แซ่เหลิวและแซ่เฉินจะกลายเป็ครอบครัวเดียวได้อย่างไรบ้าง?
แซ่ไม่เหมือนกัน แต่สามารถเกี่ยวข้องกันทางการแต่งงานได้สะใภ้ใหญ่เฉินโกหกอย่างไร้ยางอาย คนของสถานีก็ลืมตาข้างหลับตาข้างตรวจรับผลผลิตของบ้านหลี่เฟิ่งเหมยจนเสร็จสิ้น ไม่กดน้ำหนักสักชั่งเดียวทว่าประเมินเป็ ‘ระดับสอง’ ให้อยู่ดี
เพียงเท่านี้หลี่เฟิ่งเหมยก็ดีใจเหลือเกินแล้ว
“พี่สะใภ้ แค่พี่เอ่ยปาก ปัญหาก็ลดลงไปเยอะเลย!”
สิ่งที่สะใภ้ใหญ่เฉินพึ่งพาต้องเป็เกียรติของพ่อสามีเฉินวั่งต๋าอย่างแน่นอนส่งผลผลิตต้องปล่อยให้คนของสถานีเอาเปรียบผลประโยชน์เล็กน้อย ใครจะไม่รู้อยู่แล้วบ้าง? แม้เฉินวั่งต๋าจะสุดยอดขนาดไหนแต่ก็ไม่อาจทำให้คนทั้งหมู่บ้านชีจิ่งล้วนไม่โดยเอาเปรียบจากสถานีรับผลผลิตได้ทว่าเพราะเฉินวั่งต๋าวาจาตรงไปตรงมา คนในหมู่บ้านชีจิ่งจึงเดือดร้อนน้อยที่สุดข้าว 100 ชั่งอย่างไรก็ต้องชั่งออกมาได้มากกว่า 80 ชั่ง หากเปลี่ยนเป็หมู่บ้านอื่นมาส่งผลผลิตบ้างไม่บอกก่อนว่าจะประเมินระดับผลผลิตให้เท่าไร ข้าวซึ่งชั่งจากบ้านอย่างดีจำนวน 100 ชั่ง ถึงสถานีรับผลผลิตแล้วได้ 70 ชั่งก็ถือว่าเยี่ยมแล้ว
เซี่ยเสี่ยวหลานจะพูดอะไรได้?
ผ่านไปอีก 30 ปีเื่ราวเลี้ยวลดคดเคี้ยวพวกนี้ในชนบทก็ไม่อาจหมดสิ้นไปได้ และไม่จำกัดเพียงชนบทเท่านั้นน้ำใสสะอาดกลับไร้ปลา [1] ทั่วทุกมุมโลกล้วนมี ‘กฎที่ไม่ระบุ’ ละม้ายคล้ายคลึงกันทั้งนั้น
เซี่ยเสี่ยวหลานก็เป็ผู้ได้ประโยชน์จาก ‘กฎที่ไม่ระบุ’ เช่นกัน
เธอมีแนวทางจริยธรรม สัก 60 ส่วนขึ้นย่อมไม่เป็ปัญหาแต่ถ้าให้เธอใช้มาตรฐานของปราชญ์ผู้ประเสริฐในการปฏิบัติตนย่อมเป็ไปไม่ได้แน่นอน
สะใภ้ใหญ่เฉินส่งผลผลิตเรียบร้อยแต่ยังไม่กลับไปชั่วคราวผู้ชายบ้านเธอจำนวนหนึ่งต้องอยู่ช่วยงานที่สถานีรับผลผลิตเซี่ยเสี่ยวหลานและป้าสะใภ้จึงกลับไปก่อน ระหว่างเดินทางหลี่เฟิ่งเหมยนั้นอดไม่ได้ที่จะใช้วาจาที่ไม่กำกวมนักในการตักเตือนเซี่ยเสี่ยวหลาน
“ป้าบอกอะไรไปหลานอย่าเห็นว่าเป็คนนอกเลยนะเฉินชิ่งเป็เด็กดีคนหนึ่ง แต่หลานมีโอกาสสอบมหาวิทยาลัยเื่คู่หมายก็ช่างมันไปก่อน รอสอบเกาเข่าเสร็จแล้วค่อยว่ากันดีไหม?”
