จวนตระกูลจิน
ภายหลังจัดการตัวปัญหาที่เมืองถู่หลานเสร็จสิ้น ซูอันจึงเดินทางกลับมาถึงเมืองผู่เถียนในอีกสี่วันต่อมา แต่ก่อนจะแยกย้ายกับอู๋ซูและไห่หยุน ซูอันจึงถามทั้งสองเกี่ยวกับที่พักของพวกเขา
“พวกเ้าสองคนรอประเดี๋ยว ข้ามีคำถามหนึ่งและพวกเ้าควรตอบตามตรง”
อู๋ซูกับไห่หยุนไม่รู้ว่าคำถามของซูอัน คือคำถามเกี่ยวกับเื่อันใด พวกเขาจึงหยุดอยู่กับที่และถามกับซูอัน “คุณหนูอยากถามสิ่งใดหรือขอรับ ถ้าตอบได้ข้ากับไห่หยุนย่อมไม่ปิดบังท่านอยู่แล้วขอรับ”
“ตอนนี้พวกเ้าพักอยู่ที่ใด หลังจากคุณชายทั้งสองเดินทางกลับไปแล้ว” นี่คือสิ่งที่ซูอันถามกับคนที่ยังไม่ยอมตามเ้านายกลับไป
“เรียนคุณหนูข้ากับไห่หยุนยังพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมขอรับ แต่พวกข้ากำลังมองหาบ้านเช่าที่ราคาไม่แพงอยู่ เนื่องจากต้องคอยอารักขาคุณหนูทั้งสอง ตามคำสั่งของคุณชายอย่างไม่มีกำหนดขอรับ แหะ ๆ ๆ” อู๋ซูบอกกับซูอันตามจริงเพราะไม่รู้ว่าจะปิดบังไปทำไม
ซูอันได้ฟังเช่นนั้นจึงเอ่ยอนุญาตให้ทั้งสองคน ย้ายเข้ามาพักรวมกับพวกอวี้เหลียนแทน ในเมื่อหยางไท่ิและฟงเฉิงฮ่าว สั่งให้พวกเขาคอยอารักขานางกับพี่สาวอยู่ที่นี่อีกนาน
“ไหน ๆ พวกเ้าสองคนจำเป็ต้องอยู่ที่เมืองผู่เถียนอีกนาน เช่นนั้นกลับไปเก็บของที่โรงเตี๊ยมและมาพักที่จวนของข้า โดยอยู่รวมกับพวกอวี้เหลียนที่เรือนด้านหลัง เื่อาหารการกินข้าจะรับผิดชอบเอง รีบไปจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเถิด”
อู๋ซูกับไห่หยุนไม่คิดว่าซูอันจะยอมอนุญาต ให้พวกเขาสองคนได้ติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งยังได้พักในจวนตระกูลจินอีก “ขอบคุณคุณหนูสำหรับเื่ที่พักและอาหารขอรับ พวกข้าสองคนจะรีบกลับไปเก็บสัมภาระเดี๋ยวนี้ขอรับ”
“อืม”
ซูอันเดินกลับเข้าจวนเพื่อไปพบครอบครัว เพราะนางย่อมรู้ดีว่าพวกเขาต่างอยากรู้ว่า นางลงมือจัดการตระกูลหลิวอย่างไร แม้ว่าสิ่งที่นางจะบอกเล่าให้พวกเขาได้ฟังนั้น มันอาจจะดูโหดร้ายเกินไปกับคนที่เรียกว่าญาติพี่น้อง แต่นางอยากให้ครอบครัวยอมรับความจริง ว่าโลกนี้การเป็คนอ่อนแอมักจะถูกผู้อื่นรังแกอยู่เสมอ
สามคนพ่อแม่ลูกกำลังช่วยกันปักผ้า แต่ท่าทางกลับไม่มีสมาธิเอาเสียเลย ใครบ้างจะมองไม่ออกว่าทั้งสามคนกำลังคิดสิ่งใด เมื่อเยี่ยนหลิงคอยมองไปที่ประตูตลอดเวลา เห็นร่างบางของน้องสาวปรากฏขึ้น จึงส่งเสียงเรียกด้วยความดีใจและโล่งใจ
“อันเอ๋อร์! เ้ากลับมาได้เสียทีพวกเราเป็ห่วงเ้าแทบแย่”
