ลู่เหยาเป็ถึงหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองชิงโจว ทุกการเคลื่อนไหวของนางจึงเป็ที่สนใจของผู้คนจำนวนมาก
ตอนนี้มีสายตาเย็นเยือกหลายคู่มองมาที่เย่เฟิงและหนานกงอวี่ แต่เมื่อเห็นลู่เหยาแสดงท่าทีสนิทสนมต่อหน้าสองคนนั้น สายตาเ่าั้ก็ยิ่งฉายอย่างเย็นะเื
“สองคนนี้มีอะไรดี ไม่นึกว่าจะได้รับความชื่นชอบจากลู่เหยา บัดซบที่สุด!” ชายหนุ่มจากตระกูลหนึ่งของเมืองชิงโจวกล่าวเสียงเย็น ด้วยสถานะและความสวยของลู่เหยา ใครเล่าจะไม่อยากสนิทสนมกับนาง
“เ้าไม่เห็นหรือ? คนนั้นเหมือนจะเป็ศิษย์พี่ของคุณหนูลู่เหยา ทั้งยังดูสนิทสนมกันเป็พิเศษ ดูท่าคุณหนูลู่เหยาจะมีใจให้ศิษย์พี่ของนาง ถึงได้ไม่แยแสหนุ่ม ๆ อย่างพวกเรา” ชายอีกคนกล่าวเสริม พร้อมกับชี้นิ้วไปที่หนานกงอวี่ จู่ ๆ สายตาหลายคู่มองไปที่หนานกงอวี่ ก่อนจะอดไม่ได้ที่จะเหยียดยิ้มอย่างเ็า
“เขาน่ะหรือ? ข้าล่ะสงสัยในสายตาของคุณหนูลู่เหยาจริง ๆ หากข้ามองไม่ผิด ตบะของคนผู้นี้ยังไม่ถึงขั้นยุทธ์แท้ด้วยซ้ำ ก็แค่สวะขั้นรวมชี่ มีสิทธิ์อะไรที่จะได้รับความชื่นชอบจากคุณหนูลู่เหยา ช่างน่าขันสิ้นดี!” คนผู้หนึ่งกล่าวดูถูก พวกเขาล้วนเป็อัจฉริยะจากกองกำลังใหญ่ ๆ ของเมืองชิงโจว ตบะต่ำสุดอยู่ขั้นรวมชี่สูงสุด แน่นอนว่าไม่มีทางเห็นหนานกงอวี่ที่อยู่ขั้นรวมชี่ที่ 9 อยู่ในสายตา
เมื่อบทสนทนาของคนเหล่านี้ตกอยู่ในหูของหนานกงอวี่ เขาจึงเผยสีหน้าไม่สู้ดีเล็กน้อย แต่ในเมื่อเขามาแล้ว เขาย่อมเตรียมรับที่จะโดนดูถูกเช่นนี้ จากนั้นเขามองลู่เหยาที่อยู่ตรงหน้า “ศิษย์น้อง ข้าว่าจะใช้โอกาสนี้มาขออนุญาตท่านลุงเพื่อสู่ขอเ้า”
ดวงตาของหนานกงอวี่เผยประกายความแน่วแน่ และยังกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง
“อืม!” ลู่เหยาได้ยินเช่นนั้นก็หน้าแดงระเรื่อ นางนั้นมีความคิดอยากจะแต่งงานกับหนานกงอวี่ เพียงแต่มีความกดดันจากหลาย ๆ ทาง จึงยังไม่ได้เอ่ยปากขอกับบิดานางอย่างเป็ทางการ
“น้องเล็ก คนนี้คือศิษย์พี่คนนั้นของเ้าหรือ?”