เซี่ยเสี่ยวหลานพูดไม่ออกเลยทีเดียว
“ป้าจ้ะ ฉันไม่ได้คบหากับพี่เฉินชิ่งจริงๆ ทำไมป้าคิดอย่างนี้เล่า?”
“แม่ของเฉินชิ่งเขาทำแบบนี้กับหลาน มองหลานเป็ว่าที่ลูกสะใภ้ไปแล้ว...ลุงวั่งต๋ามีหน้ามีตาขนาดนั้นแต่น้ำใจไมตรีของบ้านเฉินก็ไม่ใช่มีให้คนอื่นได้ง่ายๆ ”
อย่างไรเสีย ‘ความสนิทสนม’ เช่นนี้ ขนาดคนแซ่เฉินเหมือนกันในหมู่บ้านชีจิ่งยังวนมาไม่ถึงเลยไฉนวนมาถึงแซ่หลิวเสียได้
หลี่เฟิ่งเหมยมีตาชั่งอยู่ในใจ เฉินชิ่งคิดอย่างไรกับเสี่ยวหลานตระกูลเฉินมีทัศนคติอย่างไร หลี่เฟิ่งเหมยล้วนเห็นอยู่ในสายตาทั้งหมด
ยอมแล้ว ถูกป้าสะใภ้วิเคราะห์เข้าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
แม่เฒ่าเซี่ยด่าทอเธอเป็หญิงสำส่อนบอกว่าไม่มีผู้ใหญ่บ้านไหนจะยอมรับให้เซี่ยเสี่ยวหลานเข้าบ้านพอหลุดพ้นจากตระกูลเซี่ย ดอกท้อ [2] ของเซี่ยเสี่ยวหลานก็บานสะพรั่งไปทุกหนแห่ง โจวเฉิงนั้นไม่ขอกล่าวถึงดีกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานพบว่าตนเองโดน ‘พบผู้ปกครอง’ ถึงสองหน—ในยุคนี้ เป็่เวลาที่สตรีสามารถยืนหยัดด้วยลำแข้งของตนเองได้ไม่ใช่สังคมเฟะฟะของอนาคตที่เร่งเร้าให้ผู้หญิงทำงานกลับบ้านไปมีลูกคนที่สองทำไมเธอจะมีการงานของตัวเองไม่ได้กัน?
อยากมีการงาน ก็ต้องติดต่อพบปะกับคนอื่น ไม่ต้องสนว่าเป็ชายหรือหญิงเซี่ยเสี่ยวหลานล้วนปฏิบัติตนด้วยอย่างเท่าเทียมกัน
ใบหน้านี้ของเธอคือหินเคาะประตูโดยแท้จริง [3] บางครั้งนำความสะดวกสบายมาให้เธอ แต่ก็เช่นเดียวกันที่บางครั้งก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงซึ่งการนำมาซึ่งความเข้าใจผิดในทำนองเดียวกันได้
สนทนากันมากหน่อยก็หมายถึงจะคบหากันแล้วหรือ?
ยังดีที่ป้าเฉินกับมารดาจูฟ่างไม่เหมือนกันดูท่าทางแล้วคือโปรดปรานเธอ... ชอบอะไรในตัวเธอหรือ? ผู้ใหญ่ไม่ได้ชอบที่เธอหน้าตาสะสวยแน่นอนความคิดของป้าเฉินเซี่ยเสี่ยวหลานก็น่าจะพอเดาได้ชื่นชอบที่เธออดทนต่อความยากลำบากได้ หรือชื่นชอบที่เธอมีโอกาสสอบติดมหาวิทยาลัยกัน?
ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่รู้สึกอึดอัดเพราะเหตุแค่นี้แน่
‘หน้าตาดี’ อาจคงอยู่ไว้ไม่ได้ชั่วชีวิต แต่ ‘ความสามารถ’ จะเป็ของเธอตลอดกาล
อย่างไรเสียเซี่ยเสี่ยวหลานไม่มีความรู้สึกอะไรต่อเฉินชิ่งเพื่อมิให้ตระกูลเฉินและตัวเฉินชิ่งเองเข้าใจผิดอีกหน่อยเธอต้องใส่ใจรักษาระยะห่างเอาไว้เสียหน่อย
“ป้าจ้ะ ตอนนี้ฉันไม่มีใจไปคบหากับใครหรอกฉันเห็นพี่เฉินชิ่งเป็พี่ชายบ้านใกล้เรือนเคียงแต่ปู่เฉินช่วยเหลือฉันและแม่มามาก ดังนั้นการทดแทนน้ำใจให้คนตระกูลเฉินจึงเป็เื่ที่สมควรเื่เรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติมฉันตกลงกับคุณป้าเฉินไปก็ต้องทำให้ได้ตามที่รับปากใจฉันไม่มีความคิดอื่นๆ และก็ไม่อยากให้คนตระกูลเฉินเข้าใจผิดด้วยป้าว่าฉันควรทำอย่างไรดี?”
เป็พี่ชายบ้านใกล้เรือนเคียง?
หลี่เฟิ่งเหมยฟังจนเข้าใจแล้ว
นี่ก็เหมือนกับบัตรคนดี [4] ในยุคอนาคต เฉินชิ่งดีไปเสียทุกอย่าง แต่เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้มีความรู้สึกฉันชายหญิงต่อเขา
“อย่างนั้นก็อย่าปล่อยโอกาสให้ตระกูลเฉินได้พูดอะไรชัดเจน...”
แต่หากตระกูลเฉินเกริ่นถึงเื่ของเฉินชิ่งและเซี่ยเสี่ยวหลานแล้วเซี่ยเสี่ยวหลานปฏิเสธเข้า ถึงตระกูลเฉินจะใจกว้างแค่ไหนก็ต้องมีความคิดในแง่ลบอะไรบ้างหรือเปล่า? อย่างที่เซี่ยเสี่ยวหลานว่า พวกเธอสองแม่ลูกรวมถึงครอบครัวของตนเองล้วนติดหนี้น้ำใจของเฉินวั่งต๋าไว้ เฉินชิ่งเป็เด็กดี สถานะทางบ้านไม่ขี้เหร่ตัวเขาเองก็โดดเด่นทีเดียว ถ้าตระกูลเฉินถูกปฏิเสธ คงจะไม่เข้าใจว่าเฉินชิ่งไม่คู่ควรกับเซี่ยเสี่ยวหลานตรงไหนกัน?
ทำคนอื่นขุ่นเคืองใจจนอาจเกิดความผิดใจต่อกันได้ย่อมไม่ดีแน่นอน
ไม่ว่าจะเกิดความผิดใจกับบ้านใคร ก็ห้ามผิดใจกับบ้านเฉินเด็ดขาดเหตุการณ์ส่งผลผลิตวันนี้ก็เป็ตัวอย่างแล้วไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์สนิทสนมหรือห่างเหินกับบ้านเฉิน ล้วนมีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันโดยตรง!
หลี่เฟิ่งเหมยครุ่นคิดอยู่นานสองนาน จากนั้นหัวเราะ
“เช่นนั้นก็เว้นแต่หลานจะหาคู่หมายของตัวเองไว้สักคนรีบหาก่อนตระกูลเฉินจะออกปากอะไร”
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกพิลึกพิกล เธอจะไปหาคู่หมายสักคนมาจากไหนกัน?
โจวเฉิง?
เซี่ยเสี่ยวหลานนึกถึงชื่อของคนคนนี้ขึ้นมาทันที
นอกจากที่รู้ว่าโจวเฉิงเป็คนปักกิ่ง ปีนี้อายุ 20 ปี เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้รายละเอียดปลีกย่อยอื่นโดยสิ้นเชิงโจวเฉิงจากไปได้ครึ่งเดือนกว่าแล้ว ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใด เซี่ยเสี่ยวหลานคิดๆดู ก็ไม่แปลกใจที่คนอื่นเห็นหน้าแล้วจะชอบเธอ มิใช่เธอเองก็มองว่าโจวเฉิงหน้าตาหล่อเหลาในใจถึงได้หลงเหลือร่องรอยประทับใจเอาไว้หรอกหรือ?
