ดอกไม้ใบหญ้าส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ขันทีที่ดูแลต้นไม้และดอกไม้ด้านข้างก็หายตัวไป เหลือเพียงดอกกุหลาบที่บานสะพรั่งอยู่หนึ่งกระถาง เมื่อมองไกลๆ เห็นเป็สีชมพูอ่อนโยนจนลืมไปว่าดอกกุหลาบก็มีหนามแหลมเช่นกัน
“นายหญิงลมเริ่มแรงขึ้นแล้วเ้าค่ะ รีบกลับไปตำหนักเฟิ่งชัยก่อนเถิด!” ซูอิ่งเห็นว่านายหญิงของเขามีสภาพร่างกายที่อ่อนแอ และยิ่งคิดถึงเหตุการณ์ที่นางถูกพิษเมื่อไม่กี่วันก่อน จึงอดที่จะรู้สึกกังวลอยู่เล็กน้อยไม่ได้
คนตายไม่กลัวความเจ็บป่วย เหยียนอู๋อวี้ระงับความเ็าภายในใจ แสดงรอยยิ้มที่ไร้เดียงสาและปฏิเสธอย่างอ่อนหวาน “นี่เป็ครั้งแรกที่ข้าได้เข้ามาในสวนของพระราชวังแห่งนี้ เมื่อเห็นดอกไม้เหล่านี้แล้ว ข้ารู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก มิสู้เดินต่ออีกสักครู่เถิด?!”
ซูอิ่งทำได้เพียงเดินตามอยู่ใกล้ชิดและแอบรู้สึกกังวลอยู่ในใจ
เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง ดอกไม้บานสะพรั่งหอมอบอวลไปทั่ว ทำให้ผู้คนที่เดินชมดอกไม้รู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข สตรีเลอโฉมงดงามดุจบุปผา สตรีงามยิ่งชื่นชอบดอกไม้ ทว่าหากดอกไม้นี้อยู่บนผมของสตรีงามแล้ว ความงามของดอกไม้กลับจะกลายเป็อาวุธที่ชั่วร้าย
เหยียนอู๋อวี้ยื่นมือออกไปััดอกโบตั๋นที่บานสะพรั่ง ภายในใจของเหยียนอู๋อวี้อดเผยความรู้สึกเ็าออกมาไม่ได้
ฮวารั่วซีทำให้นางรู้สึกเสียงพลังไปมากนัก และยามนี้ยังมีไทเฮาเข้ามาพัวพันด้วยอีกคน การต่อสู้ครั้งนี้ยิ่งจะยากมากขึ้นไปอีก......
แม้วันนี้เหตุการณ์จะไม่เป็ที่พอใจไปบ้าง ทว่าก็ยังสามารถรวบรวมเบาะแสบางอย่างได้จากบางสิ่ง
ฮวารั่วซีถูกฮ่องเต้ลงโทษ และไทเฮาก็ได้คืนความยุติธรรมให้แก่นาง นี่หมายความว่าความสัมพันธ์ของสองแม่ลูกนั้นมิได้แแ่อย่างที่ตาเห็น
ไม่ว่าสนามรบจะโหดร้ายเพียงใด ก็ยังเทียบไม่ได้กับตำหนักหลังซึ่งสามารถสังหารกันได้โดยไร้ซึ่งโลหิต
นางมีเพียงตัวนางเองเท่านั้น
ขณะสองมือกำแน่นก้านดอกไม้ในมือพลันหักลง ทันใดนั้นเหยียนอู๋อวี้พลันกลับมามีสติอีกครั้ง ก่อนจะบีบก้านดอกไม้อีกครึ่งหนึ่งด้วยปลายนิ้วของนางจนกลีบดอกสั่นไหวและร่วงหล่น นางะโด้วยความเสียใจทันทีว่า “เป็ไปได้อย่างไร อยู่ดีๆ ดอกไม้ที่สวยงามจะหักก็หักง่ายๆ เช่นนี้ น่าเสียดายนัก ”
“นายหญิงอย่ากลัวไปเลย พวกเราเอากลับไปใส่แจกันได้เพคะ” ซูอิ่งเอ่ยปลอบใจอย่างรวดเร็ว
เหยียนอู๋อวี้เอียงศีรษะพร้อมเอ่ยด้วยท่าทีรังเกียจ “มีแต่ดอกไม้ไม่มีใบไม้ จะน่าดูอย่างไรกัน ดอกไม้นี้มอบให้เ้า”
แม้ซูอิ่งรู้สึกว่าไม่สมควร ทว่านางก็ยังเอ่ยขอบคุณด้วยท่าทีนอบน้อม
เหยียนอู๋อวี้โยนดอกโบตั๋นไปที่หน้าอกของซูอิ่งพร้อมกับเดินไปข้างหน้าต่อ ทันทีที่นางก้าวเท้าพลันมีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้านาง เมื่อเห็นว่าเป็ผู้ใด นางพลันหยุดฝีเท้าอย่างกะทันหัน ไม่้าชนถูกใครบางคน จนทำให้ร่างนั้นพุ่งไปทางซูอิ่ง
นาง้าหลบเลี่ยง ทว่าเมื่อคิดได้ว่านางคือเหยียนอู๋อวี้จึงหยุดเท้าและก้าวถอยอย่างกะทันหัน จากนั้นปล่อยให้เงาดำพุ่งชนตนเอง
ร่างกายนางรู้สึกเ็ปอย่างรุนแรง มือที่พยุงร่างกายถูกหินแหลมคมบาด นางหายใจเข้าแล้วร้องออกมา “โอ๊ย......”
ผู้ที่เดินซุ่มซ่ามผู้นั้นรีบวิ่งเข้าไปพยุงตัวนาง พลางร้องะโด้วยความตื่นตระหนกว่า “สนมเหยียน ข้ามิได้ตั้งใจ”
เพียงพริบตาเดียว เหยียนอู๋อวี้ก็จำอีกฝ่ายได้ ผู้ที่เดินเข้ามานั้นคือเนี่ยเจินที่เอ่ยห้ามปรามถงซวงเอ๋อร์ในวันนั้น
“ไม่......เป็ไร!” เหยียนอู๋อวี้กล่าวว่า ‘ไม่เป็ไร’ ทว่าดวงตากลับเอ่อล้นไปด้วยคราบน้ำตาราวกับดอกไม้ที่ชุ่มด้วยเม็ดฝน ทำให้ผู้คนรู้สึกเ็ปใจ
“หึ------” ก่อนที่เนี่ยเจินจะเอ่ยต่อ พลันมีเสียงหัวเราะที่แฝงไปด้วยการเย้ยหยันดังแทรกเข้ามาไม่ไกลมากนัก
ถงซวงเอ๋อร์มองเหยียนอู๋อวี้และเนี่ยเจินด้วยสายตาเ็าพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงดูถูกว่า “เป็แค่สนม คู่ควรให้ท่านต้องยกย่องเพียงนั้นเลยหรือ?”
“ทูลสนมเหยียน ซวงเอ๋อร์เป็คนมีนิสัยพูดตรงไปตรงมาและเป็เช่นนี้เสมอมา สนมเหยียนโปรดอย่าถือสา” เนี่ยเจินรีบเอ่ยขัดจังหวะทันที สีหน้าของนางขาวซีดและดวงตาของนางเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ ภายในใจนางมืดมน ลำดับขั้นยศศักดิ์ในตำหนักหลังเคร่งครัดเป็อย่างยิ่ง วิธีการของเหยียนอู๋อวี้ได้สั่งสอนนางไปแล้วครั้งหนึ่ง ทว่าถงซวงเอ๋อร์ยังไม่คิดจดจำ ยังคงทำผิดซ้ำอีก
ต้องโทษที่ตัวเองใจร้อนที่วันนี้ จู่ๆ ถงซวงเอ๋อร์ก็ลากตัวนางออกมา โดยบอกว่าฮ่องเต้จะเดินผ่านสวนในวังหลวง หลังจากเสร็จราชกิจการประชุมขุนนางแล้ว พวกนางก็สามารถมาที่นี่เพื่อมี ‘โอกาสได้พบ’ ฮ่องเต้ได้ ไม่คาดคิดว่าจะพบกับเหยียนอู๋อวี้
เหยียนอู๋อวี้จับตาดูสถานการณ์ทั้งหมดและไม่พลาดฉากนี้อย่างแน่นอน เห็นได้ชัดว่าเนี่ยเจินหยุดแล้ว ทว่ายังถูกถงซวงเอ๋อร์ผลักอีก
นางเหยียดแขนออกมาพร้อมกับยื่นมือที่เปื้อนเืไปไว้ต่อหน้าเนี่ยเจิน โดยอดทนต่อความเ็ปและพยายามเอ่ยอย่างมีน้ำใจด้วยน้ำเสียงร่ำไห้ “อย่ากังวลไปเลย ข้ารู้ว่าเ้าไม่ได้ตั้งใจ”
ความมีน้ำใจของเหยียนอู๋อวี้ทำให้เนี่ยเจินรู้สึกสับสนเล็กน้อย
นางยื่นมือออกมาข้างหน้าก่อนจะวางลงบนฝ่ามือที่ดูเหมือนไร้กระดูกนั้น ความรู้สึกเ็าจากมือของอีกฝ่ายทำให้นางแอบเอ่ยในใจว่ามือนี้ช่างเย็นนัก
ทว่านางมิได้เอ่ยอันใด ตรงกันข้ามกลับยืนเคียงข้างอย่างสุภาพ ขณะเดียวกันภายในใจของนางไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี
ชาติกำเนิดของถงซวงเอ๋อร์นั้นดีกว่านางมากนัก หากไม่สานสัมพันธ์กับถงซวงเอ๋อร์ให้ดี นางคงจะประสบปัญหาในตำหนักหลังอย่างแน่นอน
“เหยียนอู๋อวี้ อย่าได้เอ่ยวาจากระทบกระทั่งเช่นนั้น แสร้งทำเป็มีน้ำใจให้ผู้ใดดูกันหรือ?” ถงซวงเอ๋อร์ก้าวเดินทีละก้าวจนไปหยุดยืนอยู่ด้านหน้าของเหยียนอู๋อวี้ นางลดเสียงต่ำลงพร้อมกล่าวอย่างลำพองใจว่า “ได้ยินมาว่า เมื่อคืนวานเ้าได้กินอาหารที่ผสมยาพิษหรือ? เหตุใดเ้ายังมีกะจิตกะใจออกมาชมดอกไม้อย่างเพลิดเพลินได้เล่า?”
ถงซวงเอ๋อร์พูดเอ่ยพลางยิ้มเยาะอย่างอวดดี
เมื่อวานนางเพิ่งจะพูดไปว่า สตรีที่ฮ่องเต้โปรดปรานล้วนมีจุดจบที่ไม่ดี เหยียนอู๋อวี้ไม่สามารถรอดพ้นจากเงื้อมมือซูเฟยไปได้อย่างแน่นอน
น่าเสียดายที่นางไม่ได้สนใจเลยว่า เมื่อวานนี้ฮวารั่วซีถูกริบอำนาจในตำหนักหลัง
เหยียนอู๋อวี้จ้องมองใบหน้าของนาง “ไทเฮากำลังตรวจสอบเื่ที่ข้าถูกวางยาพิษเมื่อวานนี้ ซึ่งทุกคนต่างก็รู้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างซ่อนอยู่ สนมถงเป็เช่นนี้ หรือท่านรู้ว่าเป็ผู้ใดที่วางยาพิษ?”
ถงซวงเอ๋อร์ไม่คาดคิดว่าเหยียนอู๋อวี้จะดึงนางเข้าไปพัวพันกับเื่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับนาง น้ำเสียงของนางสับสนเล็กน้อยและพยายามปกป้องตัวเอง “อย่าได้เอ่ยวาจาไร้สาระ เื่นี้ไม่เกี่ยวอันใดกับข้า?”
ในสายตาของผู้อื่น ความรู้สึกกินปูนร้อนท้องและความกังวลใจนี้เองที่กลายเป็หลักฐานที่หักล้างไม่ได้
เหยียนอู๋อวี้กวาดสายตามองหมู่มวลดอกไม้ก่อนจะมองตรงมาด้านหน้าของนางทันที พลางอดที่จะเยาะเย้ยอยู่ในใจไม่ได้ ฮวารั่วซี้าทำให้นางอับอายกับเื่เช่นนี้หรือ? ผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้ช่างเหลือทนเสียเหลือเกิน
คล้ายว่าหลายคนจะสนใจกับสิ่งที่พวกนางกำลังสนทนากัน พวกนางไม่รู้ว่ามีกลุ่มคนหยุดอยู่ที่มุมทางเดินซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก
ซ่งอี้เฉินมิได้สนใจการโต้เถียงระหว่างสตรีมากนัก
ทว่าเหยียนอู๋อวี้ที่มีท่าทีอ่อนแอไร้เดียงสานางนั้น ดูเหมือนจะมีความน่าสนใจอยู่บ้าง
คล้ายว่าจะถึงเวลาที่ตนเองต้องแสดงตัวแล้ว!
เมื่อซ่งอี้เฉินคิดถึงเื่นี้พลันหรี่ตาเดินไปด้านข้าง ไม่นานนักก็มีคนเข้าใจและะโออกไปว่า “ฝ่าาเสด็จ”
เสียงะโนี้ทำให้ผู้คนที่กำลังโต้เถียงกันหยุดลง พวกนางต่างหันไปมองซ่งอี้เฉินที่สวมชุดสีเหลืองสดใสปักลายัและกำลังเดินเข้ามาหาพวกนางทีละก้าว
มีข่าวลือว่าฮ่องเต้หมกมุ่นอยู่กับอิสตรี ทว่าบุรุษหนุ่มแน่นเช่นนี้ แม้นไม่ได้เกิดมาในตระกูลของเชื้อพระวงศ์ ทว่าก็ยังเป็หนึ่งในเป้าหมายที่สตรีหลายคนใฝ่ฝัน
ท่าทางของถงซวงเอ๋อร์ที่ดุร้ายแต่เดิมกลับอ่อนลงทันที ใบหน้าเรียวเล็กของนางพลันเปลี่ยนเป็สีแดงระเรื่อ นางรู้สึกว่าฮ่องเต้คล้ายกำลังมองมาที่นาง
เมื่อนางเห็นฮ่องเต้มาถึง นางพลันคุกเข่าทันทีและเอ่ยเสียงดังว่า “ซิ่วหนี่ว์ถงซวงเอ๋อร์คำนับฝ่าา ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี”
ท่าทางนั้นดูลนลานไม่น้อย
น่าเสียดายที่ดวงตาของซ่งอี้เฉินไม่เคยละสายตาจากนางเลย อีกทั้งยังทำเป็ไม่ได้ยินขณะที่ถงซวงเอ๋อร์ส่งเสียงพูด
คิ้วของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนขณะจ้องเหยียนอู๋อวี้ ก่อนจะเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงแ่เบาว่า “เหตุใดเ้าจึงมาที่นี่ในสถานที่ที่มีลมแรงเช่นนี้? เมื่อวานเพิ่งเกิดเื่ เหตุใดเ้าจึงไม่ถนอมร่างกายของเ้าให้ดี?”
ซ่งอี้เฉินกล่าวพลางยกมือขึ้น ก่อนขันทีหนุ่มจะยื่นเสื้อคลุมสีเหลืองสดใสส่งให้เขา
“มานี่มา เจิ้นจะสวมให้เ้าเพื่อป้องกันลมหนาว” ซ่งอี้เฉินเพียงแค่เหลือบตามองเหยียนอู๋อวี้ที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น
พฤติกรรมที่ใกล้ชิดเช่นนี้ ทำให้ถงซวงเอ๋อร์เกิดความอิจฉาริษยา ทว่าไม่อาจพูดสิ่งใดออกมาได้ ซ่งอี้เฉินจับมือเหยียนอู๋อวี้พลางเอ่ยถามอย่างเป็ห่วงว่า “มือเ้าเหตุใดจึงมีเืไหล?”
เหยียนอู๋อวี้รีบดึงมือกลับมาพลางเอ่ยด้วยท่าทางลังเลว่า “หม่อมฉันไม่ทันระวังจึงหกล้มเพคะ......”
“ทูลฝ่าา หม่อมฉันไม่ทันระวังเดินชนเข้ากับสนมเหยียนเพคะ” เนี่ยเจินที่คุกเข่าอยู่เงียบๆ บริเวณมุมทางเดินพลันเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่แสดงความเสียใจ
“ลากตัวไป” เป็คำสามคำที่เ็านัก ประหนึ่งที่เคยกระทำกับเซวียซิ่วหนี่ว์ที่เรือนหลินหลาง ชั่วพริบตาทำให้สีหน้าถงซวงเอ๋อร์กับเนี่ยเจินที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นนั้นถึงกับซีดขาวขึ้นมาถนัดตา
พวกนางยังไม่อาจลืมกลิ่นคาวเืที่เรือนหลินหลางนั้นได้เลย......
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้