ที่ใดมีผู้คน ที่นั่นย่อมมีสังคมมนุษย์
ในหมู่บ้านตงผิงตระกูลซูเป็ครอบครัวระดับล่าง เป็คนแบบที่ชาวบ้านมักดูแคลน ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวสองสามีภรรยา แต่เป็เพราะพวกเขายากจนเกินไป ทางด้านบุตรสาวและบุตรชายทั้งสองคน บุตรสาวคนโตก็มีผลการเรียนแย่ บุตรชายคนเล็กขี้โรค ถ้าไม่นับเื่ความยากจน ก็ดูเหมือนไม่มีความหวังในชีวิต จึงไม่มีใครให้ความสนใจพวกเขามากนัก
ซูเจี้ยนจวินและเมิ่งเถียนเฟินเป็คนมีนิสัยสบายๆ และอดทนอดกลั้น แม้ว่าพวกเขาจะมองออก แต่นานวันเข้าก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
แต่หลายวันมานี้ สถานการณ์ต่างๆ เปลี่ยนไปมาก
ไม่ว่าจะเป็ตอนไปซื้อของที่ร้านค้า หรือแบกจอบไปทำนา เมื่อพบเพื่อนบ้านระหว่างทางพวกนั้นต่างก็เป็ฝ่ายทักทายพวกเขาก่อนแสดงท่าทีเกรงใจ หน้าตายิ้มแย้มมากกว่าเมื่อก่อนเสียอีก
ทั้งสองคนเข้าใจดีว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดจากสาเหตุใด
พวกเขาไม่มีความสามารถอะไรมาก แค่้าทำทุกอย่างเพื่อให้ซูอินได้รับสิ่งดีๆ
ซูเจี้ยนจวินเริ่มเป็กังวลมากขึ้นเื่ผลผลิตในนา เขารอเพียง่เวลาเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ดีในฤดูไม้ร่วงนี้ ขณะเดียวกันก็คอยสังเกตว่ามีบ้านใคร้าสร้างบ้านใหม่หรือไม่ เขาตั้งใจว่าปีนี้น่าจะมีเวลาว่างเยอะจากการทำนา จึงอยากหางานเสริมทำมากขึ้น หากเก็บเงินได้เร็วก็จะได้สร้างบ้านอิฐให้ครอบครัว
ส่วนเมิ่งเถียนเฟินเมื่อได้ผ่านงานรื่นเริงก็มีความสุข ริ้วรอยตรงหางตาลดลงทำให้เธอดูอ่อนเยาว์มากกว่าอายุจริง หลายวันมานี้เธอเปลี่ยนเมนูอาหารเพื่อทำของกินอร่อยๆ ให้บุตรสาว
ทางด้านซูอิน ใน่เวลาสั้นๆ ยังไม่เห็นผลชัดเจน ส่วนเด็กชายตัวน้อยที่คอยมีพี่สาวป้อนข้าวทำให้ร่าเริงสดใสมากขึ้นไม่น้อย จนใบหน้าเปล่งปลั่งมีเืฝาด ถึงแม้ใบหน้าเล็กๆ นั้นจะยังตอบอยู่ แต่สภาพตัวเหลืองก่อนหน้านี้หายไปแล้ว ตอนนี้เห็นเพียงความน่ารักที่แผ่กระจาย
ตระกูลซูทั้งสี่คนต่างอารมณ์ดี ไม่ต้องทำอะไรเป็พิเศษ บรรยากาศรอบตัวก็เต็มไปด้วยความสบายใจ
นี่คือสิ่งที่ซูอินพึงพอใจเป็ที่สุด
แม้ตระกูลหลิงจะมีเงิน กินและใช้แต่ของดีๆ แต่เธอใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลหลิงมาหลายปี มีชีวิตที่ถูกตีกรอบ ตอนเด็กๆ ที่ใช้ชีวิตในฐานะบุตรสาวแท้ๆ เพื่อให้เป็ที่โปรดปรานของบิดามารดา เธอต้องอดทนและประพฤติตัวดี เมื่อโตขึ้นใช้ชีวิตในฐานะบุตรบุญธรรม ทำให้เธอไม่เห็นคุณค่าในตนเอง คอยหวาดระแวงจากการสังเกตสีหน้าของผู้คน