“อย่างไรก็ตามก่อนฉันจะสอบติดมหาวิทยาลัย ไม่มีแผนคบหาใครแน่นอนจ้ะ”
หลี่เฟิ่งเหมยพยักหน้ารับ “จ้า ป้าเข้าใจเื่ราวดี เื่นี้ป้าจะช่วยคิดหาวิธีเอง”
ปกติเวลาพูดคุยยามว่างในชนบทก็จะจบด้วยการแสดงความห่วงใยเล็กๆน้อยๆ เช่นนี้แหละ จะทำอะไรได้ ถ้าเซี่ยเสี่ยวหลานสอบติดมหาวิทยาลัยจริงหลี่เฟิ่งเหมยยังต้องกังวลว่าเธอจะหาคู่หมายแสนดีไม่ได้อีกหรือ!
ตอนนี้ไม่ชอบเฉินชิ่ง นานเข้าเกิดความรู้สึกก่อตัวขึ้นมาเล่า?
จิตใจของหญิงสาววัยรุ่นเปลี่ยนแปลงรวดเร็วหลี่เฟิ่งเหมยเองก็เป็ผู้มีประสบการณ์
ณ ปักกิ่ง
เดินทางไปเซี่ยงไฮ้มาหนึ่งรอบ ทำเงินได้ก้อนใหญ่คังเหว่ยจึงลำพองในหมู่มิตรสหายขึ้นมาบ้าง
ครอบครัวคังเหว่ยมิใช่ฐานะไม่ดี
ทว่าบิดาของเขาสละชีพั้แ่ยังหนุ่มปู่ก็เกษียณจากตำแหน่งดั้งเดิมไปนานแล้ว ทุกวันนี้คนที่โดดเด่นที่สุดในตระกูลคังคืออารองของคังเหว่ยคุณอาเอ็นดูหลายชายอย่างไรก็ยังเว้นไว้ระดับหนึ่งอยู่ดีอารองยังมีลูกชายลูกสาวของตนเองให้เลี้ยงดูจะดูแลคังเหว่ยไปเสียทุกเื่ได้อย่างไร
เขาจึงจัดการหางานให้คังเหว่ยสักอย่าง ไม่ดีไม่แย่ ถือว่าทำๆ ไปก่อน
โชคดีที่คังเหว่ยเองมุ่งมั่นเพื่อความสำเร็จใช้คำพูดของคนอื่นบรรยายจะบอกว่าเด็กคนนี้รู้จักเผาเตาร้อน [5] บ้านหลังใหญ่คนมากมายขนาดนั้นคังเหว่ยเชื่อฟังโจวเฉิงั้แ่วัยเยาว์ ชอบที่จะวิ่งติดตามก้นของโจวเฉิงเสมอตระกูลโจวก็คือเตาร้อน เด็กโจวเฉิงนั้นเป็องค์ชายในหมู่เด็กๆอย่าว่าแต่เด็กอายุน้อยกว่าเขาต้องเรียกพี่ชายตอนนั้นขนาดเด็กโตกว่าเขาสักสองสามปีก็ต้องก้มหัวเรียกพี่เลย
ตอนนี้ทุกคนเติบโตกันแล้ว บางคน้ารักษาหนังหน้าของตัวเองบ้างแต่ก็ยังต้องเรียก ‘โจวเฉิง’ ด้วยความเกรงอกเกรงใจอยู่ดี
ในขณะที่ตระกูลโจวรุ่งโรจน์ โจวเฉิงและคังเหว่ยผู้น่าสงสารย่อมมีอนาคตที่ต่างกันอนาคตของเขาถูกวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่นานมานี้โจวเฉิงต้องโทษฐานผิดวินัยไม่หือไม่อือก็กลับมาจากหน่วยงาน... คนอื่นยังนึกว่าโจวเฉิงถูกไล่ออกจากหน่วยงานด้วยซ้ำแต่กลับไม่รู้ว่าโจวเฉิงเองก็ไม่ได้ไตร่ตรองให้ชัดเจน
