นางโกรธจนใบหน้าเปลี่ยนสีคล้ายสีตับหมู ชี้นิ้วไปทางหลิวซุนซื่อก่อนจะก่นด่าว่า “ดี นางคนไร้ยางอาย ขโมยไข่ของข้าแล้วยังไม่ยอมรับ ฮึ คิดว่าตัวเองยังเป็คนของตระกูลซุนหรือ ขากถุย การแต่งออกเรือนมาก็เหมือนการสาดน้ำออกไป เ้ามีปัญญาก็กลับไปสิ? เ้าคิดว่าคนที่ขายหน้าคือบ้านตระกูลหลิวของข้าหรือ เปล่าเลย เป็การขายขี้หน้าตระกูลซุนของเ้ามากกว่า ดูสิว่าพ่อของเ้าจะหักขาเ้าหรือไม่?”
เมื่อรู้สึกว่าด่าแล้วยังไม่สาแก่ใจ จึงเอ่ยอีก “มาเป็สะใภ้แซ่หลิว เ้าคิดอยากจะไปก็ไปเช่นนั้นหรือ? ได้ ข้าจะให้คนไปเรียกเหรินกุ้ยมา ถึงอย่างไรแยกทางกับเ้า เขาก็สามารถหาคนที่ดีกว่าได้”
จะว่าไป วิธีการที่หลิวฉีซื่อใช้จัดการลูกสะใภ้ก็ไม่ธรรมดาทีเดียว ดังนั้น ลูกสะใภ้ในบ้านจึงไม่มีใครกล้าทำเื่ราวให้ใหญ่โต
หลิวซุนซื่อได้แต่เอ่ยในใจ ไม่ต้องพูดถึงเื่หลังจากแยกทาง พ่อจะตีนางจนตายหรือไม่ ลำพังแค่เอ่ยถึงหลิวเหรินกุ้ยที่ตอนนี้ได้เป็เหรัญญิกในโรงเตี๊ยมชั้นสูง มีหน้ามีตาในตำบล แค่นี้ก็มีพวกผู้หญิงหน้าไม่อายจับจ้องเขาอยู่แล้ว
จะปล่อยให้ผู้หญิงแพศยาเ่าั้มานอนกับสามีตนเอง ทุบตีลูกๆ และอาศัยอยู่ในบ้าน พร้อมกับใช้เงินของบ้านตนได้หรือ?
หลิวซุนซื่อรีบเปลี่ยนสีหน้าเป็ยิ้มแย้มในพริบตา แล้วเอ่ยอย่างประจบประแจง “ท่านแม่ ข้าก็แค่พูดไปตามอารมณ์ ลูกสะใภ้หรือจะทำเื่เช่นนั้นได้ จูเอ๋อร์ จือเอ๋อร์และเป่าเอ๋อร์ของเราเป็พวกกินยาก ลำพังหมูหมักแห้งบนโต๊ะ เด็กๆ ยังรังเกียจเลย แม่คิดดูสิ เหรินกุ้ยเป็ถึงเหรัญญิกในโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในตำบล ในบ้านไม่ได้ขาดแคลนของเหล่านี้เสียหน่อย ไม่ใช่หรอกหรือ?”
