บทที่ 2: ดินแดนที่ไม่อาจหลีกหนี
สติของเย่ชีอินกลับมาสมบูรณ์อีกครั้งบนเกวียนที่โคลงเคลงไปมา ร่างกายที่บอบช้ำถูกโยนรวมกับเชลยหญิงคนอื่นๆ ที่รอดชีวิต บางคนยังคงสะอื้นไห้เงียบๆ บางคนนอนแน่นิ่งราวกับไร้ิญญา เสื้อผ้าเก่าๆ ของป้าเหว่ยที่คลุมกายอยู่ช่วยบดบังความอุจาด แต่ไม่อาจซ่อนเร้นความอัปยศอดสูที่เกาะกุมจิตใจได้
นางคือเมิ่งหรงซิน... ตัวประกันจากเผ่าซีเป่ยที่พ่ายแพ้า
สมองของนักธุรกิจสาวจากโลกอนาคตทำงานอย่างรวดเร็ว นางประเมินสถานการณ์ด้วยความเยือกเย็นที่ขัดกับสภาพร่างกายอันอ่อนแอ... การยอมจำนนไม่ใช่ทางเลือก เย่ชีอินไม่เคยยอมแพ้ต่อโชคชะตา และเมิ่งหรงซินในร่างนี้ก็จะไม่ยอมเช่นกัน!
ต้องหนี... ความคิดนั้นชัดเจนราวกับสลักลงในใจ
นางกวาดสายตามองไปรอบตัว ขบวนคาราวานเชลยทอดยาวไปบนผืนทรายสุดลูกหูลูกตา ทหารแคว้นหลัวหลิงคุมเข้มอยู่ทุกระยะ แต่แววตาของพวกมันส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและเบื่อหน่าย นี่อาจเป็ช่องโหว่เดียวที่นางมี
หัวใจของนางเต้นระรัว เมื่อเกวียนเคลื่อนผ่านแนวโขดหินที่บดบังสายตาจากทหารยามที่อยู่ด้านหลัง นี่คือโอกาส!
"คุณหนู จะทำอะไรเ้าคะ!?" ป้าเหว่ยกระซิบเสียงสั่น เมื่อเห็นร่างบางขยับตัวอย่างมีเป้าหมาย
เมิ่งหรงซินไม่ตอบ นางรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี กระโจนลงจากเกวียนที่กำลังเคลื่อนตัวช้าๆ ความเจ็บแปลบแล่นจากข้อเท้า แต่สัญชาตญาณการเอาตัวรอดสั่งให้นางวิ่ง... วิ่งสุดชีวิตเข้าไปยังกลุ่มโขดหินเบื้องหน้า
"เฮ้! เชลยหนี! จับมันไว้!"
เสียงะโก้องทำให้ความหวังของนางดับวูบลงในบัดดล ร่างสูงใหญ่ของทหารนายหนึ่งควบม้ามาดักหน้านางไว้ในเวลาเพียงชั่วพริบตา เขาะโลงจากหลังม้า ผมเปียที่ถักไว้สะบัดตามแรง รอยยิ้มของเขาคือรอยยิ้มของผู้ล่าที่เจอเหยื่ออันโอชะ
เขาคือ หลี่จิ่นเฉิง หัวหน้าทหารย่อยผู้มีชื่อเสียงในเื่ความโเี้และตัณหาจัด
"คิดจะหนีรึ... นางตัวดี?" เขาย่างสามขุมเข้ามาใกล้ ดวงตาหื่นกระหายโลมเลียไปทั่วร่างของนางที่ถูกพันธนาการไว้ด้วยเสื้อผ้าเก่าๆ "ในเมื่อยังมีแรงวิ่งหนี ก็คงมีแรงรับใช้ข้าได้สินะ!"
