมอบของขวัญอวยพรมาเป็ข้ออ้างในการได้ประโยชน์จากพวกเขา จ้าวหนิงฮ่องเต้นั้นคิดมานานแล้วว่าไม่อยากให้แคว้นเล็กใช้วิธีนี้มาเอาเปรียบ แต่ขุนนางใหญ่ทั้งหลายของเขา พระโอรสของเขา ต่างก็คิดจะใช้วิธีการนี้ต่อไป
“เป็การได้รับมาแล้วตอบแทนไปตามธรรมเนียมมารยาทที่ดีเยี่ยม” รอยยิ้มเต็มสายพระเนตรของจ้าวหนิงฮ่องเต้ “เช่นนั้นวันเกิดของเจิ้น เ้าต้องจดจำไว้ว่าต้องมอบของขวัญให้เจิ้น รอให้ถึงวันเกิดของเ้า เจิ้นค่อยปฏิบัติต่อเ้าด้วยการได้รับมาแล้วตอบแทนไปตามธรรมเนียมมารยาท”
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
“พวกเ้ากลับไปเถิด” จ้าวหนิงฮ่องเต้โบกไม้โบกมือ “สำหรับเื่ขั้นตอนในงานวันเกิดของเจิ้น พวกเ้าทำรายงานอย่างละเอียดมาคนละหนึ่งชุดส่งขึ้นมา”
“ลูกน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่ลั่วออกมาพร้อมกับบรรดาพระโอรสทั้งหลาย องค์ชายใหญ่และองค์ชายรองนั้นเดินค่อนข้างเร็ว องค์ชายสามโอบไหล่ของกู้จวิ้นเฉิน “น้องสี่ ไปดื่มด้วยกันสักจอกเป็เช่นใด?”
กู้จวิ้นเฉินปลดแขนขององค์ชายสามออก พูดอย่างเรียบเฉยว่า “พี่สามก็รู้ว่าข้าสุขภาพอ่อนแอ อยู่ได้ไม่เกินยี่สิบปี”
องค์ชายสามรู้สึกทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง “เป็ความผิดของพี่เอง น้องสี่อย่าได้ถือสา เช่นนั้นพี่ไปก่อนละ”
ฉีอ๋องกู้จวิ้นเฉินอยู่ได้ไม่เกินอายุยี่สิบปี เป็หมอเทวดา เมิ่งเต๋อหลาง ที่พูดเอาไว้เมื่อหกปีก่อน เมื่อหกปีก่อนบรรดาพระโอรสก่อฏ กู้จวิ้นเฉินต้องพิษ ต่อมาหลี่ซวี่ระดมกำลังเร่งเดินทางกลับมาจากซีเป่ย ทั้งกองทัพเร่งเดินทางมาทั้งคืน ทุกคนควบม้าศึกวัยหนุ่มโดยเฉลี่ยคนละห้าตัวจึงจะสามารถเร่งกลับมาเมืองหลวงได้อย่างทันท่วงทีและพลิกสถานการณ์ทั้งหมด ทว่ามาไม่ทันสกัดการต้องพิษของกู้จวิ้นเฉิน
และเมื่อแรกเริ่มนั้น ไม่มีผู้ใดรู้ว่ากู้จวิ้นเฉินต้องพิษแล้ว พิษในร่างของกู้จวิ้นเฉินผ่านระยะเวลาไปได้่หนึ่งจึงกำเริบขึ้นมา แต่เมื่อนั้นพิษในร่างกายของเขาก็ได้แพร่ลึกลงไปในร่างกายแล้ว เมิ่งเต๋อหลางทุ่มเทกำลังกายและกำลังใจอย่างหนักเพื่อที่จะทำการควบคุมพิษในร่างของกู้จวิ้นเฉิน จากนั้นจึงได้ปรุงยาสำหรับควบคุมพิษเอาไว้ ทว่าตัวยานั้นมีอยู่อย่างจำกัด ใช้รักษากู้จวิ้นเฉินได้แค่ยี่สิบปีเท่านั้น
มีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินยี่สิบปีหรือ?
หลี่ลั่วได้ยินคำพูดของกู้จวิ้นเฉิน อดที่จะหันไปมองเขาไม่ได้
รับรู้ได้ถึงสายตาที่มองมา กู้จวิ้นเฉินจึงหันกลับมา สายตาลึกซึ้งที่มองผ่านความเ็ามานั้น เห็นว่าในแววตาของเด็กน้อยไม่ได้มีความเห็นอกเห็นใจ และไม่ได้มีความเสียดาย มีเพียงความประหลาดใจ ประหลาดใจที่คนคนหนึ่งจะมีอายุได้ไม่เกินยี่สิบปีเช่นนั้นหรือ? เขาดึงสายตากลับมา กู้จวิ้นเฉินขึ้นรถม้าไปแล้ว ผู้ที่สามารถนั่งรถม้าในเขตพระราชวังได้ แน่นอนว่าย่อมต้องเป็ถึงฉีอ๋องผู้สูงศักดิ์