มู่ถงและจือเหมยหันไปมองตามเสียงของเยี่ยนหลิง ก็พบว่าเป็ซูอันจริง ๆ ที่เดินเข้ามาจึงได้คลายความกังวล เหมือนยกูเาออกจากอกก็มิปาน
“ท่านพ่อท่านแม่/ พี่หญิง ข้ากลับมาแล้วเ้าค่ะ”
จือเหมยลุกขึ้นรีบเดินเข้ามาหาบุตรสาวคนเล็ก และเอ่ยถามด้วยความเป็ห่วง “อันเอ๋อร์เ้ากลับมาได้เสียที พวกเราเป็ห่วงเ้าแทบแย่ นี่ไม่ได้ถูกคนตระกูลหลิวทำร้ายจนาเ็ใช่หรือไม่”
“นั่นน่ะสิหากเ้าาเ็ที่ใดให้รีบบอก พ่อจะได้ไปตามท่านหมอมาช่วยรักษานะ” มู่ถงก็เป็ห่วงซูอันบุตรสาวผู้เืร้อนคนนี้ จนลืมไปว่าตนเองก็มีาแที่มือเช่นกัน แม้ระหว่างที่ซูอันไม่อยู่จะดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังรู้สึกเจ็บอยู่เป็บางครั้ง
“ไหนมาให้พี่ดูหน่อยว่ามีาแที่ใดบ้าง ห้ามเ้ามีรอยแผลเป็เด็ดขาดเลยนะอันเอ๋อร์” เยี่ยนหลิงก็เป็เช่นบิดามารดา เกรงว่าซูอันจะาเ็จนจับตัวนางหมุนไปมา
ซูอันเริ่มจะเวียนหัวจึงต้องรีบห้ามพี่สาวให้หยุดมือ “หยะ หยุดก่อน ๆ พี่หญิงท่านหยุดหมุนข้าก่อนเถิดเ้าค่ะ จากที่ไม่าเ็ที่ใดข้าจะาเ็ยามอยู่ในจวนตนเองแทนแล้วเ้าค่ะ”
“แหะ ๆ ๆ พี่ขอโทษ ๆ แค่เป็ห่วงเ้ามากไปเท่านั้นเอง ตอนนี้จะบอกพวกเราได้หรือยังว่าเ้าเป็อย่างไรบ้างน่ะ ฮึ”
“โธ่ ข้าต่อสู้เก่งกาจถึงเพียงนี้จะาเ็ได้อย่างไร ที่สำคัญมีคนติดตามคอยอารักขาเป็อย่างดี คนพวกนั้นจะมีปัญญาทำอะไรข้าได้เ้าคะ เพียงแต่ว่ามีบางเื่ที่ข้าอยากให้พวกท่านได้รับรู้ มันอาจจะฟังดูโหดร้ายไปบ้างในความรู้สึกของพวกท่าน แต่ข้ารู้แค่เพียงว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นล้วนทำเพื่อครอบครัวของเรา” ซูอันเปรยถึงเื่ที่ได้เดินทางไปเยือนตระกูลหลิว
มู่ถงเห็นสายตาที่แข็งกร้าวของบุตรสาวคนเล็ก ก็พอจะคาดเดาได้ว่าสิ่งที่นางทำคงมิใช่เื่เล็ก ๆ “ในเมื่อพวกเรายินยอมให้เ้าเป็คนตัดสินใจ ดังนั้นไม่ว่าเ้าจะตัดสินใจลงมือเช่นไร พวกเราก็ควรยอมรับความจริงในข้อนี้”
“เ้าพูดมาเถิดว่าเกิดสิ่งใดขึ้นที่นั่นบ้าง” จือเหมยจับมือของสามีไว้แน่น ถึงแม้ความรู้สึกของนางจะบอกว่าไม่น่าใช่เื่ดีสักเท่าใดนัก
เยี่ยนหลิงเองก็พยักหน้าให้น้องสาว ซึ่งหมายความว่านางย่อมเห็นด้วยกับบิดามารดา เมื่อคนในครอบครัวไม่มีใครพูดไปในทางอื่น ซูอันจึงต้องตอบพวกเขาไปตามตรง
“ชื่อแซ่ตระกูลหลินแห่งเมืองถู่หลานจะไม่มีอีกต่อไป เื่ที่พวกเขา้าร้านค้าของครอบครัวเรา เป็เพราะคหบดีตระกูลฮ่วนซึ่งเป็เ้าหนี้ตระกูลหลิน คิดยืมมือคนตระกูลหลินที่มีความโลภในจิตใจ ชักจูงให้พวกเขากลับมาลงมือกับพวกเราอีกครั้ง”