ขณะนั้นลู่หว่าน เฉียนหง และลู่เชาเดินมาทางที่พวกเย่เฟิงอยู่ ซึ่งลู่หว่านกวาดตามองหนานกงอวี่ด้วยสายตาโอหัง ก่อนจะเอ่ยถามลู่เหยาเช่นนั้น
“ใช่แล้ว” ลู่เหยาพยักหน้า จากนั้นหันไปพูดกับเย่เฟิงและหนานกงอวี่ว่า “ศิษย์พี่ เย่เฟิง สองท่านนี้คือลู่เหยาพี่สาวข้า พี่เขยเฉียนหง และลู่เชาลูกผู้พี่ของข้า”
“ท่านพี่ พี่เขย ลูกผู้พี่ สองท่านนี้คือหนานกงอวี่ศิษย์พี่ข้า และสหายของเขานามว่าเย่เฟิง” ลู่เหยากล่าวแนะนำเย่เฟิงและหนานกงอวี่ให้พวกลู่หว่านรู้จัก
แต่ลู่หว่านเผยสีหน้าเฉยเมยแฝงความดูแคลน ดูจากท่าทีของนางก็ดูออกว่าไม่เห็นเย่เฟิงและหนานกงอวี่อยู่ในสายตา ส่วนเฉียนหงและลู่เชาก็ไม่ปรายตามองเย่เฟิงและหนานกงอวี่แม้แต่นิดเดียว โดยเฉพาะเฉียนหง เขาคือบุตรเ้าเมืองชิงโจว ไม่ใช่ใครที่ไหนจะมาพูดคุยกับเขาก็ได้
“ตบะยังไม่ถึงขั้นยุทธ์แท้ ข้าล่ะสงสัยจริง ๆ ว่าไปทำอีท่าไหนถึงทำให้น้องเล็กข้าหลงใหลในตัวเ้าได้?”
ลู่เหยากวาดตามองหนานกงอวี่ด้วยสายตาดูแคลนไม่หยุด ก่อนจะมองลู่เหยาแล้วกล่าวว่า “น้องเล็ก ในความคิดข้า ศิษย์พี่คนนี้ของเ้าก็ดูงั้น ๆ แหละ เขาไม่คู่ควรกับเ้าแม้แต่นิดเดียว”
หนานกงอวี่ได้ยินคำพูดของลู่หว่านก็นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ แต่สถานการณ์เช่นนี้เขาก็คาดการณ์ไว้นานแล้ว ลู่หว่านคือพี่สาวแท้ ๆ ของลู่เหยา แม้หนานกงอวี่จะไม่พอใจ เขาก็ไม่สามารถพูดออกมาได้
ลู่เหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย พร้อมเหลือบมองหนานกงอวี่แวบหนึ่งด้วยท่าทีขอโทษ จากนั้นหันกลับไปมองลู่หว่าน “บางทีในสายตาของพวกท่าน ศิษย์พี่อาจไม่โดดเด่นมากพอ แต่ข้าเชื่อว่าสักวันหนึ่งศิษย์พี่จะประสบความสำเร็จด้วยความสามารถของตัวเขาเอง”
ลู่เหยานั้นมีจิตใจดี จึงไม่เคยรังเกียจหนานกงอวี่เพียงเพราะฐานะและพร์ กลับกันยังเป็แรงหนุนและคอยให้กำลังใจหนานกงอวี่ บางทีหนานกงอวี่อาจเป็คนที่โดดเด่นที่สุดในสายตาของลู่เหยา และจะไม่มีผู้ใดมาแทนที่หนานกงอวี่ที่อยู่ในใจของนางได้
“เขาก็แค่สวะขั้นรวมชี่จะมีความสามารถอะไร แล้วจะประสบความสำเร็จได้ยังไง?”
ลู่หว่านกล่าวพลางแสยะยิ้ม “น้องเล็ก ข้าว่าเ้าเลิกคบกับคนคนนี้ซะ ท่านพ่อไม่มีทางเห็นด้วยที่เ้าคบค้าสมาคมกับคนแบบนี้แน่ มิสู้หาคนที่ดีกว่าแต่งเข้าตระกูลลู่ไม่ดีกว่าหรือ แม้จะไม่ยอดเยี่ยมเท่าพี่เขยเ้า แต่ก็ยังดีกว่าเขา”
ถ้อยคำของลู่หว่านไร้ซึ่งความเกรงใจใด ๆ และไม่แยแสหนานกงอวี่แม้แต่นิดเดียว
“ใช่แล้วน้องเล็ก ด้วยบารมีของพี่เขยในไท่โยวเก้าเขต เขาสามารถแนะนำผู้ชายดี ๆ ให้เ้าได้ ซึ่งดีกว่าคนคนนี้หลายเท่า น้องเล็กไยต้องตัดโอกาสตัวเองด้วยเล่า?” ลู่เชาที่อยู่ข้าง ๆ กล่าวเสริม ทั้งยังมองเย่เฟิงและหนานกงอวี่ราวกับมดแมลงตัวหนึ่งก็ไม่ปาน
“พอได้แล้ว!”