เื่ที่เกิดขึ้นเขาไม่ใช่คนผิดโทษฐานผิดวินัยเขาแบกไว้ด้วยความไม่เต็มใจ เลยส่งรายงานขอลาหยุดไปเสียจากนั้นก็พักอยู่บ้านยาวๆ
อย่างไรคังเหว่ยก็เที่ยวเล่นมาด้วยกันั้แ่เด็กจนโตบิดาบังเกิดเกล้าของคังเหว่ยเสียชีวิตในแนวหน้าของกองทัพ จะเป็จะตายย่าคังก็ไม่มีทางยอมรับให้คังเหว่ยเดินทางเดิมเหมือนลูกชายของตนเป็แน่
จะเรียนหนังสือ คังเหว่ยก็ไม่มีหัวทางด้านนั้น
สูงไม่ถึงต่ำไม่ยอม ทำงานธรรมดาสามัญตอนนี้ยังดูไม่ออกว่าไม่เอาอ่าวแต่ผ่านไปอีกหลายปีความแตกต่างของทุกคนก็ชัดเจนออกมาเอง
คังเหว่ยเป็คนคิดลบพอสมควร ขอร้องอ้อนวอนโจวเฉิงจนเขายอมพาไปเซี่ยงไฮ้สักรอบ
ในการเดินทางครั้งนี้เงินที่ทั้งสองได้มาทำให้กระเป๋าของคังเหว่ยอุดมสมบูรณ์ คนอื่นจะหาว่าเขาประจบประแจงก็ดีเผาเตาร้อนก็ช่าง คังเหว่ยรู้ดีว่าอะไรเป็อะไร และพี่เฉิงจื่อดูแลเขาได้ดีจริงๆในเมื่อได้รับไมตรีจากโจวเฉิงแล้ว คังเหว่ยจึงต้องพิจารณาแทนโจวเฉิง
ก่อนหน้านี้โจวเฉิงกล่าวว่าจะไปหนเดียวเท่านั้น แต่ตอนนี้กลับวางแผนจะเดินทางครั้งที่สองแล้ว
คังเหว่ยอกสั่นขวัญแขวน เพราะกลัวว่าคนตระกูลโจวจะคิดบัญชีกับเขา
พี่เฉิงจื่อเป็ผู้มีอนาคตยิ่งใหญ่เหลือเกินเงินที่หาได้จากงานนี้ดีเสียจนไม่ต้องพูดถึงแต่จะสำคัญเท่าอนาคตของพี่เฉิงจื่อได้อย่างไรกัน?
เชิงอรรถ
[1]水至清则无鱼 น้ำใสสะอาดกลับไร้ปลา หมายถึงน้ำที่ใสสะอาดมากเกินไปไม่มีปลาอาศัยอยู่ได้ เปรียบเทียบถึงคนที่มีมาตรฐานกับผู้อื่นเข้มงวดเกินไป ไม่ยอมรับแม้แต่ข้อเสียเล็กน้อยคนอื่นย่อมอยู่ด้วยไม่ได้เช่นกัน
[2]桃花 ดอกท้อเปรียบเทียบถึงความรักหรือดวงเื่ความรัก
[3]敲门砖 อิฐเคาะประตู หมายถึงใช้ประโยชน์จากบางสิ่งบางอย่างให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงหรือผลประโยชน์
[4]好人卡 บัตรคนดีหมายถึง ถูกปฏิเสธจากคนที่ชอบมีที่มาจากวัฒนธรรมย่อยทางอินเตอร์เน็ตในจีนและไต้หวันเมื่อ้าปฏิเสธคนที่ไม่ได้ชอบ จะใช้คำที่นุ่มนวลอย่าง ‘คุณดีมาก คุณไปหาคนที่เหมาะสมเถอะ’ ต่อมาจึงใช้คำพูดหยอกเย้าว่า ‘ส่งบัตรคนดี’ หรือ ‘ได้รับบัตรคนดี’
[5]烧热灶 เผาเตาร้อนเดิมทีเป็คำในวงการการพนัน หมายถึง พนันข้างที่มีโอกาสชนะสูงในที่นี้เปรียบเทียบว่า เอาอกเอาใจคนที่มีอำนาจ