แต่เมื่อมาอยู่กับตระกูลซู บิดามารดาแท้ๆ ของตนเองเป็คนสบายๆ และใส่ใจเธอมาก ซึ่งในบางครั้งก็คอยระมัดระวังเกี่ยวกับเธอ เมื่อสถานะเปลี่ยนไปทำให้เธอได้ใช้ชีวิตอย่างมีอิสระมากขึ้น
ส่วนเื่ไม่มีเงิน…เป็เพียงเื่ที่เกิดขึ้นชั่วคราว
หลังจากผลการสอบขึ้นมัธยมปลายออกไม่นาน เธอได้รับโทรศัพท์จากหลินเฉวียนอีกครั้ง เขากับหลิวชิ่งกั๋วเจอห้องอีกหลายชุดในหมู่สาม ถนนฟาง และรอให้เธอมาหารือ
ไม่กี่วันต่อมาเธอไปโรงเรียนเพื่อกรอกหนังสือยินยอมเข้าศึกษาต่อชั้นมัธยมปลาย วันนี้เป็เดียวกับวันที่ถ่ายคอลัมน์ประชาสัมพันธ์นักเรียนที่สอบได้อันดับหนึ่งของเมือง
เมื่อพูดถึงเื่กรอกหนังสือยินยอมเข้าเรียนต่อชั้นมัธยมปลาย นับั้แ่ที่ผลคะแนนออก โรงเรียนมัธยมปลายหลายแห่งได้ส่งตัวแทนมาที่บ้านของเธอ แสดงตัวเลขทุนการศึกษาที่แตกต่างกันออกไป มีโรงเรียนหนึ่งซึ่งเป็แหล่งรวมนักเรียนที่เรียนไม่เก่งได้มอบตัวเลขทุนการศึกษาที่น่าตื่นเต้นให้เธอ
แต่ซูอินปฏิเสธไปทั้งหมด
อย่างแรก การเข้าเรียนห้องโอลิมปิกคือสิ่งที่เธอปรารถนามาแต่ไหนแต่ไร
อย่างที่สอง ทุนการศึกษาเ่าั้น่าดึงดูดก็จริง แต่ยอดเงินในบัญชีตอนนี้ทำให้หัวใจของเธอสงบเหมือนน้ำนิ่ง ห้องเรียนโอลิมปิกมีชื่อเสียง นอกจากเป็จุดเริ่มต้นของแหล่งการศึกษาที่ดีแล้ว ที่นั่นยังมีพวกครูเก่งๆ ซึ่งมีค่ามากกว่าเงินหลายหมื่นหยวนเ่าั้ สิ่งที่เธอคาดหวังคือได้รับการศึกษาที่ดี สามปีหลังจากนี้เธอจะเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงให้ได้
เธอบอกในสิ่งที่คิดให้สองสามีภรรยาตระกูลหลิงได้รับรู้ และเคยหารือกับพวกเขาอย่างตรงไปตรงมา
เงินหลายหมื่นหยวนใน่ปี 2000 ต้นๆ นับว่าไม่น้อย เงินจำนวนนี้สามารถสร้างบ้านอิฐที่กว้างขวางและสว่างไสวเหมือนกับบ้านของคุณลุง หากจะบอกว่ามันไม่ดึงดูดใจสองสามีภรรยาตระกูลซูก็คงเป็ไปไม่ได้
ทว่าอันดับแรก ั้แ่อินอินเกิดมาพวกเขาไม่เคยเลี้ยงดู ถึงแม้เด็กสาวจะเรียกพวกเขาว่าพ่อแม่ แต่ในใจลึกๆ พวกเขาไม่มีอำนาจและความมั่นใจในการตัดสินใจเพื่อบุตรสาว อย่างที่สอง สามีภรรยาตระกูลซูเป็พ่อแม่ที่รักใคร่บุตรทั้งสอง สิ่งที่อินอินพูดก็มีเหตุผล เธอเรียนดีขนาดนี้ควรได้รับการสั่งสอนจากครูที่ดี
หลังจากได้ฟังและเงียบไปสักพัก เมิ่งเถียนเฟินเป็คนแรกที่แสดงท่าทีสนับสนุนและกล่าวว่าเธอมองการณ์ไกล ซูเจี้ยนจวินเป็คนพูดน้อยอยู่แล้ว เขาพยักหน้าเพื่อบอกความรู้สึก
