ย่าอวี๋เป็คนละเอียดรอบคอบ
คนประเภทนี้แม้จะตกอับ แต่ความเคยชินบางอย่างฝังลึกเข้ากระดูกดำ
อย่างเช่นเธอพาเซี่ยเสี่ยวหลานไปซื้อถ่าน ทั้งคู่เป็ผู้หญิงเหมือนกัน จะขนถ่านก้อนดำๆ กลับมาอย่างไร แน่นอนว่าย่าอวี๋กล่าวอย่างเป็ธรรมชาติว่า เช่นนั้นก็จ่ายเงินให้คนช่วยขนกลับมาให้
ถ่านที่ว่าก็คือถ่านหินเป็ก้อน ทว่าถ่านลักษณะมักจะนี้มีราคาสูง เวลาเผาไหม้ก็จะให้พลังงานความร้อนที่สูงเกินไป ดังนั้นจึงสิ้นเปลืองมาหากใช้เพียงเพื่อทำอาหาร หลายคนจึงรู้สึกเสียดายที่จะใช้เงินซื้อถ่านประเภทนี้ ความฉลาดของชนชั้นแรงงานนั้นไม่มีจุดสิ้นสุด นั่นก็เพราะพวกเขาทุบถ่านหินให้กลายเป็ผงถ่าน จากนั้นใส่ดินลงไปในอัตราส่วนที่เหมาะสมแล้วบดรวมกัน ปั้นจนเป็ก้อนถ่าน ซึ่งสามารถนำมาให้ความร้อนและทำอาหารได้เช่นกัน!
ก้อนถ่านที่ถูกปั้นจะถูกเจาะเป็รูกระจัดกระจาย จึงถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘ถ่านรังผึ้ง’
สมัยที่ย่าอวี๋ไม่มีเงินเธอต้องประหยัดค่าใช้จ่าย ทว่าพอเริ่มมีเงิน เธอก็เป็คนใจกว้างมากขึ้น
หากเธอไม่ร้องอยากมาปักกิ่งด้วย เซี่ยเสี่ยวหลานคงไม่ซื้อตั๋วเครื่องบินเพิ่มอีกใบ ดังนั้นย่าอวี๋จึงยืนกรานอย่างหนักแน่นว่าจะเป็คนจ่ายค่าถ่านหนักกว่าร้อยกิโลกรัมให้ อีกทั้งที่หญิงชราซื้อ ยังเป็ถ่านหินแบบทั้งก้อนอีกด้วย
“ไม่เอาที่ผสมดิน ท่อทำความร้อนไม่ได้ใช้มานานหลายปีแล้ว ต้องทำความร้อนจนมันอุ่นไปทั้งบ้าน แน่นอนว่าซื้อของดีย่อมได้ผลดี”
นี่ก็คือค่านิยมการจับจ่ายใช้สอยที่ไม่เหมือนกัน
หากเป็หลิวเฟินหรือหลี่เฟิ่งเหมยคงเลือกซื้อถ่านแบบราคาถูก ขณะที่ย่าอวี๋ยินดีที่จะเลือกสิ่งที่ดีสุดเท่าที่ตนจะสามารถจ่ายไหว
เมื่อก่อนยังต้องใช้วิธีเผาฟืน และฟืนที่ดีที่สุดเขม่าควันจะน้อยมาก ปัจจุบันอุตสาหกรรมกำลังพัฒนา ถ่านหินต่างหากคือตัวเลือกที่ดีที่สุด
ตลอด่บ่าย สหายหญิงต่างวัยทั้งสามคนง่วนอยู่กับการเก็บกวาดบ้าน
ตัวบ้านมีไอความร้อนเพิ่มเข้ามา หลังทำอาหารเสร็จทั้งสามก็กินข้าวด้วยกัน ตอนนี้ภายในเรือนสี่ประสานเริ่มให้ความรู้สึกของความเป็บ้านมากขึ้น
พื้นบ้านอบอุ่น ตัวบ้านก็อุ่นตาม ทังหงเอินส่งรถคันเล็กมารับเซี่ยเสี่ยวหลานกับหลิวเฟิน ทั้งสามคนแทบไม่อยากออกจากตัวบ้านด้วยซ้ำ
คนขับรถคือเสี่ยวหวัง ซึ่งเป็คนที่เซี่ยเสี่ยวหลานคุ้นเคยอย่างดี
เมื่อเห็นหญิงชราท่านหนึ่งก้าวขึ้นรถ เสี่ยวหวังก็ชะงักไปเล็กน้อย
