บทที่ 52 คนเสเพลเกเร
เจียงหยวนจวิ้นรีบพูดขึ้นมาทันทีว่า “ที่แท้ เป็ผู้บังคับใช้กฎหมายของหอบังคับใช้กฎหมาย ผู้เฒ่าติงหย่งไท่นี่เอง ข้าน้อยเจียงหยวนจวิ้นจากตระกูลเจียงทิศตะวันออก ขอให้ผู้เฒ่าติงไว้หน้าข้าด้วย และช่วยหยุดยั้งผู้ร้ายไร้ยางอายที่มาดูถูกตระกูลเจียงของข้า แล้วข้าจะมีรางวัลตอบแทนให้ภายหลังอย่างงาม!”
ติงหย่งไท่กลับไม่ออกความเห็นแต่หันไปสอบถามลู่อวี่ว่า “ไม่ทราบว่าคุณชายท่านนี้มีชื่อแซ่ว่าอะไร ข้าผู้บังคับใช้กฎหมายของหอบังคับใช้กฎหมายเมืองเสวียนจ้ง ติงหย่งไท่!”
ในเมื่อผู้อื่น ปฏิบัติต่อกันด้วยความสุภาพ ลู่อวี่จะทำเป็เย่อหยิ่งเกินไปไม่ได้ เขาหันกลับมาแล้วพูดว่า “ลู่อวี่ขอคารวะผู้เฒ่าติง! เชื่อว่าท่านคงจะตัดสิน โดยไม่ทำให้ข้าน้อยผิดหวัง!”
“หืม? ลู่อวี่ นายน้อยตระกูลลู่ เป็เขาจริงด้วย? มิน่าเล่า มิน่าเล่า!”
“ฮะ คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้นายน้อยรองตระกูลเจียง จะเตะโดนแผ่นเหล็กเข้าให้แล้ว แม้สถานะของเขาจะไม่ได้อ่อนแอ แต่ลู่อวี่ไม่เพียงแต่เป็นายน้อยตระกูลลู่ แต่เป็ถึงคนปรุงโอสถขั้นห้าเชียวเล่า คนปรุงโอสถขั้นห้าที่ยังอายุไม่ถึงยี่สิบปี นี่มันสถานะอะไรกัน ไม่ว่าอย่างไรตระกูลเจียง ก็ไม่อาจไปทำให้ขุ่นเคืองใจได้”
“ได้ยินมาว่า ข้างกายลู่อวี่มีจอมเทพขั้นเกิดเทพเ้าคอยปกป้องอยู่ ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ!”
“ใช่จริงด้วย ได้ยินว่าเขาคนนั้นไม่เพียงแต่เป็จอมเทพขั้นเกิดเทพเ้าธรรมดาเท่านั้น เดิมทีเหมือนจะเป็จอมเทพขั้นหวนสู่สัจธรรมผู้หนึ่ง แต่เพราะโดนพิษมาเป็ร้อยปี ทำให้สูญเสียพลังยุทธ์ ความจริงกลับเข้าใกล้ความตายแล้ว แต่กลับถูกนายน้อยลู่ช่วยชีวิตกลับมาได้ จึงรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจ ถึงได้เลือกอยู่ข้างกายเขา”
“มีเื่เช่นนี้ด้วยหรือ หากพูดแบบนี้ ก็หมายความว่า จอมเทพขั้นเกิดเทพเ้าผู้นั้นก็น่าจะอยู่ใกล้ๆ นี้?”