ท่าทีตอบกลับของสองสามีภรรยาตระกูลซูทำให้ซูอินรู้สึกสบายใจมาก ถึงแม้เธอจะคิดไว้อย่างดีแล้ว แต่ถ้าบิดามารดาผู้มีความสัมพันธ์ทางสายเืไม่เห็นด้วย เธอก็ยังคงจะทำตามความคิดของตนเอง และไปกรอกหนังสือยินยอมเข้าศึกษาต่อ แต่การที่พวกเขาจะตอบรับหรือไม่ มันแสดงให้เห็นถึงทัศนคติที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
แม้การกระทำที่ตระกูลหลิงทำไว้กับเธอจะส่งผลให้เธอรู้สึกขุ่นเคือง “บิดามารดา”
แต่ในระยะนี้หลังจากกลับมาที่ชนบท ได้อยู่ด้วยกันทั้งเช้าเย็น การแสดงออกของสองสามีภรรยาตระกูลซูค่อยๆ ทำลายเกราะป้องกันของเธอ
ซูอินรู้สึกว่าหากทัศนคติที่เขาแสดงออกยังคงเป็เช่นนี้ต่อไป ไม่นานหลังจากนี้ซูอินอาจจะบอกพวกเขาเื่สินทรัพย์ที่มีอยู่ในชื่อของเธอ และพาพวกเขาไปสู่ชีวิตที่สบายขึ้นด้วยกัน
ออกกำลังกายยามเช้า อ่านหนังสือยามเช้า ได้รับประทานอาหารที่เมิ่งเถียนเฟินตั้งใจเปลี่ยนเมนูให้หลากหลายทั้งเช้า กลางวัน เย็น เล่นกับน้องชาย หากมีปัญหาระหว่างเรียนก็ไปถามลูกพี่ลูกน้องซูผิงให้ช่วยเหลือ…ซูอินใช้ชีวิตอยู่ที่หมู่บ้านตงผิงอย่างมีความสุข ไม่นานก็ถึงวันที่ต้องไปกรอกหนังสือยินยอมเข้าศึกษาต่อ
ครูใหญ่ก็ไม่ผิดคำพูด ส่งรถมารับเธอั้แ่เช้าตรู่
รถของโรงเรียนคือรถซานตาน่าหัวเหลี่ยมคันนั้น เป็รถที่อดีตครูใหญ่หลี่ใช้บรรจุปลาและกุ้งเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจนโดนซูอินแฉ รถถูกซื้อในนามของโรงเรียน หลังจากที่ครูใหญ่หลี่ถูกไล่ออก รถคันนี้จึงถูกส่งคืนให้กับโรงเรียน
ครูใหญ่คนใหม่ที่ขึ้นรับตำแหน่งใส่ใจด้านการศึกษา ทำงานด้วยจิตใจซื่อสัตย์มาเกินครึ่งชีวิต ถึงแม้บุญพาวาสนาส่งจนทำให้ได้มารับตำแหน่งครูใหญ่ แต่เขายังคงปั่นจักรยานโบราณของตนเองมาทำงานไปกลับเหมือนเดิม
รถคันนี้จึงกลายเป็รถที่เอาไว้ใช้สำหรับโรงเรียนจริงๆ สักที
รถยนต์ซานตาน่าแล่นมาจากหน้าปากทางเข้าหมู่บ้าน ผ่านเส้นทางเกือบทั้งหมู่บ้าน หลายวันมานี้มีคนมากมายมาแสดงความยินดีกับซูอิน รถหลายคันตรงมายังตระกูลซู ชาวบ้านเห็นสิ่งแปลกใหม่จนเคยชิน แต่แววตาที่แสดงออกยังคงเต็มไปด้วยความอิจฉา
“อันอัน อยากไปเที่ยวในเมืองกับพี่ไหม”
ซูอินอยากพาเด็กชายตัวน้อยไปด้วย พักที่โรงแรมสักคืน หาซื้อเสื้อผ้าใหม่และของเล่นให้เขา แน่นอนว่ารวมถึงหนังสือที่เหมาะกับการอ่านหนังสือยามเช้าของเขาด้วย
เด็กชายตัวน้อยยืนเกาะประตู มองพี่สาวที่วันนี้กลับมาแต่งตัวสวยอีกครั้ง แววตาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความปรารถนา แต่เนื่องจากถูกพาไปโรงพยาบาลมาหลายปีจึงส่งผลกระทบครั้งใหญ่ แน่นอนว่าความขี้ขลาดเอาชนะความปรารถนาเ่าั้จนหมดสิ้น เขามุ่ยปากพร้อมส่ายหน้า
“ไม่เอา!”
