ตอนที่ ๓
ปิดปากวัชรินทร์
การเปิดบ้านในครั้งนี้ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมฐานะ วันนี้วัชร์สะดุ้งตื่นั้แ่เช้าเพราะได้ยินเสียงประทัดดังนับหลายนัด ทั้งเสียงเชิดสิงโตและเสียงกู่เจิงบรรเลงดังให้ได้ยินอยู่เป็ระยะ บางครั้งก็เป็เสียงดนตรีไทยบรรเลง ผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมของจีนและไทยได้อย่างลงตัว
แม้จะมีคนมาเคาะประตูเรียกให้ไปร่วมงานด้วยหลายครั้ง แต่วัชร์กลับเลือกที่จะเก็บตัวอยู่ในห้องนอนทั้งวัน เนื่องจากไม่้าออกไปพบปะกับบรรดาคนแปลกหน้าที่เขาไม่รู้จัก...หากออกไปคงไม่พ้นถูกมองมาด้วยสายตาประหลาด เพราะงั้นเขาจะไม่พาตัวเองออกไปให้เสียอารมณ์กว่าเดิมหรอก
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“คุณวัชร์ครับ คุณไท่ให้ผมมาตาม”
“จิ๊!”
ร่างขาวจิ๊ปาก แล้วตวัดสายตามองไปตามต้นทางของเสียงอย่างนึกขัดใจ เมื่อตนถูกรบกวนเป็ครั้งที่สามแล้วใน่เย็นวันนี้ ชายหนุ่มเดินลงเท้าหนัก ๆ ไปเปิดประตู แล้วพูดอัดหน้าผู้ติดตามของซูเหวินทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยด้วยซ้ำ
“ฝากไปบอกเขา ว่าฉันจะไม่ออกไป”
ใครว่าการจัดงานเพียงแค่่เช้าจะเพียงพอ ตกเย็นก็ยังคงมีโต๊ะจีนกินเลี้ยงไว้รอต้อนรับแเื่จำนวนนับร้อยอีกต่างหาก...งานที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าในฐานะของภรรยา การเอาแต่เก็บตัว ไม่ออกไปพบปะใครก็ไม่ต่างไปจากการหักหน้าสามีเลยสักนิด
แต่ใครจะสนกันล่ะ...คนใจร้ายแบบนั้น ถูกเขาหักหน้าให้อับอายเสียบ้างก็สาสมแล้ว
วัชร์ไม่รอฟังต่อว่าใครจะพูดกับตนว่าอย่างไร ทันทีที่พูดจบก็ปิดประตูใส่แล้วเดินกลับไปยังเก้าอี้ริมหน้าต่าง ซึ่งกลายเป็ที่นั่งประจำของตนอีกครั้ง ทว่ายังไม่ทันจะได้หย่อนกายลงนั่ง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง พลันคนในห้องเริ่มขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นด้วยอารมณ์หงุดหงิดเต็มที่
“ฟังไม่รู้เื่หรือยังไง---”
“...”
น้ำเสียงถูกกลืนหายไปกะทันหัน เมื่อคนที่ยืนรออยู่หน้าห้องคราวนี้ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป ทว่ากลับเป็ซูเหวินที่มาตามกันถึงที่ อีกฝ่ายอยู่ในชุดเสื้อคอจีนสีเข้ม ปักลวดลายัทองวิจิตร บนใบหน้าหล่อเหลายังคงเรียบเฉย ทว่าภายในดวงตากลับแฝงไปด้วยความดุดันและเข้มงวดอยู่ในนั้น
“เธอควรจะอยู่ในงาน อย่างน้อยก็ในฐานะภรรยาของเฮีย”
“...”
วัชร์แสนชังโทนน้ำเสียงทุ้มต่ำที่มักจะเอ่ยพูดอย่างใจเย็น ทว่ากลับทำให้ผู้ฟังรู้สึกราวกับถูกมัดตรึงด้วยคำสั่งอยู่ตลอดเวลา พลันดวงหน้างามเชิดขึ้นเล็กน้อยอย่างเย่อหยิ่ง ทั้งภาษากายและคำพูดบ่งบอกว่าเขาไม่คิดที่จะยอมความเลยแม้แต่น้อย
“ไม่มีข้ออ้างอื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้วหรือยังไง”
“มารยาททางสังคม...หวังว่าคำนี้คงไม่ยากเกินคุณวัชร์เข้าใจสักเท่าไร”
“...”