เสียงวิจารณ์พึมพำในร้านอาหารนี้ ติงหย่งไท่ได้ยินอย่างชัดเจน อันที่จริงเขารู้ดีกว่าคนเหล่านี้ด้วยซ้ำ และรู้ว่าจอมเทพขั้นกำเนิดเทพเ้าที่อยู่ข้างกายของลู่อวี่ผู้นั้น แท้จริงแล้ว คือจอมเทพขั้นหวนสู่สัจธรรม ตู้เสวียนเฉิงเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ก็อดที่จะรู้สึกยินดีเงียบๆ ไม่ได้ และพูดขึ้นทันทีว่า “ในเมื่อเป็ความเข้าใจผิดกัน เช่นนั้นก็ต่างคนต่างแยกย้ายกันดีหรือไม่!” เมื่อพูดจบ เขาก็หันไปหาเจียงหยวนจวิ้นแล้วพูดว่า “คิดว่านายน้อยรองตระกูลเจียง ก็คงจะใจร้อนไปเช่นเดียวกันใช่หรือไม่!”
นี่เป็การไว้หน้ากันแล้ว แม้ว่าเจียงหยวนจวิ้นจะไม่เต็มใจเพียงใด แต่ก็รู้ว่าเขาไม่สามารถทำอะไรกับลู่อวี่ได้ หลังจากได้ยินเสียงวิจารณ์เมื่อสักครู่นี้ ทำได้เพียงส่งเสียงไม่พอใจ และไม่สนใจติงหย่งไท่ จ้องมองทุกคนด้วยสายตาฉายแววประหลาดใจ พร้อมทั้งพาคนของตัวเองเดินลงอาคารไปในทันที รู้สึกเพียงว่าใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าว และคับแค้นใจยิ่งนัก สาบานว่าจะเอาคืนให้ได้
เมื่อติงหย่งไท่เห็นว่าเจียงหยวนจวิ้นไปแล้ว ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก เขากลัวว่าทั้งสองจะขัดแย้งกัน เมื่อถึงเวลานั้น ไม่ว่าผู้ใดจะชนะหรือแพ้ ต่างไม่เป็ประโยชน์ใดๆ กับเขา
“ตอนนี้ในเมื่อเื่จบลงแล้ว ข้าไม่รบกวนคุณชายลู่แล้ว ขอตัวก่อน!” หลังจากที่ติงหย่งไท่พูดจบ เขาก็ประสานมือโค้งตัวให้ จากนั้นก็บินหายวับไปกลางอากาศทันที
กฎในเมืองเสวียนจ้ง ผู้ที่มีพลังยุทธ์ขั้นต่ำกว่าขั้นตงซวน จะไม่ได้รับอนุญาตให้บินบนฟ้า อันที่จริง ยกเว้นตระกูลหลินเอง คนส่วนใหญ่ที่มาที่นี่ แม้แต่นักพรตที่อยู่ขั้นตงซวน ก็น้อยมากที่จะเหาะเหินบินไปมาในเมือง เพื่อแสดงความเคารพต่อตระกูลหลิน
ในเวลานี้เมื่อถูกเจียงหยวนจวิ้นรบกวน ลู่อวี่ก็เสียอารมณ์ไม่น้อย จึงขอห้องส่วนตัวในหอจุ้ยเซียนและอยู่พูดคุยกับหยางเซิ่นเฉิงสักพัก เพื่อสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ในเมือง จากนั้นก็มอบเซียนหยกสิบเม็ดให้เขา แล้วให้เขากลับไปได้
หลังจากนั้นหลายวันต่อมา นอกจากดื่มสุราอยู่ในหอจุ้ยเซียนทุกวัน ลู่อวี่ก็เอาแต่ฝึกฝนเท่านั้น แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้ยินเสียงพิณของแม่นางซูซินผู้ลึกลับอีกเลย
สามวันต่อมา นอกประตูเมืองชั้นใน นายน้อยรองตระกูลหลิน หลินเฟิง กำลังต้อนรับผู้มาเยือนพร้อมกับหัวหน้าผู้รับใช้ในตระกูล
พิธีคารวะรับศิษย์ครั้งนี้ของตระกูลหลิน ถือได้ว่าโด่งดังไปทั่วเทียนตู และด้วยเหตุผลบางประการ ตระกูลหลินก็ตั้งใจทำให้พิธีนี้ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่จะเป็ไปได้ เพื่อไม่ให้มีผู้ใดกล้าจับผิด ดังนั้นคำเชิญจึงถูกส่งไปทั่วสารทิศ และยังส่งลูกชายคนที่สองของตระกูลไปต้อนรับอยู่ที่ประตูด้วย
ทันใดนั้นหลินเฟิงก็สังเกตเห็นคนผู้หนึ่งเดินมาไม่ไกลนัก ก็อดหรี่ตามองไม่ได้ และแอบคิดในใจว่า เขามาได้อย่างไร? แต่แล้วรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า มองลู่อวี่ที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ๆ หัวเราะชอบใจและพูดว่า “เมื่อหลายวันก่อนได้ข่าวว่าสหายลู่มาที่เมืองเสวียนจ้ง เสียใจที่ไม่สามารถทำหน้าที่เป็เ้าบ้านที่ดีต้อนรับแขกผู้มาเยือนได้ วันนี้มาที่นี่แล้ว หากไม่เมาไม่กลับ!”