“หมะ หมายความว่า..” เยี่ยนหลิงที่เคยเห็นซูอันสังหารคนมาก่อน นางเข้าใจความหมายของคำพูดนี้ได้ทันที
“ใช่เ้าค่ะ ตระกูลหลินทั้งหมดในจวนแห่งนั้นได้หายไปจากโลกนี้โดยสมบูรณ์ รวมถึงคหบดีตระกูลฮ่วนผู้ที่นำเื่ร้านค้าของเรา ไปบอกเล่าต่อตระกูลหลิวเพื่อเป็หนทางในการหาเงินเพื่อชดใช้หนี้ทั้งหมด
พวกท่านอาจจะมองว่าเหตุใดข้าถึงต้องลงมือโเี้เช่นนี้ แต่สำหรับมุมมองของข้าเมื่อใดที่เราได้มอบทางรอดให้ครั้งหนึ่งแล้ว พวกเขากลับทำลืมเลือนคิดว่าเป็แค่คำข่มขู่ทั่วไป เพื่อไม่ให้พวกเขากลับมาสร้างปัญหาในอนาคตอีก ข้าจำเป็ต้องตัดไฟั้แ่ต้นลม
ส่วนคนที่อยากร้านค้าตระกูลจิน ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ตามแต่ ข้าจำเป็ลงมือจัดการอย่างเด็ดขาดเช่นกัน หากทำการค้าร่วมกันอย่างซื่อสัตย์พวกเขาย่อมได้รับผลประโยชน์ไปอีกนาน แต่ในทางกลับกันถ้าเข้ามาเพื่อเอาเปรียบตระกูลจิน ข้าไม่อาจปล่อยให้คนเ่าั้มีโอกาสทำมันได้สำเร็จเ้าค่ะ” ซูอันอธิบายถึงเหตุผลที่นางต้องทำเช่นนี้กับคนในครอบครัว ทั้งสีหน้าและแววตาของนางบ่งบอกถึงความเด็ดเดี่ยว และไม่เกรงกลัวศัตรูที่จะมีเข้ามาในอนาคต
ทั้งสามคนฟังอย่างเงียบ ๆ พร้อมทำความเข้าใจ ถึงสิ่งที่ซูอันได้ทำลงไปทุกอย่างล้วนทำเพื่อครอบครัวทั้งสิ้น เพราะพวกเขาเคยทำตัวอ่อนแอมาก่อน จึงเป็ฝ่ายถูกกระทำจนเหมือนคนไร้ค่า
มู่ถงถอนหายใจเบา ๆ และทำได้เพียงยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น เนื่องจากตระกูลหลินทำตนเองจึงต้องพบกับหายนะ “เอาเถิดเื่มันมาถึงขั้นนี้แล้วหากพวกเราไม่เด็ดขาดเสียบ้าง คงไม่มีใครกล้านับถืออย่างจริงใจเป็แน่ แต่พ่ออยากขออันเอ๋อร์สักเล็กน้อยหากมีตระกูลใดที่มิได้กระทำการรุนแรงมากนัก เ้าแค่สั่งสอนให้พวกเขาหลาบจำก็พออย่าถึงขั้นฆ่าแกงจนหมดจวน ถ้าสั่งสอนไปแล้วยังไม่รู้จักเข็ดหลาบ เ้าจะจัดการอย่างไรนั้นพ่อย่อมไม่ขัดขวาง”
ซูอันรับปากบิดาและถามถึงอาการาเ็ของเขา “ได้เ้าค่ะท่านพ่อ แล้วมือของท่านเป็อย่างไรบ้างเ้าคะ ยังเจ็บอยู่หรือไม่เหตุใดไม่พักให้หายดีเสียก่อนล่ะเ้าคะ”
“อันเอ๋อร์ดุท่านพ่อแทนพวกเราทีเถิด ท่านแม่กับพี่พูดจนเหนื่อยแต่ท่านพ่อก็ยังดื้อรั้น พักแค่วันสองวันก็กลับมานั่งปักผ้าแล้วล่ะ” เยี่ยนหลิงได้ทีจึงฟ้องกับน้องสาวให้เกลี้ยกล่อมบิดาแทน
“ไม่เป็อันใดมากแล้ว ได้ยาจากท่านหมอกินติดต่อกันมาหลายวัน อาการก็ดีขึ้นตามลำดับไว้ถ้าพ่อไม่ไหวจริง ๆ จะยอมหยุดแต่โดยดีนะ” มู่ถงต่อรองกับซูอัน