“เฮียสั่งให้คนเอาชุดมาให้ ใส่ให้เรียบร้อยแล้วตามเฮียเข้าไปในงาน”
ดวงตาคมสวยเหลือบมองเสื้อผ้าที่ถูกยื่นมาให้ มันถูกพับเอาไว้อย่างเป็ระเบียบ อีกทั้งยังได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ อีกด้วย ก่อนจะตวัดมองสบกับผู้เป็สามีแล้วแค่นหัวเราะออกมาหนึ่งคำ...คิดหรือว่าเขาจะยอมทำตามคำสั่งของคนที่เคยจับตนฟาดก้นจนแดง ลงโทษกันไม่ต่างไปจากเด็ก
...หากคิดว่าจะยอม ก็ฝันไปเสียเถอะ!
“ดูท่าคนอย่างซูเหวิน ไท่ จะให้ความสำคัญกับเื่หน้าตาทางสังคมเหลือเกินนะ”
“...”
“แต่การทำให้คุณเสียหน้า คงเป็อีกหนึ่งอย่างที่วัชร์ทำได้ถนัด...และจะทำได้ดีมากขึ้น หากคุณเอาแต่ทำให้วัชร์รู้สึกรำคาญอย่างนี้”
“!!!”
ผลัก!
ร่างของซูเหวินถูกผลักจนเสียหลักถอยหลังเล็กน้อย ท่ามกลางสีหน้าตื่นตระหนกของผู้ติดตามนับหลายคน วัชร์แย่งเสื้อผ้ามาถือไว้ ก่อนจะปามันใส่อกของผู้เป็สามีอย่างอุกอาจ ไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวจนตัวสั่นเหมือนคนอื่นเลยแม้แต่น้อย
ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถเอาชนะได้...แต่อย่างน้อย ขอให้ได้แผลงฤทธิ์ให้พอรู้สึกสะใจสักหน่อยก็ยังดี
“เอากลับไป”
พลันบรรยากาศรอบกายตกอยู่ในความเงียบเสียจนน่าอึดอัด ร่างสูงก้มหน้าลงมองเสื้อผ้าที่ตนสามารถรับเอาไว้ได้ทันครู่หนึ่ง ครั้นเมื่อดวงตาประสานกันอีกครั้ง ก็กลายเป็วัชร์เสียเองที่เริ่มรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ไปทั้งแผ่นหลัง จนเผลอก้าวเท้าถอยหลังหนีโดยไม่รู้ตัว
ทั้งชีวิตนี้ มีใครกล้าทำกิริยาก้าวร้าวใส่คนอย่างซูเหวิน ไท่ บ้าง
...ย่อมไม่มี เว้นเสียแต่คนดื้อดึงอย่างวัชรินทร์
ร่างขาวแอบขบเม้มริมฝีปากเข้าหากันเป็เส้นตรง อาศัยจังหวะนี้ทำท่าจะดึงประตูปิด ทว่ากลับถูกอีกฝ่ายดึงรั้งเอาไว้ ซูเหวินถือวิสาสะก้าวเท้าข้ามธรณีประตูเข้ามาในเขตห้อง เอ่ยสั่งผู้ติดตามเสียงเรียบ ดวงตายังคงจับจ้องใบหน้าของผู้เป็ภรรยาอยู่ตลอด ไม่ละไปทางอื่น
“ปิดประตู”
“ครับคุณไท่”
บานประตูถูกปิดลง เหลือเพียงพวกเขาทั้งสองคน ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเงียบชวนให้อึดอัด วัชร์เริ่มหวั่นใจ แต่ถึงอย่างไรก็ยังสามารถปกปิดอาการเ่าั้เอาไว้ได้อย่างแเี ดวงหน้างามเชิดขึ้นเล็กน้อยอย่างเย่อหยิ่ง แสร้งทำเป็ว่าไม่ได้รู้สึกหวั่นเกรงต่อสถานการณ์ในตอนนี้เลยแม้แต่น้อย
“เฮียจะเตือนคุณวัชร์เป็ครั้งสุดท้าย”
“...”