ลู่อวี่ประสานมือคำนับยิ้มและตอบกลับไปว่า “ตราบใดที่สหายหลินไม่ปฏิบัติต่อข้าในฐานะแขกที่ไม่ได้รับเชิญ ลู่อวี่ก็รู้สึกขอบคุณอย่างยิ่งแล้ว!”
แม้ว่าเมื่อวานนี้ลู่อวี่จะไม่ได้คุยกับหยางเซิ่นเฉิงเป็เวลานาน แต่ก็ยังพอรู้ว่าตระกูลเจียงกับตระกูลหลินมีมิตรภาพที่ดีต่อกันมาโดยตลอด และเื่ความขัดแย้งระหว่าง เขากับลูกชายคนรองของตระกูลเจียงเมื่อวานนี้ คิดว่าพวกเขาก็คงรู้ดีอยู่แก่ใจ
เมื่อหลินเฟิงได้ยินเช่นนี้ ก็พูดต่อทันทีว่า “ได้อย่างไรกัน รีบเข้ามาเร็ว!” ขณะที่พูดก็ขยิบตาส่งสัญญาณให้หัวหน้าผู้รับใช้ในตระกูลที่อยู่ข้างๆ บอกให้เขาเข้าไปจัดเตรียมการก่อน เพราะก่อนหน้านี้ ไม่เคยส่งคำเชิญถึงลู่อวี่ ดังนั้นจึงไม่มีการเตรียมที่นั่งไว้ให้เขา ตอนนี้ในเมื่อมาแล้ว ก็คงทำเป็ละเลยไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายไม่ได้เป็เพียงนายน้อยของตระกูลลู่เท่านั้น แต่ยังเป็ถึงคนปรุงโอสถขั้นห้าด้วย ในเวลาเดียวกัน อาจมีจอมเทพขั้นเกิดเทพเ้าแอบปกป้องอยู่ด้วย ไม่ว่าตระกูลหลินจะป่าเถื่อนเพียงใด ก็คงไม่ปล่อยให้ลู่อวี่หาที่นั่งเองด้านนอกแน่
ลู่อวี่เมินคำนั้น แสร้งทำเป็ไม่ได้ยินหลินเฟิง ประสานมือโค้งคำนับเล็กน้อย แล้วเดินตรงเข้าไปด้านใน
แม้ว่าตระกูลหลินจะเตรียมพิธีคารวะรับศิษย์นี้ไว้แล้ว แต่จำนวนคนที่มาก็เกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ หลายคนที่มีสถานะไม่ธรรมดาก็มาที่นี่เช่นเดียวกับลู่อวี่ โชคดีที่ตระกูลหลินมีขนาดกว้างขวาง เพียงพอทั้งภายในและภายนอก และจัดการเตรียมสถานที่ตามฐานะพลังยุทธ์คนที่มาได้อย่างเหมาะสม
ลู่อวี่เดินตามคนรับใช้ของตระกูลหลินไปยังห้องโถงกว้าง ทันทีที่เข้าประตูมา ก็มีพรมแดงประมาณสามสิบหรือสี่สิบเมตรปูตามทางเดิน มีโต๊ะหยกสามแถวตั้งเรียงอยู่ทั้งสองข้างทาง แถวแรกมีโต๊ะสามสิบโต๊ะ แถวที่สองมีสี่สิบโต๊ะ แถวที่สามมีห้าสิบโต๊ะ ทั้งหมดภายในห้องโถงมีโต๊ะไม่ถึงสามร้อยโต๊ะดี