ลู่เหยาเห็นลู่หว่านและลู่เชาพูดมากเกินไปก็เผยสีหน้าเย็นเยียบ จากนั้นกล่าวกับลู่หว่านและลู่เชาว่า “จะแต่งกับใครมันก็เื่ของข้า พวกท่านไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย และข้าไม่อนุญาตให้พวกท่านดูถูกศิษย์พี่ข้า”
ถ้อยคำของลู่เหยาดูแน่วแน่อย่างมาก และดวงตายังส่องประกายคมกริบ คนอื่นจะว่าอะไรนางก็ได้ แต่หากพูดจาดูถูกศิษย์พี่หนานกงอวี่ของนาง นั้นก็เท่ากับล้ำเส้นบรรทัดล่างของลู่เหยา
“ฮ่า ๆ ๆ!”
ลู่หว่านเห็นลู่เหยาพูดจาไม่เกรงใจก็แค่นเสียงหัวเราะอย่างเ็า “พวกเ้าสองคนยังไม่เป็อะไรกัน เ้าก็เริ่มกินนอกกินใน[1] แล้วหรือ? ช่างทำให้ข้าผิดหวังเสียจริง!”
สถานการณ์ทางนี้เริ่มดึงดูดความสนใจจากผู้คนไม่น้อย พวกเขาพบว่าสองฝ่ายที่มีปากเสียงกันเป็สองพี่น้องผู้เป็บุตรสาวของเ้าภาพ
“หว่านเอ๋อร์สงบลงหน่อย น้องเล็กยังเด็ก ข้าเชื่อว่าในอนาคตอีกไม่นาน นางจะเข้าใจความหวังดีของเ้าแน่นอน” เฉียนหงกล่าวพร้อมเดินมาปลอบใจลู่หว่าน
“อืม”
ลู่หว่านพยักหน้า และหันไปพูดกับลู่เหยาต่อ “เห็นหรือยัง พี่เขยเ้าไม่เพียงแต่เป็คนมากฝีมือ แต่ฐานะยังสูงส่ง เทียบกับพี่เขยเ้า ศิษย์พี่คนนี้ของเ้าเทียบไม่ติดเลยแม้แต่นิดเดียว ในเมื่อเ้าไม่ฟังข้า เช่นนั้นเ้าก็ทำต่อไปเถอะ!”
เมื่อกล่าวจบ ลู่หว่านก็ควงแขนเฉียนหง ก่อนจะเดินออกไปจากทางด้านนี้
“ศิษย์พี่ ท่านอย่าถือสาเลย ท่านพี่นางเป็คนชอบพูดจาโผงผางเช่นนี้แหละ” ลู่เหยาเห็นลู่หว่านออกไปก็เอ่ยปากขอโทษหนานกงอวี่ทันที
“อืม” หนานกงอวี่พยักหน้า ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนเตรียมใจไว้แล้วที่จะโดนคนตระกูลลู่ปฏิบัติเช่นนี้ ดังนั้นเื่เมื่อครู่จึงถือเป็เื่เล็กน้อยสำหรับหนานกงอวี่และลู่เหยา จึงไม่ได้สนใจมากมายอะไร
ส่วนเย่เฟิงที่ฟังอยู่ข้าง ๆ ก็รู้สึกไม่ชอบขี้หน้าลู่หว่าน ลู่เชา และเฉียนหง
“มีสามคนมาขัดขวางเช่นนี้ หากหนานกงอวี่อยากสู่ขออย่างราบรื่น เกรงว่าจะไม่ง่ายแล้ว” เยเฟิงคิดในใจ ทัศนคติที่คนตระกูลลู่มีต่อหนานกงอวี่เลวร้ายกว่าที่เขาคิดไว้มาก
ไม่นานลู่ตงผู้นำตระกูลลู่ก็มาถึงงาน ในฐานะตัวละครหลักในวันนี้ ลู่ตงจึงเฉิดฉายกว่าใครและมีความเกรงขามของผู้นำตระกูลลู่
ส่วนเย่เฟิงและหนานกงอวี่ในฐานะแขก พวกเขาถูกจัดให้นั่งในที่ลับตาคน แต่เย่เฟิงก็ไม่สนใจอะไร
ผ่านไปสักพักผู้ฝึกยุทธ์ก็มากันครบ งานเลี้ยงจึงเริ่มขึ้นอย่างเป็ทางการ ด้านเย่เฟิงและหนานกงอวี่ยังคงนั่งในที่ลับตาคนอยู่เช่นนั้น แลดูอึดอัดใจอยู่เล็กน้อย
ในที่สุดเมื่อถึงจุดหนึ่ง หนานกงอวี่ก็ลุกขึ้นจากที่นั่งช้า ๆ และกล่าวกับลู่ตงที่นั่งอยู่บริเวณที่นั่งหลักว่า “ข้าขอแสดงความยินดีกับวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 60 ปีของผู้าุโลู่ แต่ข้ามีบางเื่อยากหารือกับผู้าุโลู่ ไม่ทราบว่าท่านจะมีโอกาสให้ข้าพูดหรือไม่?”
