แถบชนบทของพวกเขา ถึงแม้การแต่งงานจะต้องมีสินสอด แต่ก็ไม่สูงมาก
ปกติก็แค่สองสามร้อยหยวน ส่วนใหญ่เป็ค่าผ้าตัดเสื้อผ้าสิบกว่าชุดให้เ้าสาว
ถ้าฐานะดีมาก ๆ ถึงจะให้สินสอดห้าร้อยหยวน
ลูกสาวคนเล็กอ้าปากขอสินสอดตั้งสองพันหยวน ต่อให้ขายคนบ้านฉินทั้งสามคนก็หาเงินจำนวนมากขนาดนี้ไม่ได้
กู่ซิ่วกลัวว่าจะมีคนได้ยินบทสนทนาของแม่ลูก จึงพูดเสียงเบากว่าเดิม “ลูกบ้าไปแล้วเหรอ! ขอสินสอดจากบ้านฉินตั้งสองพันหยวน บ้านฉินจะเอาที่ไหนมาให้!”
สวี่เยว่พูดอย่างไม่ใส่ใจ “หนูคำนวณแล้ว พี่สาวมีเงินอย่างน้อยแปดพันหยวน”
“พี่สาวแต่งงานกับฉินยงจวิน เงินก้อนนี้ต้องถูกเอาไปที่บ้านฉินแน่ ๆ เราขอสินสอดสองพันหยวนมันมากเกินไปเหรอคะ!”
เธอแค่นเสียงเ็าเบา ๆ “เราขอเงินกับพี่ดี ๆ แต่เธอกลับไม่รู้จักคุณคน ไม่ยอมให้เงินแม้แต่เฟินเดียว ยังคิดจะเอาเปรียบเราอีก”
“พอเธอแต่งเข้าบ้านฉินก็จะได้ลิ้มรสความร้ายกาจ ถ้าเธอไม่ยอมให้เงิน น้าฉินต้องตีเธอจนตายแน่!”
กู่ซิ่วยกยิ้มมุมปาก “รอให้จัดงานวันเกิดให้ตาลูกเสร็จ แม่จะไปที่บ้านฉินสักหน่อย”
ประมาณเที่ยง แขกก็ทยอยกันมา
แขกที่มาถึงอวยพรให้คุณตากู่อายุมั่นขวัญยืน บุญบารมีกว้างใหญ่ไพศาล
แล้วก็ถามด้วยรอยยิ้มว่า ทำไมไม่เห็นสวี่ฮุ่ย ที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้อันดับหนึ่งเลย?
คุณตากู่หัวเราะแห้ง ๆ แล้วพูดว่า “เด็กมันยุ่ง มาไม่ได้”
พวกแขกต่างก็ยิ้มตาม แต่บนใบหน้ากลับแฝงความแคลงใจเล็กน้อย
สอบเสร็จแล้ว จะมีอะไรให้ยุ่งอีก?
เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเป็เพราะสกุลกู่ไม่เคยใส่ใจหลานสาวคนโต ตอนนี้พอหลานสาวคนโตประสบความสำเร็จแล้ว เลยไม่อยากมาสุงสิงด้วย
นี่แหละที่เรียกว่า หว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น
คุณตากู่เห็นสีหน้าของแขกทุกคนกับตา พลันรู้สึกอึดอัดใจ
ถ้าสวี่ฮุ่ยไม่ใช่ไม่รู้จักบุญคุณคน ไม่ยอมมา เขาก็คงไม่ถูกคนอื่นหัวเราะเยาะในงานเลี้ยงวันเกิดหรอก!
ความโกรธที่เขามีต่อสวี่ฮุ่ยก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น
กลางงานเลี้ยง คุณตาหลี่ที่สนิทกับคุณตากู่เรียกคุณตากู่ไปคุยที่มุมหนึ่ง
พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เหล่ากู่[1] ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับหลานสาวคนโตของนายบ้างไหม?”
คุณตากู่เห็นสีหน้าของเหล่าหลี่ก็รู้ว่าข่าวลือนั้นคงร้ายแรงพอสมควร
เขาถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ข่าวลืออะไร?”
“ในเขตบ้านพักต่างพากันลือว่าสวี่ฮุ่ยไม่มาอวยพรวันเกิดนาย เพราะเธอไปเป็เมียน้อยคนอื่น ตอนเช้าโดนเมียหลวงตบจนหน้าตาบวมปูด เลยมาไม่ได้”
คุณตากู่อุทานด้วยความใ หน้าแดงก่ำ “เด็กคนนี้ทำไมถึงหน้าด้านแบบนี้!”