ในเวลานี้ ห้องโถงส่วนใหญ่มีคนนั่งเต็มกว่าครึ่งแล้ว แต่ส่วนใหญ่จะนั่งอยู่ในแถวที่สองและสาม เห็นได้ชัดว่าจะต้องเป็ผู้ที่มีฐานะทางสังคมแน่นอน แต่ก็ยังไม่มากพอให้ไปอยู่ในแถวแรก
ในนั้นยังมีหญิงรับใช้ที่รูปร่างอรชร หน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียวในชุดขาวจำนวนมากคอยรับส่งไปมา เมื่อพิจารณาจากรัศมีพวกเขา ก็น่าจะเป็นักพรตที่มีพลังยุทธ์อย่างน้อยขั้นเข้าสู่ประตูแห่งธรรม
เมื่อลู่อวี่เข้ามาในเวลานี้ ก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมายทันที
คนที่อายุน้อยอย่างลู่อวี่ที่สามารถเข้าไปในห้องโถงนี้ได้ น่าจะมีสถานะที่ไม่ธรรมดา แต่กลับไม่มีองครักษ์ติดตามหลังมาแม้แต่ผู้เดียว มันทำให้ผู้คนแปลกใจไม่น้อย
เวลานี้ ผู้ดูแลคนหนึ่งของตระกูลหลินก็รีบวิ่งเข้ามา “คุณชายลู่ โปรดตามข้าน้อยมา ที่นั่งของท่านอยู่ทางนี้!”
เด็กรับใช้ที่ได้รับคำสั่งจากหัวหน้าผู้รับใช้ของตระกูลหลิน ก็รีบเข้าไปนำทางและจัดที่นั่งให้ลู่อวี่ในแถวแรกทางซ้ายมือ ก่อนหน้านั้นคนที่มาถึง ยังไม่มีใครมานั่งในแถวแรกทั้งทางซ้ายและทางขวา จึงกลายเป็ว่า เขาเป็คนแรกที่มาถึง
“พิธียังไม่เริ่ม คุณชายลิ้มรสสุราเลิศรสไปก่อน หาก้าสิ่งใด ให้เรียกสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ ท่านได้ ข้าน้อยขอตัวก่อน!” หลังจากที่พ่อบ้านคนนั้นจัดการตระเตรียมที่ทางให้ลู่อวี่แล้ว ก็กล่าวอย่างสุภาพไม่กี่คำ แล้วขอตัวออกไปทันที เห็นได้ชัดว่ายุ่งมากจริงๆ
“เด็กหนุ่มผู้นี้มีฐานะทางสังคมเช่นไรกัน ถึงได้มานั่งแถวหน้าได้เช่นนี้น่ะ คงจะไม่ใช่นายน้อยจากหนึ่งในเจ็ดตระกูลใหญ่ใช่หรือไม่?”
“แม้ว่าจะไม่ใช่ แต่สถานะก็ไม่น่าจะต่างไปมาก!”