ลู่ตงเห็นหนานกงอวี่ลุกขึ้นพูดเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่ใช่คนโง่เขลา เขาย่อมรู้เื่ระหว่างหนานกงอวี่กับลู่เหยาบุตรสาวของเขา แม้ลู่ตงไม่ชอบหนานกงอวี่ แต่ก็อยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะพูดเื่อะไร เขาจึงตอบกลับไปว่า “ว่ามา!”
ผู้คนหันมามองหนานกงอวี่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ว่าชายผู้นี้ที่มีตบะไม่ถึงขั้นยุทธ์แท้จะพูดสิ่งใดกันแน่
หนานกงอวี่สูดหายใจเข้าลึก เขาหันไปมองลู่เหยาที่อยู่ไกล ๆ ก่อนจะมีแรงผลักดันขึ้นมาสองสามส่วน จากนั้นกล่าวกับลู่ตงว่า “ข้าและศิษย์น้องลู่เหยาต่างมีใจให้กันและกัน จึงอยากใช้โอกาสนี้มาสู่ขอกับผู้าุโลู่ หวังว่าผู้าุโลู่จะเปิดทางให้เราสองคนแต่งงานกัน”
หนานกงอวี่กล่าวด้วยความมั่นใจและแน่วแน่ ทั้งยังแฝงไปด้วยความรักที่เขามีต่อลู่เหยา ทว่าผู้คนในที่แห่งนั้นได้ยินต่างก็ตะลึงงัน คล้ายไม่คิดว่าหนานกงอวี่จะมาสู่ขอเช่นนี้ต่อหน้าผู้คนมากมาย
ลู่ตงประหลาดใจไปชั่วขณะ พร้อมหรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคู่นั้นก็ราวกับมองทะลุร่างหนานกงอวี่ “เ้าเป็ใคร? ตอนนี้ตบะอยู่ระดับใด?”
“ผู้เยาว์มาจากตระกูลหนานกงแห่งเมืองโยวโจว ตอนนี้ตบะอยู่ขั้นรวมชี่ที่ 9” หนานกงอวี่กล่าวพร้อมโค้งคำนับลู่ตง ถึงเวลานี้แล้วหนานกงอวี่ดูไม่ตึงเครียดมากเท่าไรนัก
“ที่แท้คนผู้นี้ก็มาจากโยวโจว มิน่าตบะถึงต่ำต้อย ไม่รู้จักกฎเกณฑ์เสียจริง!”
“ใช่ เมืองโยวโจวเป็ที่ห่างไกลความเจริญ แล้วจะมีอัจฉริยะได้อย่างไรกัน?”
ผู้คนได้ยินหนานกงอวี่แนะนำตัวว่าตนมาจากเมืองโยวโจวที่ค่อนข้างห่างไกลความเจริญ พวกเขาต่างก็เผยสีหน้าดูแคลน และเริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานา
“เมืองโยวโจว ตระกูลหนานกง? ตบะขั้นรวมชี่ที่ 9?”
ลู่ตงได้ยินคำพูดของหนานกงอวี่ก็เผยรอยยิ้มดูแคลน “เ้าคิดว่าเ้าจะใช้ฐานะและพลังของเ้าเช่นนี้มาสู่ขอลู่เหยางั้นหรือ?”
-----------------------------------
[1] กินนอกกินใน หมายถึง กอบโกยผลประโยชน์เข้าตนเอง