ไม่ขาดแคลนหรือ? ไม่ขาดแคลนแล้วทำไมทุกคราที่กลับมาก็มาเอาข้าวสาร ไก่หรือไข่ไก่กลับไปด้วยเสียทุกที
แต่หลิวฉีซื่อก็มีความคิดเป็ของตนเอง นางคิดว่าคําพูดของหลิวซุนซื่อนั้นถูกต้อง เพราะหลิวจื้อไฉหรือหลิวจื้อเป่าก็ใช่ว่าจะไม่เคยได้กินไข่ไก่
“ท่านแม่ ลองคิดู บ้านเราใครเล่าที่จะกล้าทำเื่ลักเล็กขโมยน้อยเช่นนี้ได้?” หลิวซุนซื่อไม่มีทางยอมรับว่าตนเองเป็คนขโมยไข่
ทั้งที่จริงแล้วนางเป็คนทำ เหตุผลคือลูกสาวตัวน้อย้าซื้อที่ประดับผมมาใส่ และไข่สี่ฟองสามารถแลกเป็เงินได้หกอีแปะ หลิวซุนซื่อจึงขโมยไปเพื่อซื้อดอกไม้ให้หลิวจูเอ๋อร์ได้สองพวง กับขนมต่าไป๋ถัง [1] ให้เด็กทั้งสามคน
ต่าไป๋ถังคือของว่างที่ผสมข้าวเหนียวกับแปะแซจีน มีรสชาติของกลิ่นขิงและข้าวเหนียวเล็กน้อย อร่อยอย่างยิ่ง
ไม่ใช่แค่เด็กสามคนที่ชอบกิน แม้แต่หลิวซุนซื่อเองก็ชอบเช่นกัน
“ใคร? นอกจากเ้าแล้วยังมีใครอีก?” หลิวฉีซื่อหวั่นไหว แต่ปากก็ยังไม่หยุดว่าร้าย
ดวงตาของหลิวซุนซื่อไหวไปมา แล้วเริ่มพูดปด “ก็ต้องเป็นางเด็กเต้าเซียงน่ะสิ ท่านแม่ คิดดู กุ้ยฮัวไม่ได้มีเงินสินสอดมา ยากจนอย่างกับอะไรดี ส่วนซานกุ้ยได้เงินมาก็ตกอยู่ในมือท่านแม่หมด หากบ้านนางอยากกินอะไร ย่อมไม่มีเงินซื้ออยู่แล้ว แม่ ท่านไม่เห็นหรือว่า่นี้นางเด็กสองคนนั้นดูดีขึ้นมาไม่น้อย?”
จริงตามนั้น สองพี่น้องได้กินไข่หรือไม่ก็น้ำตาลแดงต้มพุทราจีน ทำให้มีเืฝาดขึ้นมาบ้าง สภาพจึงดูดีขึ้นมาไม่น้อย
เดิมทีหลิวฉีซื่อเพียงแค่หวั่นไหว นางรู้ว่าสะใภ้รองชอบพูดปด แต่ตอนนี้พอมาลองคิดดูดีๆ ก็รู้สึกว่าสะใภ้รองพูดมีเหตุผล
“เ้าเห็นเช่นนั้นหรือ?”
หลิวซุนซื่ออยากจะโกหกว่านางเห็น แต่พอคิดดู หากนางเห็นจริงแล้วเหตุใดจึงไม่เข้าไปห้าม กระนั้นนางจึงเปลี่ยนคำพูดเป็ว่า “ท่านแม่ คราวที่แล้วั้แ่เต้าเซียงศีรษะกระแทก ข้าอยากไปเยี่ยมดูนาง แต่คิดไม่ถึงว่านางเด็กชิวเซียงจะมาขวางประตูไว้ ยืนกรานไม่ให้ข้าเข้าไป ข้าก็เริ่มสงสัยั้แ่ตอนนั้น พอผลักประตูเข้าไป ถึงแม้ไม่เห็นไข่ แต่ว่า…”
นางพูดออกมากึ่งจริงกึ่งเท็จ หลิวฉีซื่อเองก็พอคาดเดาได้ จึงเอ่ยถาม “แต่ว่าอะไร เ้ารีบบอกมานะ! เ้าพวกพันธุ์ทางนี่นับวันยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่”
พวกพันธุ์ทาง? หลิวซุนซื่อแอบเบ้ปาก อย่างน้อยก็ตระกูลหลิวเหมือนกันไม่ใช่หรือ!
“ท่านแม่ ข้าไม่เห็นด้วยตาตัวเอง เพียงแต่ได้กลิ่นภายในห้อง ตอนนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก แต่พอลองคิดอย่างละเอียด เหมือนเป็กลิ่นไข่ต้ม”
“ได้กลิ่นจริงๆ หรือ?” ดวงตาของหลิวฉีซื่อเต็มไปด้วยความเกลียดชัง แววตาคู่นั้นแทบอยากจะบีบคอคนที่ขโมยไข่ให้ตาย
หลิวซุนซื่อตบหน้าอกตนเองเป็การยืนยัน
หลิวฉีซื่อผลักนางไปด้านข้างแล้วกัดฟันเอ่ย “โง่จะตายชัก เหตุใดจึงไม่เรียกข้าั้แ่ตอนนั้น? ดูสิว่าข้าจะจัดการนางตัวดีสองตัวนั่นอย่างไร สู่ขอเ้ามาได้ประโยชน์อันใด?”