“พี่หวัง นี่คือคุณย่าของฉัน ท่านจะไปกับเราด้วย”
เสี่ยวหวังรีบทักทาย “สวัสดีครับ คุณย่าเซี่ย”
ย่าอวี๋ไม่ได้อธิบาย เธอเพียงแก้คำพูดให้กับเสี่ยวหวังเท่านั้น “ฉันแซ่อวี๋”
เสี่ยวหวังนั่งตัวตรงทันที
หญิงชราผู้นี้มีบุคลิกที่ไม่เหมือนคนทั่วไป แตกต่างจากหญิงชราที่มาจากชนบทยิ่งนัก
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้ว่าเสี่ยวหวังข้องใจ แต่เธอก็ไม่อาจอธิบายได้ เช่นนั้นก็ปล่อยให้เสี่ยวหวังเข้าใจผิดต่อไปแล้วกัน
อย่างน้อยย่าอวี๋ก็เป็ห่วงแม่ของเธอจึงตามมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นที่ปักกิ่ง หากเป็แม่เฒ่าเซี่ยน่ะหรือ หลิวเฟินกับเซี่ยเสี่ยวหลานยิ่งโชคร้ายเท่าไร แม่เฒ่าเซี่ยคงยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้คิดถึงคนตระกูลเซี่ยพวกนั้นมานานแล้ว จิตใจเธอคงดีงามไม่มากพอ และคงทำใจทำดีด้วยไม่ได้ เพราะหากตระกูลเซี่ยยิ่งลำบาก เซี่ยเสี่ยวหลานก็ยิ่งสบายใจน่ะสิ
ทั้งสามคนถูกเสี่ยวหวังพาไปยังสำนักงานเทศบาลเมืองเผิงเฉิงประจำกรุงปักกิ่ง
ที่นี่นับว่าเป็ถิ่นของทังหงเอิน หากตระกูลจี้้าประนีประนอมก็ต้องเดินทางมายังถิ่นของเขา
ทังหงเอินเตรียมห้องขนาดใหญ่เอาไว้แล้ว เมื่อเห็นย่าอวี๋เขาก็ชะงักเช่นกัน
“ท่านแม่เฒ่า ไม่ทราบว่าแซ่อวี๋ใช่หรือเปล่าครับ”
ย่าอวี๋พยักหน้ารับ “นึกไม่ถึงเลยว่านายกทังยังจำหญิงแก่อย่างฉันได้ ฉันเองแซ่อวี๋”
ทำไมจะจำไม่ได้เล่า?
ทังหงเอินคือข้าราชการที่ถูกส่งไปชนบทกลุ่มหลัง แน่นอนว่าย่อมมีคนที่โชคร้ายกลุ่มแรกซึ่งก็คือคนอย่างย่าอวี๋ โดยย่าอวี๋ถูกกล่าวหาว่าเป็ ‘พวกทุนนิยม’ และถูกลากไปประจานต่อหน้าสาธารณชน
เมื่อก่อนตระกูลอวี๋เป็เศรษฐีใหญ่ตระกูลหนึ่งของอวี้หนาน ในยุคที่ตระกูลอวี๋รุ่งเรืองที่สุด ที่ดินเกือบครึ่งหนึ่งของซางตูล้วนเป็ของตระกูลอวี๋
หลังนโยบายควบรวมกิจการการค้า กิจการทั้งหมดของตระกูลอวี๋ต้องส่งมอบให้แก่รัฐ ทว่าทรัพย์สมบัติบางส่วนยังพอหลงเหลืออยู่บ้าง รวมถึงพวกข้าวของโบราณ อัญมณี และทองคำ แน่นอนว่ารวมถึงอสังหาริมทรัพย์ด้วย อย่างไรก็ตามของเหล่านี้ตอนหลังกลับกลายเป็สิ่งที่นำพาความโชคร้ายมาให้แก่ตระกูลอวี๋ สามีของย่าอวี๋อดทนต่อไปไม่ไหว แต่ย่าอวี๋นั้นสามารถผ่านมันมาได้ ทังหงเอินจึงจดจำเธอได้เป็อย่างดี
“สุขภาพของท่านเหมือนจะยังแข็งแรงดีอยู่นะครับ”
“ยังไม่ตายตอนนี้หรอก ชีวิตฉันดีจะขึ้นทุกวัน ฉันยังตายไม่ได้หรอก!”