เหล่าหลี่บอกว่า “เื่นี้ยังไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ”
“นายลองแอบสืบดูก่อน ถ้าไม่จริง ก็ต้องหาคนที่ปล่อยข่าวลือมาให้ได้ เพื่อกู้ชื่อเสียงให้หลานสาวสายนอกของนาย”
“แต่ถ้าเป็ความจริง นายก็ต้องรีบหาวิธีจัดการเื่นี้ ไม่อย่างนั้นจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงนายมาก”
คุณตากู่รู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง “ขอบใจมากที่บอกเื่นี้กับฉัน ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่รู้อะไรแล้วถูกคนอื่นหัวเราะเยาะ”
คุณตาหลี่ตบไหล่เขา “พวกเราเป็เพื่อนกัน เกรงใจอะไรล่ะ?”
หลังจากคุยกันเสร็จ คุณตาหลี่ก็กลับไปนั่งกินเลี้ยงต่อ ส่วนคุณตากู่ก็ยิ้มแย้มแจ่มใสต้อนรับแขกให้กินดื่มอย่างเต็มที่
จากนั้นก็แอบเรียกซือล่าเหมยมากระซิบสั่งอะไรบางอย่าง
ซือล่าเหมยถือกระเป๋าแล้วรีบออกไป
คุณยายกู่ทำหน้างงแล้วถามสามี “ลูกสะใภ้ไม่ช่วยต้อนรับแขก ไปไหนน่ะ?”
คุณตากู่อารมณ์ไม่ดี ทำหน้าบึ้งตวาด “เธออย่าถามมาก!”
งานเลี้ยงวันเกิดดำเนินไปจนถึงบ่ายสองโมงครึ่งจึงเลิกรา
หลังจากงานเลี้ยงเลิกไม่นานซือล่าเหมยรีบกลับมา
ตอนนั้นคุณตากู่ส่งแขกกลับไปหมดแล้ว เหลือแค่คนในครอบครัว
ทันทีที่คุณตากู่เห็นหน้าเธอก็ถามอย่างร้อนใจ “เธอสืบได้ความว่ายังไงบ้าง?”
ซือล่าเหมยกล่าวด้วยความโมโห “ข่าวลือ ทั้งหมดเป็แค่ข่าวลือ!”
“หนูไปถึงก็สอบถามต้นสายปลายเหตุทันที” ซือล่าเหมยเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับสวี่ฮุ่ยที่เขตบ้านพักโรงงานผลิตอาหารในเช้าวันนี้อย่างละเอียด
จากนั้นกล่าวต่อว่า “ตอนที่หนูกำลังจะกลับ บังเอิญเห็นคุณนายลู่ให้พวกหลานชายนำกำไลทองมาให้ฮุ่ยฮุ่ยพอดี!”
คุณตากู่รู้สึกดีใจปนโมโห
ดีใจที่สวี่ฮุ่ยไม่ได้เป็เมียน้อย แถมยังเป็ที่รักใคร่ของคุณนายลู่
สกุลกู่ของพวกเขา หากได้สานสัมพันธ์กับสกุลลู่ผ่านสวี่ฮุ่ย คงจะได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย
และโมโหที่ลูกสาวของตนโง่เขลา ลูกสาวคนโตโดนคนอื่นมาด่าทอข่มเหงถึงหน้าบ้าน ไม่เพียงไม่ปกป้องสวี่ฮุ่ย กลับเหยียบย่ำซ้ำเติมอีก
หลานสาวคนเล็ก สวี่เยว่ยิ่งน่าโมโหหนัก เข้าข้างคนนอกใส่ร้ายป้ายสีพี่สาวแท้ ๆ ของตัวเอง!
เด็กคนนี้ ใจคอโเี้ คอยหาโอกาสทำร้ายสวี่ฮุ่ยอยู่ตลอด
คุณตากู่บ่นภรรยา “ฉันบอกแล้วว่าอย่าให้สวี่เยว่เหยียบเข้าบ้านอีก แต่คุณก็บอกว่าเด็กจะเปลี่ยนนิสัยได้ แล้วเธอเปลี่ยนไปหรือเปล่า?”
คุณยายกู่ก้มหน้าเงียบไม่ตอบ
กู่เจี้ยนกั๋วไกล่เกลี่ย “พ่อ พ่ออย่าเพิ่งตำหนิแม่เลย สิ่งสำคัญตอนนี้คือต้องหาคนปล่อยข่าวลือ แล้วให้เขาออกมาขอโทษฮุ่ยฮุ่ยต่อหน้าสาธารณชน”
“ถึงแม้ว่าสวี่ฮุ่ยจะเป็แค่หลานสาวสายนอกของสกุลกู่ แต่ก็ไม่ควรปล่อยให้ใครใส่ร้ายป้ายสี!”