พูดเสร็จก็ยังไม่คลายความโมโห นางมองดูหลิวซุนซื่อที่ยังตีหน้าตายอยู่ข้างๆ พอมาคิดดูแล้วสะใภ้คนนี้มีฐานะทางบ้านดี หากว่าแยกทางกับบุตรชายคนรองของตนจริงก็คงมีทางแต่งออกไปได้อีก ท้ายสุดแล้วหลิวฉีซื่อจึงทำได้เพียงแผดเสียงด่า “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก ไปเรียกนางเด็กตะกละสองตัวนั่นมานี่”
หากแต่หลิวซุนซื่อนึกเกรงกลัวหลิวเต้าเซียงจากก้นบึ้ง เพราะนั่นคือเด็กที่ไม่สนแม้กระทั่งชีวิตของตัวเอง พอนึกถึงภาพที่นางถือมีดผ่าฟืนมาในวันนั้นก็ขนหัวลุก
“ท่านแม่ ถ้าเยี่ยงนั้นก็เท่ากับว่า กำลังบอกเด็กสองคนนั่นว่าข้าเป็คนบอกความลับไม่ใช่หรือ? คนโตไม่ว่า แต่นางคนรองนั่นเอาเื่ทีเดียว ราวกับลอกคราบ ท่านแม่ ลองคิดดู ตัวข้าน่ะไม่เท่าไร แต่ว่าจูเอ๋อร์ จือเอ๋อร์ และเป่าเอ๋อร์เล่า? ถ้าไม่สนใจคนโต ก็ต้องใส่ใจคนเล็กด้วย เป่าเอ๋อร์เพิ่งจะสี่ขวบ ยังเล็กมาก เกิดถูกนางเด็กชั่วนั่นทำร้าย จะให้ข้าอยู่ต่อไปได้อย่างไร?”
หลิวฉีซื่อโมโหจนจุกอก นางรู้ว่าพึ่งพาสะใภ้คนนี้ไม่ได้แม้แต่น้อย จึงหันหลังแล้วเดินออกไปทางห้องปีกฝั่งทิศตะวันตก
เนื่องจากทางทิศใต้ของปีกตะวันตกนั้นแบ่งให้หลิวซานกุ้ยแล้ว หลิวฉีซื่อจึงไม่เคยก้าวเข้าไปอีกเลย ทุกครั้งที่หลิวหวังกุ้ยหรือบุตรชายคนที่สี่กลับมา นางก็มักจะสั่งให้จางกุ้ยฮัวเข้าไปทำความสะอาดให้เรียบร้อย
“หลิวเต้าเซียง รีบไสหัวออกมานี่เดี๋ยวนี้”
ประตูห้องปีกทิศตะวันตกที่ปิดอยู่ถูกนางทุบเสียงดังปังๆ
หลิวชิวเซียงไม่รู้ว่าหลิวฉีซื่ออ้อมมาอยู่ด้านหลังั้แ่เมื่อไหร่ “ย่า น้องรองกินข้าวเช้าเสร็จก็ขึ้นเขาไปแล้ว นางบอกว่าต้องเก็บฟืนเยอะหน่อย ที่บ้านไม่ค่อยพอใช้ รอเมื่อฤดูฝนผ่านไป คิดว่าน่าจะมีคนขึ้นเขาไปเก็บฟืนเยอะ”
“ไม่อยู่บ้านหรือ?” ความโกรธของนางก็เหมือนพุ่งเข้าไปในกองฝ้าย นางจึงหันไปถลึงตาใส่หลิวซุนซื่อแทน
หลิวซุนซื่อรีบะโออกมาชี้หน้าด่าหลิวชิวเซียง “นางตัวดีนั่นคิดว่ารีบหนีออกไปแล้วจะหมดเื่สินะ ฮึ่ม ชิวเซียง รีบเอาไข่ของย่าออกมา อย่านึกว่าเ้าซ่อนไว้อย่างดีแล้วข้าจะไม่รู้นะ”
หลิวชิวเซียงไม่ใช่คนขี้ขลาดอย่างที่เคยเป็เมื่อนานมาแล้ว เมื่อมีหลิวเต้าเซียงที่คอยกล่อมอยู่ข้างหูทุกวัน ไฉนเลยจะเชื่อคำพูดของหลิวซุนซื่อ ยิ่งไปกว่านั้น ไข่ที่พวกนางกินก็ใหญ่กว่าไข่ทั่วไปเกือบครึ่ง ตีให้ตายนางก็ไม่เชื่อว่าหลิวเต้าเซียงไปขโมยของหลิวฉีซื่อมา