“ทำตัวให้ดี อย่าสร้างปัญหาให้มันมากนัก”
ซูเหวินยืนกอดอกพิงหลังกับผนังไม้...ทั้งท่วงท่าภาษากาย น้ำเสียงในการสื่อสาร หรือแม้กระทั่งสายตาคู่คมที่กำลังมองกัน ทำให้วัชร์รู้สึกราวกับว่าตนเองเป็เพียงแค่เด็กชอบเอาชนะที่ไม่รู้จักโตเท่านั้น แม้ไม่ต่อว่าก็ยังเหมือนถูกต่อว่าอยู่ดี
แต่แล้วอย่างไร เขาจำเป็ต้องทำตัวให้คนอื่นพึงพอใจด้วยหรือ...ในเมื่อในตอนนี้ไม่มีใครใจดีกับเขาเลยสักคน
คิดมาถึงตรงนี้ จากที่เดินหนีในคราวแรก ก็เลือกที่จะก้าวเท้าเข้าไปหาอีกฝ่าย กระทั่งเหลือระยะห่างระหว่างกันเพียงเล็กน้อย
“วัชร์ต้องฟังคุณตลอดด้วยหรือ ถ้าวัชร์เอาแต่สร้างปัญหาแล้วมันจะทำไม”
“ก็ลองดู”
ยิ่งถูกตอบโต้ด้วยประโยคท้าทาย ก็ยิ่งรู้สึกโมโหเสียจนต้องแอบกำหมัด กัดฟันกรอด ร่างขาวตั้งท่าจะผลักอีกฝ่ายออกไปอีกครั้งด้วยโทสะ ทว่ากลับถูกคว้าข้อมือเอาไว้จนไม่สามารถขยับได้ ก่อนความอดทนอันน้อยนิดของวัชร์จะสะบั้นลง ยามได้ยินน้ำเสียงทุ้มต่ำที่คล้ายจะแฝงความเย้ยหยันกันอยู่เนือง ๆ
“ฤทธิ์เดชน้อยนิด แต่ก็ยังขยันทำตัวอวดดีไม่ยอมหยุด”
“ไอ้!!”
“ไอ้หรือ”
เรียวคิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย ทั้งดวงตาสีรัตติกาลที่เริ่มมีสีเข้มขึ้น มันแฝงไปด้วยความรู้สึกไม่พอใจโดยไม่คิดปิดบัง เมื่อได้ยินคำไม่ระคายหูนี้เป็ครั้งที่สองแล้ว ซูเหวินแค่นหัวเราะในลำคอหนึ่งคำ แล้วกัดฟันพูดเสียงเยียบเย็น
“ปากดีเสียจริง...”
“!!!”
ร่างอรชรถูกดันกระทั่งแผ่นหลังชนกับบานประตูภายในระยะเวลาเพียงชั่วพริบตา ก่อนจะต้องเบ้หน้าเล็กน้อย ยามถูกจับปลายคางบังคับให้เชิดหน้าขึ้นมองสบกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กระนั้น ดวงตาสีสวยก็ยังคงไว้ซึ่งความพยศและเย่อหยิ่งกว่าใคร ในหัวคิดประโยคค่อนขอดเอาไว้มากมาย เพื่อเอาไว้ต่อกรกับคนตรงหน้าโดยเฉพาะ
“ผู้นำของกลุ่มหยางหลงช่างน่าเวทนาเสียจริง แค่ปิดปากภรรยาตัวเองก็ยังไม่มีปัญญาทำได้---อื้อ!!!”
!!!
พลันน้ำเสียงถูกกลืนลงคอไปกะทันหัน ทั้งดวงตาที่เบิกกว้างขึ้นด้วยความใสุดขีด ยามริมฝีปากถูกมอบจุมพิตให้กะทันหัน...ไร้ซึ่งความอ่อนหวาน แม้จะเป็ััแสนใกล้ชิด...ทั้งดูดเม้มและขบกัดจนเริ่มรู้สึกเจ็บ พวกเขารู้ดีอยู่แก่ใจว่ามันคือการลงโทษ มิใช่การมอบความรักแต่อย่างใด
ร่างขาวแข้งขาสั่นเทา หัวใจดวงน้อยเต้นสั่นระรัว ไม่รู้ว่าด้วยความโกรธหรือด้วยความรู้สึกใด...แม้เรี่ยวแรงจะเริ่มเหือดหาย กระนั้นก็ยังมีแรงทุบกำปั้นหนัก ๆ ลงกับลาดไหล่กว้าง ทั้งยังจิกข่วนกรอบใบหน้าหล่อเหลาอย่างแรงจนเห็นรอยแผลเป็ทางยาว
ทุกการกระทำถูกขับเคลื่อนไปด้วยแรงประชดประชัน แม้จะรู้สึกสาแก่ใจที่สามารถทิ้งรอยแผลเด่นชัดไว้บนใบหน้าของผู้เป็สามี
...แต่ลึก ๆ แล้ว เศษเสี้ยวหนึ่ง วัชร์กำลังรู้สึกผิดเหลือเกิน
“อื้อ!...”