คุณยายกู่ก็เห็นด้วยที่จะหาตัวคนปล่อยข่าวลือมาลงโทษ เพื่อทวงความยุติธรรมให้สวี่ฮุ่ย
ถึงแม้ความจริงคุณยายกู่ไม่ได้สนใจชื่อเสียงอะไรของสวี่ฮุ่ยหรอก เด็กคนนี้ไม่ได้โตมากับเธอ เธอจึงไม่ได้มีความผูกพันอะไรมากมาย
แค่อยากจะให้คนในเขตบ้านพักรู้ว่า ต่อให้สามีของเธอเกษียณแล้ว ก็ใช่ว่าใครจะมารังแกได้ง่าย ๆ
ทุกคนในครอบครัวไม่มีใครสังเกตเห็นว่า กู่ซานซานหน้าซีดเผือดเล็กน้อยและมีท่าทางกระวนกระวาย
กู่ซานซานพูดตะกุกตะกัก “เขาว่ากันว่าการสร้างข่าวลือนั้นง่าย แต่การแก้ข่าวยากเย็นแสนเข็ญ จะไปหาตัวคนปล่อยข่าวลือเจอได้อย่างไรคะ?”
“คุณปู่ คุณย่า หนูว่าช่างมันเถอะ อย่าเอะอะจนรบกวนความสงบสุขของคนในเขตบ้านพักเลย”
สีหน้าของคุณตากู่มืดครึ้มจนน่ากลัวทันที “แกฉลาดขึ้นขนาดนี้ั้แ่เมื่อไหร่ ทำไมฉันไม่รู้มาก่อนเลยนะ?”
กู่เจี้ยนกั๋วก็เอ็ด “ผู้ใหญ่คุยกัน เด็กอย่างแกไม่มีสิทธิ์พูดแทรก!”
กู่ซานซานรีบก้มหน้า ไม่กล้าพูดอะไรอีก
สีหน้าของคุณตากู่ค่อย ๆ ผ่อนคลายลง บอกกับกู่เจี้ยนกั๋ว “เหล่าหลี่บอกฉันว่า หลานสาวของเขาได้ยินเื่นี้มาจาก อู๋เซี่ยงหง หลานสาวของคุณครูอู๋ พวกเราไปถามอู๋เซี่ยงหงก่อน เขตบ้านพักเล็กแค่นี้ ต้องหาตัวคนปล่อยข่าวลือเจอแน่”
กู่เจี้ยนกั๋วลุกขึ้นยืน “ถ้าอย่างนั้น ผมกับล่าเหมยจะไปสืบหาตัวคนปล่อยข่าวลือเอง”
เมื่อก่อนพ่อของเขาเป็ถึงอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนมัธยมศึกษาหมายเลขหนึ่งประจำอำเภอ มีเกียรติและได้รับความเคารพสูง ไม่ควรให้ท่านไปสืบหาตัวคนปล่อยข่าวลือเองจะถือเป็การลดเกียรติ เพราะฉะนั้นเขาและภรรยาจึงต้องออกหน้า
กู่ซานซานมองพ่อแม่เดินออกจากบ้านด้วยความกังวล จากนั้นก็หาข้ออ้างแล้วแอบหนีออกไป
ขณะที่กู่เจี้ยนกั๋วและภรรยากำลังสืบหาตัวคนปล่อยข่าวลือ กู่ซิ่วก็พาสวี่เยว่ไปที่บ้านฉินต้าเฉิงในเขตบ้านพักของโรงงานเครื่องจักรกลการเกษตร
ฉินต้าเฉิงไปทำงาน มีเพียงแม่ฉินที่อยู่บ้าน
แม้ว่าแม่ฉินจะรู้จักกู่ซิ่วและลูกสาว แต่บ้านสกุลฉินและสกุลกู่อยู่คนละเขตบ้านพัก
สองบ้านไม่เคยติดต่อกัน ไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ ต่อกัน นับประสาอะไรกับกู่ซิ่วที่เป็ลูกสาวแต่งออกไปแล้ว
แม่ฉินเห็นกู่ซิ่วถือแตงโมลูกใหญ่ พาลูกสาวคนเล็กมาเยี่ยมถึงบ้าน รู้สึกประหลาดใจอยู่พักหนึ่ง กว่าจะตั้งสติได้
เธอเชิญสองแม่ลูกเข้าบ้านอย่างกระตือรือร้นด้วยท่าทีแสนจะเสแสร้ง
เมื่อแม่ฉินได้ยินกู่ซิ่วบอกว่าอยากจะให้สองบ้านได้ดองกัน แม่ฉินก็แสดงท่าทีต่อต้านอย่างชัดเจน
ถึงแม้ว่าแม่ฉินจะไม่สนิทกับสกุลกู่ แต่เธอก็เคยได้ยินมาว่า หลานสาวคนเล็กของคุณตากู่เป็โรคหัวใจ เป็เด็กขี้โรค
เธอไม่้าลูกสะใภ้ขี้โรคที่ต้องเสียเงินซื้อยาและต้องคอยดูแลอีก!
กระทั่งกู่ซิ่วบอกว่าอยากจะให้ลูกสาวคนโต สวี่ฮุ่ย ที่ร่างกายแข็งแรงแต่งงานกับฉินยงจวิน แม่ฉินจึงเริ่มลังเล
ยิ่งกู่ซิ่วบอกว่า สวี่ฮุ่ยสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้อันดับหนึ่ง แค่เงินรางวัลจากมณฑลและเทศบาลก็ได้หลายพันหยวนแล้ว
เงินรางวัลเหล่านี้ สวี่ฮุ่ยจะนำติดตัวไปบ้านสามีตอนแต่งออกด้วย แม่ฉินยิ่งหวั่นไหว
แต่แม่ฉินก็เป็คนฉลาด ไม่เชื่อว่าจะมีโชคดีหล่นทับ แถมยังหล่นใส่หัวเธอพอดีอีก
แม่ฉินจึงเปิดอกพูดตรง ๆ “ลูกสาวบ้านเธอเงื่อนไขดีขนาดนี้ ทำไมถึงอยากให้แต่งกับลูกชายฉัน?”
ในใจของแม่ฉินเข้าใจดีว่า ด้วยนิสัยของลูกชายเธอ ครอบครัวที่มีฐานะหน่อยคงไม่มีใครอยากยกลูกสาวให้
นับประสาอะไรกับครอบครัวสวี่ที่ไม่ได้ลำบาก ยิ่งสวี่ฮุ่ยเป็ถึงจ้วงหยวนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้อันดับหนึ่ง ยิ่งเป็ไปไม่ได้ ยกเว้นว่าสวี่ฮุ่ยจะมีปัญหาอะไรบางอย่างปกปิดไว้
กู่ซิ่วไม่ได้ปิดบังแม่ฉิน บอกเธอว่า สวี่ฮุ่ยมีปัญหากับคนในครอบครัว
มีเงินมากมายในมือ แต่ไม่ยอมควักสักเฟินมารักษาน้องสาว เธอในฐานะแม่รู้สึกโกรธมาก จึงอยากให้เธอแต่งงานออกไป
แต่เธอมีเงื่อนไขว่า บ้านสกุลฉินต้องให้สินสอดเธอสองพันหยวน
พอได้ยินว่าจำนวนสินสอดสูงขนาดนี้ สิ่งแรกที่แม่ฉินคิดคือ กู่ซิ่วกับลูกสาวมาหลอกเธอ
แม่ฉินทำหน้าบูด “สินสอดแพงขนาดนี้บ้านเราไม่มีปัญญาจ่ายหรอก เธอไปหาบ้านอื่นเถอะ”
กู่ซิ่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สินสอดนี้ไม่ต้องให้ตอนนี้ก็ได้ รอให้แต่งเข้าบ้านแล้วเธอได้เงินของฮุ่ยฮุ่ยมา ค่อยให้ฉันก็ยังไม่สาย”
สวี่เยว่ช่วยพูดเสริม “คุณน้าฉิน รอพี่สาวหนูแต่งเข้าบ้านแล้ว คุณน้าจะได้เงินจากพี่สาวหนูอย่างน้อยแปดพันหยวน ให้แม่หนูแค่สองพัน คุณน้าก็กำไรมหาศาลแล้ว”
เธอยิ้มอย่างมีเลศนัย “ที่สำคัญคือ ลูกชายคุณน้าชอบพี่สาวหนูมากนะคะ”
สองแม่ลูกจากไป ภายใต้สายตาเคลือบแคลงสงสัยของแม่ฉิน
[1] เหล่า หมายถึง คำที่เติมไว้หน้าแซ่เพื่อแสดงความใกล้ชิด สนิทสนมหรือรู้จักกันมานาน