นางจำได้ว่าน้องรองเคยสอนไว้ว่า วิธีรับมือป้ารองที่ปากชอบพูดแต่ ‘การใส่ร้ายป้ายสี’ หลิวชิวเซียงยังไม่เข้าใจคำนี้ หลิวเต้าเซียงจึงบอกนางว่า หากหลิวซุนซื่อใส่ร้ายเื่ชั่วๆ บนตัวพวกนาง ก็ผลักไสเื่นี้กลับเข้าตัวป้ารองก็เพียงพอ
หลิวชิวเซียงนึกถึงที่หลิวจูเอ๋อร์มาอวดว่าได้กินขนมกับนางวันนั้น จึงเบะปาก แล้วเอ่ย “ป้ารอง ท่านต่างหากที่เป็คนเอาไข่ไป ฮึ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะ ป้ารองขโมยไข่ของย่าไปแลกขนมต่าไป๋ถัง อ้อ ใช่สิ ยังมีที่ประดับศีรษะด้วย ไม่ใช่แค่จูเอ๋อร์คนเดียวที่มี ชุ่ยฮัวเองก็ซื้อ บอกว่าได้มาจากพ่อค้าในหมู่บ้าน ป้าหลี่ซานเสิ่นก็เอาไข่ไปแลกมา”
“หน็อยแน่ นางขี้คร้านคนนี้ บังอาจกล้าปั่นหัวข้าหรือ? เห็นข้าเป็คนตายหรืออย่างไร นางตัวดี อยากโดนดีใช่หรือไม่ เ้า เ้า…” หลิวฉีซื่อกำลังจะจะทุบตีหลิวซุนซื่อ แต่ใครจะรู้ว่านางนั้นตัวลื่นเหมือนปลา พริบตาเดียวก็ดีดตัวหนีไปไกล
“ท่านแม่ ไม่ใช่ข้าจริงๆ นางบ้านั่นโกหกแม่” หลิวซุนซื่อยังคงพูดปด
หลิวฉีซื่อด่ากราดเสียงดังทันใด “พูดพล่ามอะไรกัน เ้ามันยิ่งกว่าถุงปัสสาวะหมู หน้าหนาอย่างกับอะไรดี คิดว่าข้าตาบอดหรือ ไม่เห็นต่าไป๋ถังในมือจูเอ๋อร์ ไม่เห็นที่ประดับศีรษะนางหรือ?”
เดิมทีนึกว่าหลิวซุนซื่อควักเงินของตนเอง ใครจะรู้ว่ากล้ามาเอาไข่ของนางไปแลกมา
หลิวชิวเซียงมองดูด้วยสายตาเ็า จริงตามคาด เชื่อคำพูดของน้องรอง ย่อมไม่ต้องถูกตี
หลังจากนั้น นางได้เล่าเื่นี้กับหลิวเต้าเซียงที่เก็บฟืนอยู่ หลิวเต้าเซียงยกยิ้มมุมปากบอกนาง คนในครอบครัวนี้น่ะไม่มีใครหยิบของใคร นอกจากหลิวซุนซื่อแล้ว ใครจะรู้ว่าหลิวฉีซื่อเก็บซ่อนไข่ไว้ที่ไหน?
หลิวชิวเซียงพลิกมุมคิด จริงด้วย แต่ก่อนตนเองนั้นซื่อเกินไป เพื่อไม่ต้องเป็เหมือนพ่อของตนจึงตัดสินใจว่าจะเชื่อฟังคำพูดของน้องรอง
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้หลิวฉีซื่อกำลังใช้ไม้กวาดวิ่งไล่ตามหลิวซุนซื่อไปทั่วบ้าน
“โอ๊ย!” มีเสียงดังจากที่หลังของคนเป็สะใภ้ หลิวฉีซื่อไล่ตามนางไม่ทันจึงขว้างไม้กวาดออกไป
หลิวชิวเซียงมองดูแล้วคันปาก เสียดายที่หลิวเต้าเซียงไม่อยู่บ้าน ไม่อย่างนั้นคงได้เห็นความสนุกสนานนี้ด้วย โชคดีที่น้องรองของตนนั้นฉลาดเฉลียว ทำให้หลิวซุนซื่อที่วันๆ เอาแต่พูดจาชั่วร้ายถูกตีเสียบ้าง
หลิวซุนซื่อรู้สึกถึงความปวดแสบปวดร้อนที่หลัง หันศีรษะมาและะโใส่หลิวฉีซื่อ “ท่านแม่ ก็แค่ไข่ไม่กี่ใบ ต้องทำถึงขั้นนี้เชียวหรือ? จือเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ไม่ใช่หลานแม่หรือ? เทียบกับไข่ไม่กี่ใบของแม่ไม่ได้เลยหรืออย่างไร?”