ทำไมน่ารักขนาดนี้นะ ทำให้ซูอินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
“ไม่พาไปฉีดยาหรอก จำพี่ฉิงฉิงที่ครั้งก่อนมาบ้านเราได้ไหม เธอคิดถึงน้องมากนะ เมื่อกี้พี่เพิ่งโทรศัพท์หาเธอ เธออยากพาน้องไปเที่ยวด้วย”
พี่สาวที่คึกคักราวกับไก่ตื่น ที่ชอบหยิกแก้มของเขาด้วยหน้าตาประหลาดน่ะหรือ
เด็กชายตัวน้อยรีบส่ายหน้าแรงๆ ราวกับป๋องแป๋ง แสดงอาการปฏิเสธอย่างชัดเจน
ซูอินจนใจ ครั้งก่อนก็เล่นกับอวี๋ฉิงสนุกดีไม่ใช่หรือ ก่อนกลับอวี๋ฉิงก็ดูมีความสุขด้วย แต่หากคิดอย่างถี่ถ้วน การเข้าเมืองของเธอครั้งนี้มีหลายอย่างที่ต้องทำ ไม่ว่าจะเป็เื่บ้าน เื่เงินบริจาคช่วยเหลือเด็กยากไร้ ทำให้เธอไม่มั่นใจว่าจะมีเวลาอยู่กับเด็กชายตัวน้อยหรือเปล่า
“ตกลง อันอันอยู่บ้านเป็เด็กดีนะ พี่ต้องเข้าเมืองสองสามวัน ถ้ากลับมาพี่จะเอาของขวัญมาฝาก"
สองสามวันเลยหรือ
เมื่อรู้แบบนี้ทำให้ซูอันชะงัก ในหัวของเด็กชายตัวน้อยเริ่มรู้สึกเสียใจที่ตอบไปเช่นนั้น พี่สาวคนนี้ดีมาก เป็คนดีที่สุดที่เขาเคยเจอั้แ่เกิดมา และไม่อยากแยกจากเธอเลย
ซูอินที่เดินพ้นประตูไปแล้วไม่ทันได้สังเกตเห็นแววตาอาลัยอาวรณ์ของเด็กชายตัวน้อย เธอเดินไปข้างบ้านเพื่อเรียกซูเล่อ วันนี้ซูเล่อจะเดินทางไปกรอกหนังสือยินยอมเข้าศึกษาต่อเช่นกัน โรงเรียนในตำบลที่เธอเรียนเป็ทางผ่าน ในรถมีที่ว่างพอดี ทำให้ซูเล่อสามารถเดินทางไปพร้อมกันได้
ก่อนหน้านี้ซูเล่อไม่ชอบหน้าซูอิน ตอนนี้ต้องมาใช้อภิสิทธิ์ของซูอินทำให้เธอแอบรู้สึกไม่ค่อยดี แต่ความปรารถนาที่จะได้นั่งรถยนต์ก็เอาชนะความรู้สึก ขึ้นรถแล้วซูเล่อก็หยิบแอปเปิลออกมาจากกระเป๋าลูกหนึ่ง
“แม่ฉันให้เอามาให้”
ซูอินรับมา แอปเปิลลูกนั้นทั้งใหญ่และแดง รูปร่างได้สัดส่วน ผิวเงาสวย แค่เห็นก็รู้ว่ามันต้องถูกคัดเลือกมาเป็พิเศษ เมื่อกวาดสายตาดู มันดีกว่าลูกที่ซูเล่อกำลังกัดอยู่เสียอีก
หลังจากประกาศคะแนนสอบ ลูกพี่ลูกน้องคนนี้ก็เปลี่ยนไป ซึ่งซูอินสังเกตเห็น
อีกฝ่ายเป็คนปากแข็ง
ซูอินยิ้ม ไม่คิดจะซักไซ้และเอ่ยออกไปอย่างมีความสุข “ขอบคุณพี่เล่อเล่อ”
ซูเล่อชะงัก จู่ๆ ในใจก็รู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย