เซี่ยเสี่ยวหลานรีบเร่งวิ่งอย่างฉับไวกว่าทุกครั้งที่มาโรงเรียน
สนทนาเนื้อหาการเรียนที่ยากกับอาจารย์แต่ละวิชา รับแบบฝึกหัดเข้าร่วมการสอบย่อยของโรงเรียน นี่คือวงจรของการมาเยือนเซี่ยนอีจงทุกๆ ครั้งของเซี่ยเสี่ยวหลานทว่าครั้งนี้เหมือนแตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อยเวลาเหล่าอาจารย์พบเธอก็มีอัชฌาสัยไมตรีจิตยิ่งขึ้น ขณะว่างจากการอธิบายเนื้อหาเป็่พักระหว่างคาบพอดี ไม่รู้ว่าใครเห็นเซี่ยเสี่ยวหลานก่อนถึงได้มีนักเรียนหลายคนผ่านหน้าต่างห้องพักครูราวกับตั้งใจทักทายกับเซี่ยเสี่ยวหลาน
“เพื่อนเซี่ย เธอมาโรงเรียนแล้วหรือ?”
“เพื่อนเซี่ย ฉันมีสมุดจดอยู่บ้าง เธอ้าไหม?”
“เพื่อนเซี่ย...”
เซี่ยเสี่ยวหลานฉงนงงงวย
นักเรียนเหล่านี้ เธอไม่รู้จักสักคนเดียว
เหล่าวังหัวเราะร่วน พลางชี้แจงแก่เธอ “ทั้งหมดเป็นักเรียนห้อง 3 นั่นแหละ เธอไม่สนิทกับพวกเขาสินะ? แต่ทุกคนขอบคุณที่เธอหาข้อสอบมาให้นะ”
คราวนี้เซี่ยเสี่ยวหลานได้นำข้อสอบมามอบให้อีกหนึ่งชุด
ผู้เตรียมตัวเข้าสอบของเซี่ยนอีจงจึงมีข้อสอบให้ทำอีกแล้วทว่าไร้ซึ่งคนคร่ำครวญ เดี๋ยวนี้มีข้อสอบให้ทำก็ต้องขอบคุณฟ้าดินแล้วไม่มีใครคิดบ่นว่าแบบฝึกหัดมีจำนวนมากเกินไป ไม่มีใครเอ็ดตะโรเรียกร้องให้ลดภาระแก่นักเรียนถ้าไม่มีข้อสอบพวกนี้ ก็ไม่มีการฝึกฝนในแต่ละครั้ง พวกเขาจะแข่งขันกับผู้สอบทั่วประเทศได้อย่างไร?
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกเหนือความคาดหมาย “เพื่อข้อสอบเล็กน้อยหรือคะ?”
“นั่นไม่ใช่แค่ข้อสอบเล็กน้อยนะ”
เหล่าวังแสดงสีหน้าจริงจัง ข้อสอบทุกชุดล้วนคืออนาคตของผู้สอบคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อย่างเซี่ยเสี่ยวหลานนี้มีอยู่ไม่มาก เอาใจเขามาใส่ใจเราจึงมีนักเรียนกระตือรือร้นอยากให้เซี่ยเสี่ยวหลานยืมสมุดจดบันทึกเธอคิดว่าตนเองเพียงทำตามประสงค์โดยนำแบบฝึกหัดที่รวบรวมได้ส่งมอบแก่โรงเรียนแต่ไม่รู้ว่าตนเองได้โยนหินก้อนหนึ่งลงไปบนทะเลสาบที่ผิวน้ำนิ่งสนิทก่อเกิดเป็ระลอกคลื่น บรรเทาความระส่ำระส่ายในหมู่ผู้เข้าสอบด้วยกัน
วิชาที่แต่ละคนถนัดย่อมไม่เหมือนกันวิธีการเรียนเป็คลังสมบัติทางปัญญาอันแสนล้ำค่า ถ้าสามารถแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันได้คะแนนของทั้งเซี่ยนอีจงคงสูงขึ้นใช่ไหม?
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้ว่าตนเองทำเื่ที่มีอิทธิพลมากมายขนาดไหนไปเมื่อเธอออกจากห้องพักครู ก็พบกับเฉินชิ่งผู้รออยู่ตรงนั้น
“เสี่ยวหลาน ฉันมีเื่อยากปรึกษากับเธอหน่อย”
ครอบครัวเซี่ยเสี่ยวหลานย้ายไปซางตูแล้ว เฉินชิ่งกลับหมู่บ้านชีจิ่งจึงไม่มีความหมายใดอีกโอกาสจะได้พบหน้าเซี่ยเสี่ยวหลานมีเพียงรอเธอมาโรงเรียนแต่สิ่งนี้กลับข่มจิตใจชายหนุ่มปรารถนารักของเฉินชิ่งไว้ ทำให้เขาทุ่มเทกับการเรียนได้ชั่วขณะหนึ่ง
ทว่าพอพบปะชิดใกล้กับเซี่ยเสี่ยวหลานอีกครั้ว เฉินชิ่งยังคงแอบหน้าแดงบ้าง
เขาพยายามทำเสียงตนเองให้ฟังแล้วเป็ปกติที่สุด “...ฉันนำวิธีเรียนที่เธอให้ไปบอกต่อแก่นักเรียนในชั้นได้หรือไม่?”
วิธีที่เซี่ยเสี่ยวหลานสอนมีประสิทธิภาพยิ่งนัก
ในระยะเวลาอันสั้น ปริมาณคำศัพท์ภาษาอังกฤษของเฉินชิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น
คะแนนภาษาอังกฤษของเขาจากการสอบย่อยหลายครั้งมีการพัฒนาอย่างที่เซี่ยเสี่ยวหลานกล่าวไว้ สะสมคำศัพท์ได้มากพอ เขาย่อมเข้าใจคำถามในข้อสอบเพราะท้ายที่สุดการสอบปรนัยมิใช่อาศัยเดาสุ่มทั้งหมด
เฉินชิ่งสอบด้วยความรู้ของตนเอง สามารถสอบได้ราว 40 คะแนนแล้ว แม้ยังห่างจากเกณฑ์ผ่าน 60 คะแนนของวิชาภาษาอังกฤษทว่าแต่ไหนแต่ไรสัดส่วนของผู้เข้าสอบทั่วประเทศที่ผ่านวิชาภาษาอังกฤษได้มีน้อยมาก
สีหน้าของเซี่ยเสี่ยวหลานอ่อนโยนขึ้น ดวงหน้าเธอต่อให้โกรธก็ดูกระเง้ากระงอดเท่านั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงยามอ่อนโยนนุ่มนวล ทำเอาเฉินชิ่งไม่กล้ามองตรงๆ
“ได้แน่นอน ฉันบอกพี่ พี่ก็บอกคนอื่นได้ คะแนนของทุกคนมีการพัฒนาขึ้นนั้นดีออกจะตายไป”
เธอมองคนไม่ผิด เฉินชิ่งเป็คนดีคนหนึ่ง วิธีเรียนที่เธอให้เฉินชิ่งคือการตอบแทนน้ำใจของบ้านเฉินส่วนเฉินชิ่งจะนำไปใช้อย่างไร ไม่ใช่เื่ที่เธอต้องจัดการ
เซี่ยเสี่ยวหลานหาใช่แม่พระ แต่เธอก็มิใช่วายร้าย
และแม้เธอจะเป็วายร้าย ก็ชื่นชอบที่รอบกายของตนเองรายล้อมด้วยคนโอบอ้อมอารีอยู่ดีมีความรู้สึกปลอดภัย!
---------------------------------------
ความคุ้นเคยแรกพบของเพื่อนนักเรียนห้อง 3 และการกระทำของเฉินชิ่งทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกเหมือนเธอถูกโอบอุ้มด้วยคุณธรรมดีงามที่แท้จริงของโลกใบนี้จิตใจผ่อนคลายทีเดียว ถ้าตอนออกจากโรงเรียนไม่มีจางชุ่ยดักอยู่หน้าประตูอารมณ์สดชื่นเบิกบานของเธอคงยั่งยืนยาวนานกว่านี้
ในมือจางชุ่ยถือซาลาเปาจำนวนหนึ่ง “เสี่ยวหลานหลานกินข้าวหรือยัง มาชิมซาลาเปานี่หน่อยสิ”
ผู้คนที่ไม่รู้ความเป็มาต้องนึกว่าคือมารดาบังเกิดเกล้าแน่นอน
เซี่ยเสี่ยวหลานคร้านจะเล่นละครเป็เพื่อนจางชุ่ย “ไม่กิน ฉันกลัวป้าวางยา”
จางชุ่ยอยากจะบีบเซี่ยเสี่ยวหลานให้ตายเหลือเกิน “เสี่ยวหลาน อย่าเล่นตลกกับป้าสิ ป้าห่วงหลานมากนะ ทำไมต้องวางยาด้วย...”
เซี่ยเสี่ยวหลานเหนื่อยหน่าย “อิจฉาที่ฉันสวยล่ะมั้งใครจะรู้ว่าป้าคิดอย่างไร”
สีหน้าของจางชุ่ยที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาดูน่าขันยิ่งนักกลั้นไฟโทสะะเิออกไม่ได้ เป็เพราะเลือกแสดงผิดตัวละครหากอาสะใภ้สามหวังจินกุ้ยอยู่ ต้องปะทะฝีปากกับเซี่ยเสี่ยวหลานเป็แน่
อยู่ดีๆ เซี่ยเสี่ยวหลานก็เดินหน้าหนึ่งก้าว “ครอบครัวป้ามีความเกี่ยวข้องกับอาจารย์ใหญ่ซุนสินะ? ทำไม อยากวานให้อาจารย์ใหญ่ซุนเตะฉันออกจากเซี่ยอีจง?”
ความตกตะลึงบนใบหน้าของจางชุ่ยยากที่จะซุกซ่อนไว้
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้เื่นี้ได้อย่างไร?
จางชุ่ยเดาความคิดของเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ออก เธอคิดว่าไม่อาจปล่อยปละต่อไปได้แล้วจะต้องแจ้งสถานการณ์ทางนี้กับเซี่ยจื่ออวี้
“ป้าไม่รู้ว่าเธอกำลังพูดอะไร เหมือนหลานยังคงโกรธเคืองครอบครัวอยู่ เฮ้อ!”
จางชุ่ยทำท่าทางผิดหวังเป็อย่างยิ่ง
ตอนแรกเซี่ยเสี่ยวหลานมีการคาดคะเนเจ็ดส่วน ตอนนี้เธอแน่ใจแล้วอาจารย์ใหญ่ซุนคือที่พึ่งหนึ่งเดียวของเซี่ยจื่ออวี้อย่างที่คิดอาจเป็เพราะเซี่ยจื่ออวี้จากไปน้ำชาก็เย็น [1] ที่พึ่งพาผู้นี้จึงไม่ค่อยเสถียรเซี่ยเสี่ยวหลานถึงยังลอยชายในเซี่ยนอีจงต่อไปได้
แม้จางชุ่ยแสดงละครต่อหน้าคนตระกูลเซี่ยเก่งกาจเพียงใดแต่ชาติก่อนเซี่ยเสี่ยวหลานคือคนที่เคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารปีนป่ายจากชนชั้นล่างขึ้นไปตลอดเส้นทางชีวิต เคยพบเจอกับพวกสร้างหายนะในที่ทำงานมาตั้งเท่าไร? อย่างน้อยคนพวกนั้นล้วนเป็ปกเสื้อขาวหรือปกเสื้อทอง [2] ซึ่งมีการศึกษา สตรีชนบทคนหนึ่งอย่างจางชุ่ยอยู่ต่อหน้าเซี่ยเสี่ยวหลานยังถือว่าไม่น่าประทับใจนัก
แค่ปั่นหัวเล่นตามเื่ตามราวก็ยืนยันคำตักเตือนของเหล่าจ้าวยามเฝ้าประตูเสียแล้ว
มองจางชุ่ยหนีกลับร้านจางจี้อาหารว่างไป เซี่ยเสี่ยวหลานยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น
----------------------------------------
ดั่งที่เธอพูดกับเหล่าจ้าว ละแวกนี้จะมีเพียง ‘จางจี้อาหารว่าง’ ร้านเดียวไม่ได้ ต้องให้ผู้คนมีตัวเลือกมากขึ้นมิใช่หรือ?
เซี่ยเสี่ยวหลานไปรับประทานบะหมี่ที่แผงบะหมี่น้าหวงอีกครั้ง เกลี่ยกล่อมไม่กี่ประโยคก็กระตุ้นจิตใจของน้าหวงจนเร่าร้อนกระตือรือร้น
เดิมทีน้าหวงอยากเปิดร้านอยู่แล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานเติมฟืนสุดชีวิตไฟกลางใจของน้าหวงกองนั้นยิ่งโชติ่มากขึ้นั้แ่เซี่ยเสี่ยวหลานแนะนำกับเธอคราวนั้น น้าหวงได้ตั้งมั่นไว้แล้ว ่นี้เธอก็กำลังเสาะหาหนทางเปิดร้านเช่นกัน
สถานะของเธอไม่เหมือนจางชุ่ยผู้เป็หญิงจากชนบท น้าหวงคือคนในเขตอันชิ่งแม้ไม่มีญาติมิตรที่ทรงอิทธิพลเป็พิเศษอย่างน้อยก็ลงหลักปักฐานในเขตอันชิ่งตั้งหลายปีต้องมีเส้นสายที่พอใช้ประโยชน์ได้บ้าง
การหาหน้าร้านไม่ใช่เื่ง่ายดาย ทว่าหากยินยอมพร้อมใจลงทุนจะมีหน้าร้านไหนที่คว้ามาไม่ได้กัน?