“เฮ้อ ก็ได้เ้าค่ะท่านพ่อ แต่ท่านอย่าฝืนตัวเองเด็ดขาดนะเ้าคะ หากท่านพ่อรู้สึกเจ็บกลับไม่ยอมหยุด ข้าจะไม่ให้ท่านแม่นอนร่วมห้องกับท่านพ่อสามวันเ้าค่ะ” ถึงจะรับปากแต่ซูอันยังแอบข่มขู่บิดาไปเล็กน้อย
“ก็ได้ ๆ เ้าลูกคนนี้อย่าได้คิดมาแย่งเมียพ่อไปเชียว”
“ฮ่า ๆ ๆ ท่านพ่อกลัวเหงาใช่ไหมเ้าคะ” เยี่ยนหลิงเอ่ยหยอกล้อบิดาของตน
มู่ถงแอบเขินอายบุตรสาวที่รู้ทัน จึงทำท่าดุนางไปเช่นนั้น “หลิงเอ๋อร์ประเดี๋ยวเถอะ”
ซูอันนึกถึงเื่ของอู๋ซูกับไห่หยุนขึ้นมาได้ ก็รีบบอกกับคนในครอบครัวให้รับรู้เสียก่อน จะได้ไม่ต้องมานั่งอธิบายทีหลัง “อ้อ ข้าลืมบอกพวกท่านอีกเื่หนึ่งเ้าค่ะ อีกประเดี๋ยวจะมีคนมาอยู่ที่จวนเพิ่มอีกสองคน พอดีว่าพี่หญิงคนงามของข้ามีคนเป็ห่วงมาก ถึงกับให้คนสนิทมาคอยคุ้มครองความปลอดภัย อีกไม่นานท่านพ่อท่านแม่คงมีลูกเขยเช่นคนอื่นบ้างแล้วนะเ้าคะ คิ ๆ ๆ”
“อันเอ๋อร์นี่เ้าพูดถึงเื่อันใดพี่ฟังไม่เห็นเข้าใจสักนิด” เยี่ยนหลิงนึกถึงคนที่คอยติดตามก็มีเพียงเป่าโยว ส่วนคนที่เป็ห่วงนางยังมีคนอื่นอีกหรือ
“พี่หญิงท่านแอบมอบถุงหอมให้ใคร คิดว่าข้าไม่เห็นหรือเ้าคะ ส่วนคนรับถุงหอมของท่านก็ยิ้มจนหน้าบาน ป่านนี้จะกิน จะนั่ง จะเดิน จะนอนไม่ว่ามุมไหนคงมีแต่ใบหน้าของท่านผู้เดียวไปแล้วกระมัง” ซูอันที่แอบมองเยี่ยนหลิงผ่านหางตา ในวันที่ขบวนนักโทษจะออกเดินทาง แม้นางจะพูดคุยอยู่กับหยางไท่ิ แต่สายตาของนางก็ยังคอยมองพี่สาวอยู่เสมอ
เยี่ยนหลิงเมื่อรู้ว่าสิ่งที่นางทำมีน้องสาวรู้ทัน ถึงกับเขินอายใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาฉับพลัน แม้แต่คำแก้ต่างให้ตนเองยังคิดไม่ออก นางทำได้เพียงเรียกชื่อน้องสาวและวิ่งไล่จับพร้ะโกนจะลงโทษผู้เป็น้องสาว
“อันเอ๋อร์! เ้าหยุดพูดเดี๋ยวนี้นะมันไม่ใช่เช่นนั้นเสียหน่อย ท่านพ่อท่านแม่อย่าไปฟังที่นางพูดนะเ้าคะ มันไม่มีอะไรจริง ๆ เ้าค่ะ เ้าตัวแสบมาให้พี่ลงโทษเสียดี ๆ”
“แบร่! จ้างให้ก็จับข้าไม่ได้หรอกเ้าค่ะ ฮ่า ๆ ๆ”
“หยุดวิ่งนะอันเอ๋อร์! กลับมาหาพี่เดี๋ยวนี้”
มู่ถงกับจือเหมยได้แต่มองหน้ากันไปมา เพราะพวกเขาไม่ทันสังเกตท่าทางของเยี่ยนหลิงเท่าใดนัก เนื่องจากคิดว่าบุตรสาวคนนี้มีความสุขที่ได้เป็อิสระจากตระกูลหลิว จึงไม่คิดสงสัยอาการยิ้มบ่อย ๆ ของเยี่ยนหลิง ที่แท้ก็มีสาเหตุมาจากเื่บุรุษผู้หนึ่งนี่เอง สงสัยพวกเขาสองคนคงต้องสอบถามบุตรสาว เกี่ยวกับเื่นี้อย่างจริงจังเสียแล้ว