“ด้อยประสบการณ์เสียจริง นี่คือลู่อวี่ นายน้อยของตระกูลลู่จากเทียนอวิ๋น คนปรุงโอสถขั้นห้าที่อายุน้อยที่สุดในโลกการบำเพ็ญเพียรของเทียนตู นั่งอยู่ในตำแหน่งที่สามจากด้านซ้าย ก็ไม่นับว่าเกินไป! งานนี้เป็เพียงต้อนรับเด็กผู้หญิงอายุสิบสองปีเข้าพิธีคารวะรับศิษย์เท่านั้น แต่ละตระกูลและสำนักที่มีอำนาจต่างๆ ส่งคนมาก็คงไม่ได้มีสถานะสูงส่ง ให้มาเป็เพียงสักขีพยานเท่านั้น!”
ที่แท้เป็เขานี่เอง ได้ยินว่าเมื่อวานนี้ เขาและลูกชายคนรองของตระกูลเจียงต่อสู้กันที่หอจุ้ยเซียน เพื่อแย่งชิงสตรีงามผู้หนึ่ง เป็เื่จริงหรือ? ได้ยินมาว่าหนึ่งในทหารองครักษ์ของนายน้อยรองเจียงถูกฆ่าตาย นับว่าโหดร้ายจริงๆ!”
“คงไม่ใช่ เื่นี้ข้าได้ยินมาเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่านายน้อยลู่อวี่ล้อเลียนสาวงามที่นายน้อยรองของตระกูลเจียงสนใจ นายน้อยรองของตระกูลเจียงโกรธ จึงส่งคนมาถามไถ่ หลังจากนั้นถึงถูกนายน้อยตระกูลลู่สังหาร ไม่เสียแรงที่ได้ชื่อว่าเป็คนเสเพลอันดับหนึ่งในเทียนตูจริงๆ!”
“คุณชายลู่เป็ชายหนุ่มที่มีชื่อเสียงและสง่างาม หากจะหยอกเย้าสาวงามสักคนจะทำไม่ได้หรือ ด้วยสถานะปัจจุบันของเขา หากไม่คว้านางมาชมเชยในทันที ก็นับว่าได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดีจากตระกูลแล้ว! พวกเ้าคิดว่าคนเสเพลอันดับหนึ่งในเทียนตู มีเพียงชื่อหรืออย่างไร?”
ลู่อวี่นั่งฟังการสนทนาของคนเหล่านี้อยู่ด้านหน้า สุราที่เพิ่งดื่มเข้าปากก็เกือบจะพุ่งออกมา มันเป็เพียงเื่ซุบซิบไร้สาระเล็กๆ ให้ตายเถอะ นี่กระจายข่าวว่าเหตุการณ์เมื่อวานนี้ กลายเป็ทั้งเขาและนายน้อยรองของตระกูลเจียงชิงรักหักสวาทกันเสียอย่างนั้น? นี่เขาไม่สามารถกำจัดชื่อเสียงคนเสเพลจอมเ้าสำราญในเทียนตูไปได้เลยใช่หรือไม่?
แต่ลู่อวี่ก็ไม่สามารถโต้เถียงกับคนเหล่านี้ได้ เพราะส่วนใหญ่เป็เพียงข่าวลือเท่านั้น ได้แต่ส่ายหน้าอย่างจำใจและไม่เสียเวลากับเื่เหล่านี้ เทและดื่มสุราให้ตัวเองและเพลิดเพลินต่อไป
“ศิษย์พี่ลู่ ยังจำศิษย์น้องได้หรือไม่?” ในเวลานี้ เสียงพูดติดๆ ขัดๆ หนึ่งก็ดังขึ้นไม่ไกล มาจากด้านหลังเขา
ลู่อวี่หันกลับไปมอง และเห็นชายหนุ่มรูปร่างอ้วนท้วน อายุพอๆ กัน ไม่สูงมาก มีใบหน้ากลม หูใหญ่ และมีผิวพรรณที่ขาวใส สิ่งเดียวที่ไม่เข้ากันคือดวงตาคู่เล็ก แต่มีแววฉลาด และมีไหวพริบไม่น้อย ซึ่งทำให้คนดูแล้วรู้สึกเ้าเล่ห์อย่างไรชอบกล
ฮะ? ลู่อวี่ครุ่นคิดอยู่สักพัก และทันใดนั้นก็มีร่างหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว และถามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “ฟางหย่วน? เ้าอ้วนฟาง?”