คำพูดของย่าอวี๋ทำให้ทังหงเอินอดยิ้มไม่ได้ พวกเขาคือคนที่ผ่าน่เวลาอันน่าหดหู่มาได้ ย่าอวี๋เป็คนเข้าใจโลก แม้แต่ตอนที่ยากลำบากที่สุดยังไม่ยอมแพ้ แล้วทำไมตอนที่ชีวิตมีความสุขดีต้องมาตายจากไปด้วย?
“แม่เฒ่าพูดถูกต้องแล้วครับ!”
ที่แท้บ้านที่เซี่ยเสี่ยวหลานกับหลิวเฟินเช่าอยู่ที่ซางตูคือบ้านของย่าอวี๋นี่เอง
หญิงชราตามมาถึงที่นี่ ทังหงเอินย่อมไม่รู้สึกรังเกียจ คนอย่างย่าอวี๋ยอมเข้ามา ‘แทรกแซง’ ถือเป็บุญของหลิวเฟินกับเซี่ยเสี่ยวหลานแล้ว นั่นหมายความว่าหญิงชราเป็ห่วงสองแม่ลูกคู่นี้ว่าจะถูกคนอื่นเอาเปรียบ
ทังหงเอินรู้สึกผิดอย่างร้ายกาจ
“สหายหลิวเฟิน เื่ครอบครัวของฉันกลับทำให้เธอถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้อง ฉันต้องขออภัยเธอด้วยจริงๆ”
หลิวเฟินเองก็เพิ่งรู้สาเหตุก่อนมาถึง แน่นอนว่าเธอย่อมรู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็รู้สึกแตกต่างจากครั้งอื่นๆ
อย่าว่าแต่พูดจาเหยียดหยามไม่กี่คำ เมื่อก่อนคนตระกูลเซี่ยรังแกเธออย่างไม่คนามือ คำด่าทอของแม่เฒ่าเซี่ย การกลั่นแกล้งของเหล่าสะใภ้ กำปั้นของเซี่ยต้าจวินยามที่เขาเมา... สิ่งเหล่านี้ไม่เคยมีใครขอโทษเธอเลยสักครั้ง
นอกจากเซี่ยเสี่ยวหลานกับหลิวหย่งที่ช่วยออกหน้าแทนเธอแล้ว คนนอกที่ไม่ใช่ญาติ ไม่เคยมีใครลุกขึ้นมาทวงคืนความยุติธรรมให้เธอเลยสักคนเดียว
ทุกคนล้วนทำราวกับว่าสมควรแล้วที่เธอจะถูกคนตระกูลเซี่ยรังแก
ทว่าตอนนี้กลับต่างออกไป เพราะมีคนดูิ่เธอ ข้าราชการระดับผู้นำอย่างทังหงเอินถึงกับเชิญเธอมาจากซางตู เพื่อให้คนอื่นมาขอขมาเธอซึ่งหน้า หลิวเฟินไม่มีความคิดเหมือนพวกเด็กสาว และไม่ได้กระจ่างแจ้งเหมือนอย่างที่ย่าอวี๋คิด คนใหญ่คนโตจะรู้สึกดีกับเธอได้อย่างไร เธอจึงรู้สึกหวาดหวั่นเพราะความไม่ชิน นี่คงเป็ความรู้สึกเวลาที่ถูกผู้อื่น ‘ให้เกียรติ’ สินะ
นอกจากญาติสนิท ที่แท้ยังมีคนอื่นสนใจศักดิ์ศรีของเธออยู่ด้วย
หลิวเฟินไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว เธอในตอนนี้สามารถดูแลร้านได้ หลังผ่านการเรียนรู้มาอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดเธอก็รู้แล้วว่าจะต้องแนะนำเสื้อผ้าให้ลูกค้าอย่างไร
เธอไม่ได้ดูกล้าๆ กลัวๆ อีกต่อไป ทั้งยังมีความมั่นใจในตัวเองเพิ่มเข้ามาอีกด้วย
สิ่งที่ทังหงเอินทำยิ่งเป็การเพิ่มเชื้อไฟ เขาช่วยให้หลิวเฟินรู้จักตัวเองดีขึ้น ถ้าแม้แต่หัวหน้าใหญ่อย่างทังหงเอินยังรู้สึกว่า เธอเป็คนที่ไม่ควรถูกคนอื่นดูิ่ง่ายๆ เธอก็คงไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วจริงๆ!