น้าหวงโปะไข่ดาวสองฟองบนบะหมี่น้ำกระดูกหมูให้เซี่ยเสี่ยวหลาน
“น้าเลี้ยงเธอนะ เด็กอย่างเธอนี่หัวแหลมเชียว เธอว่าถ้าน้าจะเปิดร้านควรเปิดที่ไหนดี และขายอะไรดี?”
เซี่ยเสี่ยวหลานพูดไม่ออกเลย
น้าหวงนั่นแหละคือคนฉลาดที่สุด บะหมี่หนึ่งชามเพิ่มไข่ดาวสองอันก็หวังจะซื้อคำแนะนำของฉันไปแล้วหรือ?
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่จุกจิกว่าเสียเปรียบหรือไม่ เธอแค่้าจะหาอะไรสักอย่างให้จางชุ่ยทำสักหน่อยเพื่อให้อีกฝ่ายไม่ต้องทุ่มเทความสนใจที่ตัวเธอตลอดเวลาสร้างคู่ต่อสู้ออกมาก็ดีไม่น้อย จางชุ่ยกังวลกับธุรกิจของตัวเองก่อนเสียเถอะ!
“เปิดตรงข้ามร้านจางจี้อาหารว่างสิ ร้านพวกเขามีความนิยมระดับหนึ่งอยู่แล้วลูกค้าที่ไปกินมองเห็นตรงข้ามมีเปิดร้านใหม่ ถ้าสงสัยอยากลองชิมดูเล่า? น้าหวงก็อย่าขายอย่างอื่นเลย ด้วยฝีมือบะหมี่นี่ของน้าเตรียมเครื่องราดหน้าบะหมี่มากขึ้นหน่อย แค่สองคนก็เปิดร้านได้แล้ว”
เซี่ยเสี่ยวหลานค่อยๆ วิเคราะห์แจกแจงกับน้าหวง น้าหวงฟังเสียจนปลื้มปีติ
บะหมี่สามโอชา [3] บะหมี่ซี่โครงหมูบะหมี่เนื้อวัว
ตอนเช้าขายแค่บะหมี่กลางวันก็เพิ่มข้าวผัดและข้าวราดหน้าเข้าจำหน่ายด้วยกัน
ประเภทอาหารจำเจไปหรือเปล่า?
ชนิดของเครื่องราดหน้าบะหมี่ ข้าวผัดและข้าวราดก็พลิกแพลงตลอดเวลาอยู่แล้ว ร้านอาหารจานด่วนในอนาคตมากมายล้วนทำแบบนี้หากสามารถสร้างความแตกต่างจากจางจี้อาหารว่างเซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าค่อนข้างมีสมรรถภาพในการแข่งขัน
น้าหวงรู้จักข้าวผัด แต่เธอไม่เข้าใจข้าวราดหน้าเท่าไร
“ฉันก็ทำอาหารไม่ค่อยเก่ง ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้น้ามาหาฉันที่ซางตูดีไหมฉันจะวานคนทำให้น้าลองชิม?”
เชิงอรรถ
[1]人走茶凉 แขกจากไปน้ำชาก็เย็น หมายถึง เมื่อคนคนหนึ่งห่างหายจากไปมิตรภาพก็เบาบางลง หรือ เมื่อหลุดจากตำแหน่งที่เคยมี ก็ไร้ซึ่งคนสนใจ
[2]金领 ปกเสื้อทอง หมายถึง ผู้มีตำแหน่งระดับสูงในหน่วยงาน มีประสบการณ์และความรู้พอสมควรหรือทำงานที่ใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางมาก เช่น วิศวกร นักกฎหมายนักวิเคราะห์ความเสี่ยง แพทย์ ฯลฯ
[3]三鲜 สามโอชา หมายถึง วัตถุดิบอาหารรสเลิศสามอย่างในการปรุงอาหาร โดยมักเลือกสามอย่างจากเนื้อสัตว์