เมื่อได้ยินคำพูดของลู่อวี่ ฟางหย่วนก็ดีใจไม่น้อย รีบวิ่งเข้ามาหาแล้วพูดอย่างดีใจว่า “นึกว่าพี่ลู่จะจำศิษย์น้องอย่างข้าไม่ได้เสียแล้ว ไม่ได้เจอกันมาห้าปี คิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่ลู่จะเปลี่ยนไปมากเช่นนี้ หากไม่ได้ยินจากผู้อื่น ศิษย์น้องคงจะไม่กล้ามาทำความรู้จักกับศิษย์พี่แล้ว!”
ฟางหย่วน เป็สหายในวัยเด็กของลู่อวี่ เขาเป็คนเสเพลและเกเรเช่นเดียวกัน แม้ว่าตระกูลของเขาจะไม่มีอำนาจเท่ากับตระกูลใหญ่ทั้งเจ็ด แต่ก็ยังถือว่าเป็ตระกูลที่ทรงอำนาจ ซึ่งเติบโตขึ้นใน่ร้อยปีที่ผ่านมา บิดาของเขาคือประมุขของตระกูลฟางนั่นเอง
“เ้ามาเองหรือ?” ลู่อวี่ตบที่นั่งข้างๆ แล้วใช้ให้เขานั่งลง เพราะอยู่ที่นี่เขาก็ไม่รู้จักคนมากนัก พอดีเลยจะได้คุยกับเ้าอ้วนผู้นี้ จำได้ว่าเ้าอ้วนผู้นี้เป็คนรอบรู้ที่สุด ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังเป็เช่นนั้นหรือไม่
เมื่อฟางหย่วนเห็นลู่อวี่ไม่ถือตัวเช่นนี้ ก็ซาบซึ้งใจไม่น้อย จึงนั่งลงทันที เขาหยิบจอกสุราที่วางอยู่ขึ้นมารินสุราให้ตัวเอง แล้วดื่มรวดเดียว จากนั้นก็กล่าวว่า “ไม่ใช่ๆ ตระกูลฟางของข้าได้รับบัตรเชิญ ตอนที่ท่านผู้เฒ่ามาข้าก็ร้องขอจะมาด้วยให้ได้! ศิษย์พี่ลู่ เหตุใดท่านถึงมาเข้าร่วมงานคารวะรับศิษย์ด้วยเล่า ท่านไม่น่าสนใจเื่พวกนี้ไม่ใช่หรือ!”
ลู่อวี่เองก็ชอบที่เขาเป็คนไม่ถือตัว จึงยิ้มและกล่าวว่า “ข้าได้ยินว่าจีชิงรั่วผู้นั้น มีพร์ไฟแท้จื่อเสวียน พอดีข้าว่างไม่มีอะไรทำ เช่นนั้นจึงขอมาดูเพราะมีข้อสงสัยบางประการ!”
“อืม ข้าก็อยากรู้เช่นกัน ครั้งแรกที่ได้ยินว่านางมีคนมีไฟแท้โดยกำเนิด โดยไม่ผ่านการฝึกบำเพ็ญเพียร หากเป็ข้าก็คงจะดี จะได้ไม่ต้องถูกผู้เฒ่าในตระกูลบีบบังคับให้ฝึกฝนทุกวัน! ได้ยินว่าสาวน้อยผู้นี้หน้าตาสะสวยยิ่งนัก ตระกูลหลินมีทีท่าว่าจะให้แต่งกับนายน้อยหลินเยวี่ยของตระกูลหลินด้วย!”