“นั่นมันเกี่ยวกับแค่ไข่ไม่กี่ใบที่ไหนกัน?” หลิวฉีซื่ออยากบอกว่า การไม่ขอก็คือการขโมย
ก่อนที่นางจะพูดต่อ หลิวซุนซื่อก็รีบขัดอย่างร้อนใจ “แน่นอนไม่ใช่แค่ไข่ไม่กี่ใบ แต่ในสายตาของแม่ จือเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ไม่ใช่หลานแท้ๆ ของแม่ ฮือๆ โชคดีที่บ้านแม่ข้ายังนึกถึงพวกข้ามาตลอด กลัวว่าเราและลูกๆ จะไม่ได้กินดี ทุกครั้งที่มาก็มักจะหิ้วเนื้อหมูมาด้วย ท่านแม่ เพราะในใจข้ามีท่าน ไม่อย่างนั้นข้ากลับไปอยู่บ้านแม่ไม่ดีกว่าหรือ ยังสามารถช่วยท่านประหยัดข้าวได้อีก”
หลิวฉีซื่อนึกสับสน หมายความว่าเยี่ยงไรกัน ตระกูลหลิวไม่ดีกับนางอย่างนั้นหรือ? อะไรคือกลับมาจากในเมืองก็อยากกลับบ้านของหลาน? ต่อไปจะมีลูกสะใภ้เล็กได้เยี่ยงไร? เ้าสี่อายุก็ถึงวัยแล้ว รอจนเขาร่ำเรียนกลับมาในปีหน้า ปีที่แล้วหลิวหวังกุ้ยก็เคยเข้าสอบ ทว่ายังสอบไม่ติดจอหงวน อาจารย์บอกว่าให้เขาลองดูก่อน ครั้งหน้าที่ไปสอบจะได้มีประสบการณ์
“นางคนไร้ยางอาย ถุย ขโมยก็คือขโมย นั่นคือสิ่งที่จะใช้แลกเกลือ เ้ายังกล้าปากดีพูดเช่นนั้นอีก!”
พ่อค้าในราชวงศ์โจวต้องมีใบอนุญาตขายเกลือที่ออกโดยรัฐบาล ผู้ใดที่ขายเกลือเป็การส่วนตัว หากถูกจับได้จะต้องถูกดำเนินการตามกฏหมายและรับโทษปะา
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่เพียงคนขายที่จะถูกปะา แต่คนซื้อเองก็จะต้องได้รับโทษด้วย
เกลือในราชวงศ์โจวนั้นแพงเป็พิเศษ หนึ่งร้อยอีแปะต่อครึ่งกิโลกรัม ดังนั้นถึงได้มีคำพูดของหลิวฉีซื่อที่บอกว่าต้องเก็บสะสมไข่เพื่อไปแลกกับเกลือ
“ท่านแม่ เกลือก็ต้องกิน แต่ไก่ก็ออกไข่ทุกวัน ให้จือเอ๋อร์ เป่าเอ๋อร์กินเล็กน้อยจะเป็ไรไป? ในเมื่อท่านแม่ไม่โปรดปราน ข้าจะพาลูกๆ กลับไปในเมืองเอง”
หลิวซุนซื่อนั้นอยู่บ้านแม่ถูกตามใจจนเคยชิน ไม่เคยคิดจะพึ่งพาตนเอง อะไรคือเื่คุณธรรมศีลธรรม นางเองก็ไม่เข้าใจถ่องแท้ แต่นางก็ยังพอฉลาดอยู่บ้าง รู้ว่าหลิวฉีซื่อไม่ยอมให้กลับไปในเมือง จึงอาศัยจังหวะเดินดุ่มๆ กลับไปทางห้องปีกตะวันออกด้านทิศเหนือ
-----
เชิงอรรถ
[1] ต่าไป๋ถัง รูปอ้างอิง