“คุณทัง เื่นี้ไม่เกี่ยวกับคุณหรอกค่ะ คนที่ด่าฉันไม่ใช่คุณเสียหน่อย”
สิ่งที่อดีตภรรยาเป็คนทำคงไม่อาจถือโทษทังหงเอินได้ จุดนี้หลิวเฟินสามารถแยกแยะได้ เธอกับเซี่ยต้าจวินเองก็หย่าร้างกันแล้ว หากเซี่ยต้าจวินทำเื่เลวร้ายอะไรอีก จะมาโทษเธอไม่ได้เช่นกัน!
หลิวเฟินไม่ได้ติดใจอะไรจริงๆ
เธอรู้ดีแก่ใจว่าตนนั้นไม่ผิด เอาเธอไปเกี่ยวข้องกับทังหงเอินได้อย่างไร จี้หย่าบอกว่าเธอกับทังหงเอินมีความสัมพันธ์กัน ทว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่หลิวเฟินโกรธมากที่สุด
สิ่งที่เธอโกรธที่สุดคือจี้หย่าไปรังควานเสี่ยวหลานถึงมหาวิทยาลัย
เสี่ยวหลานแจ้งแต่ข่าวดีแก่ที่บ้านเสมอ นอกจากเื่นี้ไม่รู้ว่ามีเื่อะไรปิดบังคนที่บ้านอีกบ้าง
หลิวเฟินรู้สึกว่า คนเป็แม่อย่างเธอช่างไร้ประโยชน์เหลือเกิน เธอไม่สามารถช่วยอะไรลูกได้เลย
ย่าอวี๋บอกว่าลูกถูกรังแกนอกบ้าน คนอื่นยินดีให้ความช่วยเหลือก็จริง แต่คนในครอบครัวก็ต้องออกหน้าด้วยเช่นกัน วันนี้ก่อนมาถึงหลิวเฟินตั้งใจไว้แล้วว่า จะต้องทำให้จี้หย่าขอโทษให้จงได้ ขอโทษเธอหรือไม่นั้นไม่สำคัญ แต่จี้หย่าต้องขอโทษเสี่ยวหลาน และไปอธิบายที่มหาวิทยาลัยให้ชัดเจน ห้ามปล่อยให้เหล่าอาจารย์และนักศึกษาที่หัวชิงคิดเกินเลยโดยเด็ดขาด!
เซี่ยเสี่ยวหลานยิ่งไม่ต้องพูดถึง เธอกับทังหงเอินสนิทกันอยู่แล้ว ทังหงเอินต้อนรับแค่หลิวเฟินกับย่าอวี๋ก็พอ เซี่ยเสี่ยวหลานจึงทำเพียงนั่งอยู่ข้างๆ เท่านั้น พอถึงเวลาหนึ่งทุ่มตรง เสี่ยวหวังก็พาคนตระกูลจี้เข้ามา
จี้หลินเดินนำหน้า จี้เจียงหยวนเดินอยู่ตรงกลาง ในขณะที่จี้หย่ามาพร้อมใบหน้าซีดขาว โดยมีพี่สะใภ้ช่วยประคอง และเดินรั้งท้ายสุด
คนตระกูลจี้ค่อนข้างใ ตกลงกันแล้วว่าจะเจรจากับทังหงเอิน ปรึกษากันเื่อนาคตของจี้เจียงหยวน แต่พอเปิดประตูเข้ามา นอกจากทังหงเอินแล้วกลับเจอพวกเซี่ยเสี่ยวหลานอีกสามคนนั่งอยู่ด้วย
นอกจากภรรยาของจี้หลิน คนตระกูลจี้ล้วนรู้จักเซี่ยเสี่ยวหลานกันหมด
แต่ไม่มีใครรู้จักหลิวเฟินกับย่าอวี๋
ไม่รู้ว่าจี้หย่านึกอะไรขึ้นได้ สายตาของเธอถึงได้จับจ้องไปที่หลิวเฟิน แววตาของเธอร้อนระอุ ราวกับ้าแผดเผาหลิวเฟินให้สลายเป็จุณ!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้