"อย่าเข้ามานะ!" เมิ่งหรงซินถอยกรูดจนแผ่นหลังติดกับผนังหินเย็นเฉียบ
หลี่จิ่นเฉิงหัวเราะในลำคอ เขากระชากร่างของนางอย่างแรงจนเสื้อของป้าเหว่ยหลุดลุ่ย เผยให้เห็นผิวขาวละเอียดที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำซึ่งยั่วยุอารมณ์ดิบของเขามากกว่าจะทำให้สงสาร เขากดร่างนางลงกับพื้นทรายหยาบ ใช้ร่างที่กำยำของตนทาบทับลงมาจนนางแทบหายใจไม่ออก กลิ่นสุราและกลิ่นเหงื่อไคลโชยเข้าจมูกจนน่าสะอิดสะเอียน
"ปล่อยข้า! ไอ้คนสารเลว!" นางดิ้นรนสุดชีวิต ใช้เล็บจิกข่วนไปบนแขนของเขา
"ยิ่งพยศ ข้ายิ่งชอบ!" เขาตรึงข้อมือทั้งสองของนางไว้เหนือศีรษะด้วยมือเพียงข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างก็เริ่มลูบไล้ไปตามสีข้างและบั้นท้ายของนางอย่างจาบจ้วง
น้ำตาแห่งความอัปยศและความหวาดกลัวไหลริน... นี่หรือคือจุดจบของเธอ? ต้องมาถูกย่ำยีในดินแดนบ้าๆ นี่น่ะหรือ?
"นายท่าน! ได้โปรดเถิดเ้าค่ะ!" เสียงของป้าเหว่ยดังขึ้น นางวิ่งกระหืดกระหอบมาทิ้งตัวลงคุกเข่าต่อหน้าหลี่จิ่นเฉิง "คุณหนูของบ่าวยังเด็กนัก อย่าทำร้ายนางเลย! หากท่าน้า... ได้โปรด... เอาชีวิตของบ่าวไปแทนเถิดเ้าค่ะ!"
หลี่จิ่นเฉิงชะงัก หันไปมองหญิงชราด้วยสายตาขบขัน "แกน่ะรึ? หนังเหี่ยวๆ ของแกมีค่าอะไรให้ข้าเอา!"
แต่การขัดจังหวะนั้นก็เพียงพอแล้ว... เสียงฝีเท้าม้าหนักๆ ดังใกล้เข้ามา พร้อมกับเสียงทุ้มทรงอำนาจที่เย็นเยียบราวกับน้ำแข็งขั้วโลก
"หลี่จิ่นเฉิง... นี่ใช่เวลามาเล่นสนุกรึ?"
สิ้นเสียงนั้น ทุกการเคลื่อนไหวพลันหยุดนิ่ง ทหารรอบบริเวณต่างก้มหน้าลงต่ำด้วยความยำเกรง หลี่จิ่นเฉิงหน้าซีดเผือด รีบลุกขึ้นยืนแล้วโค้งคำนับแทบจะติดพื้น
เมิ่งหรงซินพลิกหน้ามองไปยังที่มาของเสียง... และภาพที่นางเห็น จะถูกจารึกลงในความทรงจำของนางไปตลอดกาล...
***ทว่าเื่ราวในฉากนี้จำต้องตัดไปก่อน...เพราะจะเล่าที่มาอีกฉาก***
ณ อีกฟากหนึ่งของสมรภูมิรบที่ยังคุกรุ่น ชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งสงบนิ่งอยู่บนหลังอาชาสีดำสนิทราวกับรัตติกาล ชุดเกราะสีดำขลับของเขาสะท้อนแสงอาทิตย์จนเป็ประกายวาววับ แม้จะอยู่ท่ามกลางเปลวไฟและควันโขมงที่พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจากการเผาทำลายหมู่บ้านของเผ่าศัตรู แต่รอบกายของเขากลับแผ่รังสีอำมหิตที่เยือกเย็นจนน่าขนลุก
นายกองคนสนิทเข้ามารายงานด้วยความนอบน้อม "ท่านแม่ทัพ เผ่าซือหรงถูกทำลายสิ้นแล้วขอรับ"
ดวงตาคมกริบราวกับพญาเหยี่ยวของ กู้เหยียนหลง แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นหลัวหลิง ยังคงจ้องมองเปลวเพลิงเบื้องหน้าอย่างเฉยชา ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปสลักนั้น
ริมฝีปากหยักลึกได้รูปขยับขึ้นเล็กน้อย เอ่ยคำสั่งที่ทำให้ผู้ฟังต้องเสียวสันหลังวาบ
"เผาทั้งหมด... อย่าให้เหลือแม้แต่ซาก"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้