พลันััที่มอบให้เริ่มหนักหน่วงขึ้น ตามความรู้สึกเจ็บแปลบจากรอยข่วนที่ได้รับ ฝ่ามือใหญ่จับประคองที่ข้างแก้มนวลทั้งสองข้างเป็เชิงสั่งให้เงยหน้าขึ้น ก่อนจะบดจูบลงไปกระทั่งได้ยินเสียงหอบหายใจเคล้าไปกับเสียงครางอื้ออึงในลำคอของคนดื้อดึงอยู่เป็ระยะ
เสียงเอ็ดตะโรจากภายนอกยังคงดังเข้ามาให้ได้ยินอยู่ตลอด บ่งบอกว่าบรรดาแเื่เริ่มเดินทางมาร่วมงานจำนวนไม่น้อยแล้ว วัชร์วางมือลงกับท่อนแขนแข็งแรงแล้วจิกเล็บลงไปเพื่อตอบโต้ ทั้งยังอาศัยบางจังหวะกัดริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างแรงจนได้กลิ่นคาวเื ทว่าการกระทำดังกล่าวก็ไม่ได้ทำให้ซูเหวินรู้สึกระคายแต่อย่างใด
“แฮ่ก...อือ...”
ครั้นเมื่อเวลาผ่านไปก็เริ่มผ่อนแรงลง ฤทธิ์เดชถูกกลืนหายไปกับรสจูบ พร้อมกับเนื้อตัวสั่นเทาของวัชรินทร์ที่ค่อย ๆ ทรุดลงไปนั่งกองอยู่บนพื้นอย่างหมดท่า
...พ่ายแพ้ย่อยยับ...สู้ไม่เคยได้เลยสักครั้ง
...น่าเจ็บใจ
คนอายุน้อยกว่ายกหลังมือขึ้นเช็ดปากตัวเองป้อย ๆ ทั้งลมหายใจที่ยังคงหอบถี่กระชั้น พยายามกอบโกยอากาศเข้าปิดสุดกำลัง ภายในหูได้ยินแต่เสียงอื้ออึง เช่นเดียวกับริมฝีปากที่ชาหนึบไปหมด ครั้นเมื่อผู้เป็สามีนั่งยองตามกันลงมาก็ตวัดสายตาเอาเื่ขึ้นมองสบในทันใด
จะต่างไปเสียหน่อย ก็ตรงที่ดวงตาคู่สวยในยามนี้ กลับเริ่มมีหยาดน้ำตาคลออยู่เล็กน้อย
ซูเหวินลอบเกลี่ยลิ้นเลียริมฝีปากล่าง ก่อนจะได้กลิ่นคาวสนิมตีขึ้นจมูก รอยเล็บข่วนที่ข้างกรอบใบหน้าถูกเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งรอยให้รู้สึกเจ็บแสบ ทั้ง ๆ ที่แผลเก่าก็ยังไม่จางลงไปเลยด้วยซ้ำ บ่งบอกว่าตัวเขาก็ถูกฤทธิ์ร้ายของผู้เป็ภรรยาเข้าไปเต็ม ๆ เช่นกัน
หลังมือประดับเส้นเืค่อย ๆ ไล้ไปตามปรางแก้มนวล ครั้นเมื่อทำท่าจะเช็ดน้ำตาออกให้ คนที่กำลังโกรธและคับแค้นใจเสียจนอกแทบจะะเิก็รีบสะบัดหน้าหนีทันที...คนอายุมากกว่าชะงักมือไปเสี้ยววินาทีหนึ่ง ก่อนจะแค่นหัวเราะในลำคอเสียงเย็น
“ไม่มีปัญญาหรือ...”
“...”
“แล้วตอนนี้เฮียมีปัญญาปิดปากคุณวัชร์หรือยัง”
ราวกับเป็การราดน้ำมันลงไปในกองเพลิงที่กำลังปะทุหนัก จนมันแปรเปลี่ยนกลายเป็ห่าเพลิงกัลป์ที่พร้อมจะเริ่มแผดเผาทุกอย่างอีกครั้งให้วอดวาย วัชร์ที่แม้จะถูกสูบเรี่ยวแรงจนล้มพับสิ้นท่าอยู่กับพื้น แต่ก็ยังไม่วายสรรหาคำปรามาสมาต่อว่ากันไม่หยุด
...เขาเจ็บใจ
เจ็บใจที่ตนปรารถนาอยากจะได้รับความใจดีจากอีกฝ่ายบ้างสักครั้ง...ความใจดีที่ไม่ได้มาพร้อมกับสายตาเ็าและไม่แยแส
เจ็บใจเสียจนโกรธไปแทบทุกสิ่ง
“แฮ่ก...ไอ้ชั่ว ระยำ!---อื้อ!!”
เสียงถูกกลืนหายไป เมื่อถูกมอบจุมพิตให้อีกครั้ง แม้จะไม่หนักหน่วงและหยาบกระด้างเช่นในคราแรก แต่ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร ริมฝีปากของคนปากดีถูกขบกัดและดูดดุนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนมันบวมเจ่อไปหมด
ร่างสูงค่อย ๆ ผละใบหน้าออกมาจนเห็นหยาดน้ำลายเชื่อมระหว่างกันเป็สาย ในขณะที่วัชร์ในตอนนี้สภาพไม่สู้ดี ปิ่นไม้บนศีรษะร่วงลงพื้นกระทั่งเส้นผมร่วงลงประบ่า ทั้งยังแทบไม่เหลือแรงมาต่อกรกับคนที่มากกว่าด้วยทั้งพละกำลังและอำนาจ จึงทำได้เพียงใช้มือดันอกกันเอาไว้แ่เบาเท่านั้น
“พูดอีกสิ เก่งนักไม่ใช่หรือ”
“ไอ้...ไอ้...”
แม้ในใจจะมีถ้อยคำด่าทอมากมายเป็กองพะเนิน แต่เปล่งเสียงออกมาได้เพียงเท่านั้น ก่อนจะต้องเม้มปากเงียบไปแทน ได้แต่ส่งสายตาราวกับจะฆ่าจะแกงกันไปให้ก็เท่านั้น
ซูเหวินค่อย ๆ หยิบเสื้อผ้าที่จัดเตรียมมาพับให้เป็ระเบียบอีกครั้ง เอ่ยพูดอย่างใจเย็น กระนั้น น้ำเสียงในแต่ละประโยคกลับแฝงไปด้วยกระแสความดุดันและเด็ดขาดจนผู้ฟังเริ่มตัวสั่น ไม่กล้าแผลงฤทธิ์ใส่ชั่วคราว
“แท้จริงแล้ว เฮียจะตามใจคุณวัชร์ก็ยังได้”
“...”
“แต่เฮียก็ไม่ใจดีกับพวกเด็กพยศเหมือนกัน”
“...”
“เป็เด็กดีขึ้นมาบ้างแล้วใช่ไหม”
วัชร์นั่งกอดเข่ากัดปากแน่น เอาแต่หันหน้าหนีไปทางอื่น ราวกับตั้งใจจะไม่ให้ใครอีกคนได้เห็นหน้าของตนใน่เวลานี้เป็อันขาด เป็จังหวะเดียวกันที่คนอายุมากกว่าเริ่มหยัดกายลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วเอ่ยสั่งกันเสียงเรียบ
“ใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วเข้าไปรับแขกกับเฮียข้างในงาน”
“คุณไท่ครับ แขกเริ่มมากันเยอะแล้วครับ”
ทันทีที่บานประตูเรือนไทยถูกเปิดออก ผู้ติดตามที่ยืนรออยู่ก็รีบรายงานในทันใด ซูเหวินเพียงพยักหน้าเป็เชิงรับรู้แต่ไม่พูดอะไร เมื่อแอบมองเข้าไปในห้อง จึงเห็นคุณวัชร์ที่นั่งกอดเข่าอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าดื้อดึง ไม่รู้ว่าก่อนหน้านั้นเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ทุกคนจึงได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจเท่านั้น
ฝ่ายลูกหล้าซึ่งกำลังยกถาดน้ำให้แขกเป็พัลวัน แต่ก็ยังไม่วายแอบชะเง้อคอมองหาผู้เป็นายของตนอยู่เป็ระยะ ก่อนจะแอบถอนหายใจโล่งอก ยามเห็นคุณวัชร์ในชุดเสื้อคอจีนสีแดงเดินตามผู้เป็สามีมาด้วยใบหน้าบูดบึ้งตึง...ทว่าไม่กี่วินาทีต่อมาก็ต้องแอบเอียงคอเล็กน้อยด้วยความสงสัย เมื่อแอบสังเกตอะไรบางอย่างได้
ปากคุณวัชร์ไปโดนอะไรมา ทำไมถึงได้บวมเจ่อขนาดนั้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้